Star Wars: The Last Jedi - สตาร์ วอร์ส: ปัจฉิมบทแห่งเจได
หนัง Star Wars 8 หรือชื่อไทยว่า สตาร์ วอร์ส ปัจฉิมบทแห่งเจได หลังจากภาคที่แล้ว Star War: The Force Awakens สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟน ๆ จนหายคิดถึงกันไปแล้ว เรียกได้ว่าขนนักแสดงเก่ากลับมาเพียบ เพื่อร่วมกับนักแสดงใหม่ในการสร้างเรื่องราวไตรภาคที่ 3 ในตระกูล Star Wars ในขณะที่หลายตัวละครโดดเด่นไม่ว่าจะเป็น เรย์ เด็กสาวปริศนาที่มีพลังแฝง หรือฟินน์ จอมทรยศจากสตรอมทรูปเปอร์ ก็มีตัวละครที่จากเราไปเช่นกัน ความตื่นเต้นก็ถูกผลักให้พุ่งสู่จุดสูงสุดเมื่อตอนจบที่ปรากฏภาพของบุคคลที่เรารอคอยกันมานาน นั่นก็คือ ลุค สกายวอล์คเกอร์ กลับมาสานต่อเนื้อเรื่องเป็นอาจารย์ฝึกฝนการใช้พลังให้กับเรย์ ท้ายที่สุดแล้วเรย์จะกลายเป็นเจได หรือผู้รักษาสมดุลระหว่างแสงสว่างหรือความมืดคงต้องติดตามกันต่อไป
Star Wars: The Last Jedi Having taken her first steps into a larger world in Star Wars: Episode VII - The Force Awakens (2015), Rey continues her epic journey with Finn, Poe and Luke Skywalker in the next chapter of the saga.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
Star Wars The Last Jedi ก้าวใหม่ของอาณาจักรสงครามดวงดาว
นับตั้งแต่ปิดฉาก 2 ไตรภาคแรกไปเมื่อปี 2005 จนกระทั่งดิสนีย์ซื้อลูคัสฟิล์มและได้เข็น EP7 ออกมาให้ยลโฉมกันเมื่อปี 2015 และ Rogue One 2016 ทำให้หลายคนรอคอยที่จะได้ชม The Last Jedi กันเพียบ ยิ่งคะแนนรีวิวจากนักวิจารณ์ ให้คะแนนมากจนเรียกได้ว่าเป็น Star Wars ภาคที่ได้คะแนนสูงสูด 1 ใน 2 ของทุกภาคเลยก็ว่าได้ ยิ่งทำให้แฟนๆ ยิ่งตื่นเต้นกันไปใหญ่
จนกระทั่งหนังฉาย เสียงความชอบและไม่ชอบได้แตกออกเป็นสองส่วนเลยก็ว่าได้ ในส่วนของคนที่ชอบ The Last Jedi นั่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ เป็น Star Wars ภาคที่แตกต่าง แหวกธรรมเนียมและคาดเดาอะไรไม่ได้ รวมไปถึงทำลายสิ่งที่แฟนๆ คาดคะเนความเป็นไปต่อจาก EP 7 ไปสิ้นเชิง เป็นหนังที่บันเทิง เซอร์ไพรส์ และตื่นตามีอะไรให้ว้าวตลอด หนึ่งในนั้นก็คือผมด้วย ส่วนตัวผมเองชอบภาคนี้เป็นอย่างมาก Enjoy ไปกับทุกส่วนของเรื่องจริงๆ
ในส่วนของแฟนๆ ที่ไม่ชอบภาคนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรเหนือการคาดเดาคือ หลายเสียงที่บ่นว่าไม่ชอบก็เป็นเรื่องเดิมๆ เช่น การที่ตัวหนังเลือกที่จะแหวกแนวเกินไป มันขาดความเป็นสตาร์วอร์ส หรือแม้กระทั้งทิ้งปมที่ EP 7 ทิ้งไว้ให้คนสงสัยต่อไป ไม่ได้เฉลยอะไรให้คนดูได้รับรู้เลย ในส่วนนี้ผมว่ามันก็แล้วแต่มุมมองมากกว่า เพราะว่าเท่าที่จำได้ตอนที่ EP 7 เข้าฉาย ก็มีแฟนๆ หลายเสียงบ่นเช่นกันว่าทำไมภาคนี้เหมือนการเอาเนื้อเรื่องจาก EP 4 ภาคต้นฉบับมารีมาสเตอร์ให้ทันสมัยขึ้น เอาง่ายๆ คือเหมือนก๊อบมาทำให้ดูดีทันสมัยขึ้่นเท่านั้นเอง และแฟนๆ ต้องการอะไรที่แตกต่าง แต่กลับกันพอมาถึง The Last Jedi ทางค่ายหนังและผู้กำกับรวมไปถึงคนเขียนบทเค้าเลือกที่จะใส่ความแตกต่างให้กับแฟรนไชส์ Star Wars กลับรับไม่ได้กันซะอย่างงั้น ผมล่ะงงจริงๆ
เอาเป็นว่าถ้าใครอยากพบกับความบันเทิงจากภาพยนตร์แนว แอคชั่นแฟนตาซี ฟอร์มยักษ์ และอย่างน้อยเคยดู Ep7 มาก่อนก็คงจะสนุกไปกับ The Last Jedi ไม่น้อยเลย ส่วนตัวผมว่าภาคนี้ถ้าทำออกมาสนุกได้ขนาดนี้ EP9 ที่เป็นภาคต่อไป คนเขียนบทและผู้กำกับต้องทำการบ้านอีกเยอะแน่ เพราะมันยากมากที่จะให้มันพีคกว่านี้ สนุกกว่านี้ เซอร์ไพรส์กว่านี้ครับ 9/10 ไปเลยสำหรับ Star Wars The Last Jedi
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Star Wars: The Last Jedi | Rian Johnson
The Last Jedi หนังลำดับที่ 9 จากซีรีย์ Star Wars อันโด่งดังสุดกู่ ที่คราวนี้เปลี่ยนโทนหนังไปอย่างสิ้นเชิง โดยผู้กำกับคนเดียวกับ Looper ที่มีความแข็งแกร่งด้านการสื่อสารจากแก่นของเรื่องแบบสุดๆ และมีกลิ่นอายคล้ายๆ กับ Rogue One ที่ค่อนข้างตึงเครียด ดำเนินไปอย่างจริงจัง ให้ความสำคัญกับความสมจริง ไม่ค่อยมีฉากผจญภัยอีกแล้ว ฉะนั้นพอมันเป็นสงครามในรูปแบบที่ใกล้เคียงกับความจริงๆ มาก มันก็เลยไม่มีฮีโร่อีกต่อไป เพราะทุกๆ คนคือ Rebel Scum และเราทุกคนก็คือความหวัง
The Last Jedi เป็นภาคที่พูดถึงความหวัง เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของความหวังเลยก็ว่าได้ เหมือนได้รับส่งไม้มาจาก Rogue One เลย ในภาคที่ 7 นั้น ลุค สกายวอร์คเกอร์เหมือนจะเป็นความหวังให้เจ้าหญิงเลอามาโดยตลอด แต่เมื่อมาถึงจุดๆหนึ่งในภาคนี้ เราก็ได้เห็นการส่งต่อความฝันและความหวังไปข้างหน้า ไปหยั่งคนรุ่นลูก ไปหยั่งรุ่นหลัง ไปหยั่งภาคถัดไป
อย่างที่เคยกล่าวเอาไว้ในสื่อต่างๆ The Last Jedi เป็นการเคลื่อนซีรีย์เข้าไปสู่บทใหม่ของ Star Wars ที่ไม่ขึ้นกับตระกูล Skywalker อีกต่อไปแล้ว ซึ่งมันเป็นการสลัดคราบที่งดงาม หมดจด และนำไปสู่ตัวเนื้อเรื่องจริงๆ ที่แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับยุคเก่า เราจะเห็นว่าตัวโครงเรื่องช่วงแรกที่แทบจะล้อเลียนภาคเก่าๆนั้น สุดท้ายก็ถูกทุบทิ้ง อะไรที่เคยเกิดในภาคก่อนๆ ภาคนี้เหมือนยั่วล้อ และก็หักมุมกันแบบอุตหลุด ช่วงท้ายนี่หักกันแทบจะตลอดเวลา อะไรที่คลุมเครือก็มาทำให้ชัดเจน อะไรที่หลงเหลือเอาไว้ก็ทำให้มันจบลง ซึ่งแต่ล่ะการจบก็ทำออกมาดีมาก และบทใหม่ๆที่น่าสนใจกำลังเริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการมองภาพเจไดใหม่ๆ ผ่านภายใต้ดวงตาของลุค การไม่มีซิธตัวร้ายหลักสำหรับภาคเก่าๆ การเดินเรื่องแบบไม่ค่อยแคร์การสำรวจอวกาศอีกต่อไป หรือแม้กระทั่งการวางแผนซ้อนแผนที่ต้องเสียสละคนเป็นทอดๆ
ด้านโปรดักชั่นนั้นเนี๊ยบเอามากๆ สมแล้วกับเป็นดิสนีย์ที่ปลุกปั้นมาทั้ง Marvel และอนิเมชั่นของตัวเองมาโดยตลอดในแบบปลอดภัยเสมอมา พอได้ผู้กำกับจัดจ้านมันก็เลยน่าประทับใจ การเล่าเรื่องด้วยวิธีการ “พูดถึงตัวละครนั้นๆ” แล้วตัดภาพไปหยั่งเรื่องเกี่ยวข้องนี่เป็นเอกลักษณ์การเล่าของภาคนี้เลย และเชื่อมแต่ละฉากได้เนียนสุดๆ ส่วนเพลงก็คงเอกลักษณ์ฉบับดั้งเดิมได้ดี เรียกได้ว่าเป็นหนังที่สมบูรณ์แล้วล่ะ ส่วนนักแสดงก็ทำกันได้ระดับมาตรฐานน่ะนะ ลุคแสดงดีมาก สมแล้วกับที่เคยพากษ์เป็นบทโจ๊กเกอร์ในอนิเมชั่นของ DC มาก่อน มุขตลกก็ออกมาไปทาง Marvel มีลักษณะคล้ายภาค 4,5,6 นั่นแหละ สำหรับเราคิดว่ามุขตลกค่อนข้างกลืนเป็นเนื้อเดียวกับเรื่องอยู่พอควรเลย ไม่ได้โปกฮา ใสๆ เหมือนภาค Force Awakening
นอกจากจะมีอะไรใหม่ๆอยู่ข้างหน้า ก็มีอะไรเก่าๆให้คิดถึงอยู่เยอะ และมันก็ทำให้เราอิ่มเอมในแบบที่ Force Awakening ทำได้สำหรับแฟนสตาร์วอร์ เราจะได้การเติบโตของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ได้เห็นโลกในรูปแบบต่างๆ โพที่รอบคอบ ฟินที่ทำเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง และโดยเฉพาะเรย์ที่กำลังกลายเป็นเจไดเต็มรูปแบบ
พอหนังมันไม่ได้ให้ความสำคัญถึง The Chosen One อย่างสกายวอร์เกอร์และตัวเอกอื่นๆ อีกต่อไป ก็เลยกระจายไปให้กับบทเล็กๆ ต่างๆ ในกลุ่มกบฏ ที่เป็นเสมือนจิ๊กซอขับเคลื่อนหน่วยต้อต้านที่ล้วนถูกมองข้ามไปในภาคเก่าๆ (แต่ถูกขับเน้นในภาค Rouge One) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงภาพของความหวังได้ว่ามันทรงอิทธิพลขนาดไหน และทำไมใครๆ ก็เคารพต่อหน่วยต่อต้าน รวมไปถึงความหมายของวีรชนที่แท้จริง ซึ่งเสียสละเพื่อความหวังมากมายถึงเพียงนั้น
The Last Jedi เป็นภาคที่พูดถึง “คนธรรมดา” พูดถึง “พลัง” ของคนธรรมดา พูดถึงฟอร์ซอันเป็นธรรมชาติ เป็นหนังแห่งความหวังที่งดงาม มีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างภาคเก่าและหนทางใหม่ มันทำให้แฟนสตาร์วอร์คนหนึ่งอย่างผมรู้สึกสนุกและอินกับมันมากๆ เลยครับ
อย่าพลาดสัมผัสหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดในซีรีย์นี้นะครับ มีความแตกต่างจากภาคเก่าๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Star Wars: The Last Jedi
เป็นหนังที่คู่ควรกับการดูใน IMAX 3D อย่างที่สุด ถึงแม้อัตราส่วนจอจะไม่ได้ใหญ่เต็มขนาดจอของ IMAX แต่ 3D พุ่งเยอะมาก แค่ฉากเปิดมา ยานที่วิ่งมาจากวาร์ปพุ่งเข้าหน้า แทบจะเห็นทุกส่วนของยานกันเลยทีเดียว (อย่าเข้าโรงช้านะอดดูฉากนี้เสียดายแย่เลย)
ออกตัวก่อนว่าไม่ใช่แฟนตัวยง ของมหากาพย์ Star Wars ตั้งแต่ดูมาชอบแค่ภาค3 ภาคเดียวเท่านั้น ยิ่งภาคที่แล้ว Force Awakens เป็นภาคที่เราไม่ชอบอย่างมาก แต่พอดูภาคนี้ก็รู้สึกโอเคขึ้นมานะครับ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
สิ่งที่ชอบในหนัง
1. ภาพที่สวยและสีที่สดของตัวหนัง และยิ่งได้ดูในระบบ IMAX 3D ทำให้รู้สึกเต็มตา 3Dนี่นูนจริงจัง ค่าตั๋วอาจจะแพงกว่าปกติ แค่ก็คุ้มค่ากับการดูหนังยิ่งใหญ่เรื่องนี้
2. การกลับมาของลุค สกายวอคเกอร์ คือส่วนที่ดีมากๆของหนัง Mark Hamill กลับมารับบทลุค หลังจากผ่านมานานกว่า 30 ปี การแสดงถือว่าเข้าตาเรามาก ชอบความกวน ความจริงจัง เข้าถึงตัวละครได้ดี 30 ปีก่อนเป็นยังไง ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น มีหลายฉากที่แฟนพันธุ์แท้ภาคเก่าๆต้องชอบมากแน่นอน
3. และตัวละครที่เราชอบมากที่สุดในภาคนี้คือ เจ้าหญิงเลอา ไม่รู้ทำไม แต่การแสดงทรงพลังมากๆ มีฉากเท่ๆหลายฉาก เสียดายที่ภาคต่อๆไปจะไม่ได้เห็นเจ้าหญิงกลับมาแสดงแล้ว :(( (ในหนังเป็นยังไงต้องชมนะครับ)
4. ไอเดียของดาวที่มีทรายสีแดง (หรือแร่ธาตุสีแดงเนี่ยแหละ) ชอบมากเลยนะ แบบว่าคนคิดคิดได้ไง มันเท่และสวย
5. เนื้อเรื่องที่พลิกไปมา เดาไม่ได้จับทางไม่ถูกเลย แต่ก็มีส่วนที่เราไม่ชอบนะ จะพูดในหัวข้อถัดไป
สิ่งที่ไม่ชอบในหนัง
1. เนื้อเรื่องบางอย่างมันสะกิดต่อม ว่ามันแปลกๆ ตัวละครบางตัวก็แปลกๆ คือมันไม่สมเหตุสมผลมากกว่า เนื้อเรื่องพลิกไปพลิกมาจริง แต่ตัวละครแสดงสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลออกมา (พยายามจะไม่คิดนะตอนดู แต่มันมีมาเรื่อยๆจนหงุิดหงิดเลยทีเดียว)
2. ตัวละคร ฟิน เป็นตัวละครที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับเรา ภาคที่แล้วคือส่วนที่ดีมากๆเลยนะ แต่ภาคนี้ตัวละครนี้น่ารำคาญมากที่สุดเลย
3. อัตราส่วน Imax ไม่เต็มจอ ทำให้มีขอบดำทั้งบนและล่างเยอะพอสมควร เวลาดูเลยเหมือนไม่เต็มจอเหมือนเรื่องอื่นๆ
4. ช่วงกลางเรื่องนี่มีแอบหลับ
สุดท้ายครับ อยากให้ไปดู Star Wars ในโรง IMAX จริงๆครับ ยิ่งถ้าใครชอบ 3D อยู่แล้วต้องห้ามพลาดเลยนะครับ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Star Wars: The Last Jedi - ปัจฉิมบทแห่งเจได
150 min | Action/Fantasy | Directed by Rian Johnson
ในฐานะแฟนสตาร์วอร์สมากว่ายี่สิบปี นี่คือ ภาคที่สนุกที่สุดและอาจดีเทียบเท่ากับสิ่งที่ Empire Strike Back ทำได้เลย โดยต่อจากนี้เราจะมาดูกันว่าทำไมนะครับ ภาคนี้คือภาคที่ 8 แล้วของสงครามแห่งดวงดาว ซึ่งภาคนี้ดำเนินเรื่องต่อจาก The Force Awakens เลยในแทบจะทันที ซึ่งในภาคนี้ให้อารมณ์เหมือนภาค 5 เล็กน้อยตรงการเรืองอำนาจของฝ่ายปฐมภาคี และความอับจนหนทางของฝ่ายดี หรือฝ่ายกบฏฝ่ายต่อต้าน รวมไปถึงการเดินทางไปเพื่อตามหาปรมาจารย์เจไดและฝึกของเรย์กับลุคที่พาให้นึกไปถึงสมัยที่ลุคไปฝึก แต่ทว่าใต้กลิ่นอายของภาคก่อน ๆ หนังกลับซ่อนไปด้วยความสดของไอเดีย ความแปลกใหม่ของอารมณ์ และการก้าวข้ามอดีตต่าง ๆ ซึ่งจุดนี้เองทำให้หนังภาคนี้กล้าที่จะแตกต่าง และสนุกมาก
ต้องชื่นชม ผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน ที่ทั้งกำกับและเขียนบทในภาคนี้ ที่โชว์วิสัยทัศน์ในการทำหนังที่ยอดเยี่ยมให้เราเห็นอีกครั้ง ทั้งงานอาร์ทคราฟต์หลาย ๆ อย่าง และการดึงศาสตร์ของภาพยนตร์มาใช้ยกระดับให้ภาคนี้มีความงดงามในแง่ของศิลปะภาพยนตร์มาก วิชวลที่สวยงาม เสียงที่โดดเด่น และลูกเล่นในการเล่าเรื่อง ช่วยดึงอารมณ์คนดูให้คล้อยตามกับทริคในการเล่าเรื่องทุกจุดได้อย่างอยู่หมัด เซอร์ไพร์สของหนังก็ได้ผลชะงัด เรียกเสียงฮือฮาของผู้ชมโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าสาวกให้ปลื้มปริ่ม ตื้นตันกันได้ สุดยอดมาก กราบคารวะ ไรอัน จอห์นสันจริง ๆ
คาแรคเตอร์ในเรื่องแม้หลายคนจะดรอปไป แต่ก็มีหลายคนที่ประกายแสงและโดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด สองตัวนำของเรื่องอย่างเรย์ และ ไคโลเรน ยอดเยี่ยมและมีมิติให้น่าค้นหาน่าจับตามองมากขึ้น ในพาร์ทเก๋า ขอพูดถึง ลอร่า เดิร์นก่อน เธอมาน้อยแต่ 100 เปอร์เซ็นต์ของแท้ น่าจดจำมาก และ มาร์ค ฮามิล ในบทบาทของลุค สกายวอล์คเกอร์ สุดยอดจริง ๆ รวมไปถึง แคร์รี่ ฟิชเชอร์ ในบทบาทของเจ้าหญิงเลอา สวยงาม งดงามมาก จริง ๆ
นอกจากความเข้มข้นของเนื้อหา ที่ดูสนุกแล้ว ยังมีซีนเท่ ๆ อีกมากมาย รวมไปถึงความหลากหลายรสของอารมณ์ เพราะหนังเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน และ ความซาบซึ้ง ความสิ้นหวัง ย่อยยับประมาณนึง กล่าวมาประมาณนี้ก็น่าจะพอให้ผู้ที่ผ่านมาอ่าน พอได้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของภาคที่ 8 The Last Jedi นี้แล้ว เรียกได้ว่า ทรงพลัง ยอดเยี่ยม และไม่อยากให้พลาดชมเลยยิ่งถ้าคุณได้ติดตามหนังชุดนี้มาโดยตลอด
May the force be with you " always " ครับ
สมการรอคอย!!! - รีวิว The Last Jedi ฉบับ “เด็กเดินตั๋ว” No Spoiled
หลังจากที่มีเวลาว่างพักผ่อน เด็กเดินตั๋วได้ดู Star Wars อีกครั้งทุกภาคทำให้นึกอยากดู Star Wars ภาค The Last Jedi ในโรงหนังสักครั้ง มีความตั้งใจว่าต้องดูให้ได้ กำลังอินมากๆ และ Hype Star Wars แบบสุดๆ เด็กเดินตั๋วได้นำพาร่างของตัวเองเข้าโรงหนังไปดูภาคล่าสุดอย่างใจจดใจจ่อและคาดหวังมากๆ....
และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ....
ทุกรายละเอียด และการถ่ายทอดช่างน่าประทับใจ และน่าปลาบปลื้ม ทุกอย่างเป็นไปแบบที่ สตาร์ วอร์ ควรจะเป็น เรื่องราวน่าติดตาม และทิ้ง hint หลายๆอย่าง ไว้อย่างที่ทุกๆ ภาคได้ทำเอาไว้ ปมเรื่องสายเลือด เรื่องศิษย์-อาจารย์ และเจไดคนสุดท้าย และสู้รบบู๊ล้างผลาญบนอวกาศและสนามรบ ตื่นเต้น เร้าใจ เป็นไปตามรสชาติของ สตาร์ วอร์ แบบไม่ออกห่างจากมาตรฐานเลย
งานสร้างเป็นสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย ภาพ realistic มาก สวยงามและสมจริง มุมกล้องเล่าเรื่องพอๆ กับการแสดงและบทสนทนา ส่วนผสมของเพลง เสียงประกอบและเสียงในหนังทำได้อย่างเนี้ยบ ทำให้การดูในโรงภาพยตร์จอใหญ่ๆ ยักษ์แบบ IMAX เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบและแนะนำมาก ทุกส่วนผสมมีผลทำให้ สตาร์ วอร์ เป็นแบบที่ควรเป็น บันเทิง แอคชั่น ดราม่าแบบลงตัว หลายฉากหลายซีนช่างได้อารมณ์ทั้งเศร้า ทั้งลุ้น มันส์ และหลายๆ ฉากการต่อสู้ออกแบบภาพ มุมกล้อง การแสดงได้เท่มาก เท่มากๆ....
ในส่วนของเนื้อเรื่องเด็กเดินตั๋วขอไม่กล่าวถึงใดๆ จะขอกล่าวเพียงสั้นๆ ถึงคำพูดหนึ่งที่อาจารย์โยดาได้พูดไว้ และยังจำได้อยู่เลยแม้จะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นก็ตาม “Failure is the great master…” อาจารย์ที่ดีที่สุดคือความล้มเหลว มันตื้นตัน มันเอ่อล้นและมีพลังมากๆ ความเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาและตัวละครมันช่างมีพลังมากๆ
แนะนำสำหรับแฟนๆ ให้ดูแบบ IMAX เลยรับรองความคุ้มค่า ส่วนผู้ใดที่ไม่เคยดู สตาร์ วอร์ แนะนำให้ดูทุกภาคก่อนเลย (อย่าลังเลเพราะความยาว ความเก่าของหนังเลย บอกเลยว่าคุ้มค่ามากที่ได้รู้จักแฟรนไชส์นี้) หรือถ้าหากไม่มีเวลามากนัก อย่างน้อยเด็กเดินตั๋วแนะนำให้ดูภาค Force Awakens ก่อนก็ยังดี เพราะเป็นภาคที่ค่อนข้างจะ reboot world ใหม่ และไม่ค่อยมีความเกี่ยวเนื่องกับ world เดิม (Legend) มากนัก ยังพอคลำๆ ไปได้ เพื่อปูทางสำหรับการดูภาค The Last Jedi และภาคใหม่ที่กำลังจะมาถึง
- เด็กเดินตั๋ว -
สรุปผลวิจารณ์หนัง