Love Simon - อีเมล์ลับฉบับ ไซมอน
หนัง Love Simon หรือชื่อไทยว่า อีเมล์ลับฉบับ ไซมอน ทุกคนสมควรที่จะมีเรื่องรักดี ๆ กันสักครั้ง แต่สำหรับเด็กหนุ่มวัย 17 ปี อย่าง ไซมอน สเพียร์ มันค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย เขายังไม่ได้บอกครอบครัว หรือเพื่อนเลยว่าเขาเป็นเกย์ และเขายังไม่รู้เลยว่าเพื่อนชายที่เขาตกหลุมรักทางอินเตอร์เน็ตนั้นเป็นใครที่เป็นเพื่อนร่วมชั้น การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มันเลยค่อนข้างจะวุ่นๆ ตื่นเต้น และเต็มไปด้วยเสียงฮาที่แสนจะมีชีวิตชีวา ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Greg Berlanti (ผลงานที่ผ่านมาคือ Dawson's Creek และ Brothers & Sisters) เขียนบทโดย Isaac Aptaker และ Elizabeth Berger จาก This is us โดยมีเค้าโครงเรื่องมาจากนวนิยายเรื่อง Love, Simon ฝีมือการเขียนของ Becky Albertalli ที่จะเป็นเรื่องราวสุดสนุกและชวนให้ใจละลายไปกับการก้าวข้ามวัยที่จะชวนให้คุณได้ค้นพบตัวเอง ไปพร้อมๆกับการตกหลุมรักใครสักคน
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
Love Simon (อีเมล์ลับฉบับ ไซมอน)
เป็นหนังโลกสวย ของนักเรียนวัยมัธยม ดำเนินเรื่องโดยชายที่ชื่อไซมอน ที่มีเพื่อนสนิทและครอบครัวที่อบอุ่น แต่เค้ามีความลับที่ไม่เคยบอกใครเลย นั่นคือเค้าเป็นเกย์ และได้คุยกับชายที่เป็นเกย์อีกคนบนอีเมล์ ที่ชื่อว่า "บลู" แต่สุดท้ายอีเมล์ได้หลุดจนทุกคนในโรงเรียนได้อ่าน
หนังดำเนินเรื่องในแบบชีวิตเด็กมัธยม High School น่ารักสดใส ครอบครัวก็อบอุ่น ดำเนินเรื่องเรียบๆ ไม่ค่อยมีจุดพีค ดูจบแล้วก็รู้สึกไม่สุด แต่ก็ได้ความเข้าใจเรื่องเพศมากขึ้น เป็นหนังที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยเลย มันมีหลายอย่างที่สอนเรา ช่วยให้เราเข้าใจในชีวิตคนเกย์ ได้มากขึ้นเลยทีเดียว
คุณภาพของภาพและเสียง
โทนสีของหนังเป็นสีสว่าง สีสด ดูแล้วให้อารมณ์วัยรุ่นสดใส แต่เพลงที่ใช้ประกอบไม่สามารถดึงหนังให้ดีขึ้นเลย ก่อนดูหนังเรื่องนี้ ได้ฟังเพลงประกอบหนังของเรื่องนี้หลายเพลง แล้วชอบเพลงมาก แต่พอเอาไปประกอบกับหนัง รู้สึกมันไม่เข้ากับตัวหนังเลย ทำให้เฟลสุดๆ (เสียดายเพลงเพราะๆ ไม่สามารถช่วยอะไรตัวหนังได้เลย)
บทหนัง เนื้อเรื่อง การดำเนินเรื่อง
บทหนังได้ดัดแปลงจากหนังสือ นำเสนอได้น่ารักและอบอุ่น พูดถึงเพศที่เรียกว่า เกย์ ได้อย่าละมุน ลื่นไหล ไม่สะดุด ดูแล้วก็อินไปกลับหนังนะ แต่หาจุดพีคไม่เจอ เหมือนจะพีคแต่ก็ไม่พีค ดูจบแล้วรู้สึกหนังโลกสวยไปหน่อย (แต่ทำให้เราดูได้อย่างสบายใจ ไม่ดราม่าจนเราเครียด) นักแสดงบางฉากแสดงไม่เนียน บางทีมุมกล้องก็จงใจ กลายเป็นว่าไม่ต้องเดาเนื้อเรื่อง ก็มองออกว่าเนื้อเรื่องจะเป็นยังไงต่อ แต่นักแสดงเคมีตรงกัน ถือว่าเป็นข้อดีมากๆ ที่ทำให้หนังดูสนุกขึ้นมาเลยทีเดียว
ด้านดี
หนังเล่าเรื่องความเป็น เกย์ ได้อย่างน่ารักดูแล้วเราจะเข้าใจความเป็น เกย์ มากขึ้น (ผู้ใหญ่ในไทยบางคนไม่เข้าใจเรื่องนี้ เหมาะมากๆ ที่จะพาท่านไปดู) อีกเรื่องที่ดีคือฉากครอบครัว ต้องดูจนจบจะรู้ว่าครอบครัวที่ดีต้องเป็นแบบไหน ซึ่งหนังทำตรงนี้ได้ดีมากๆ Josh Duhamel ที่รับบทเป็นพ่อของไซมอน แสดงดีมากๆ มุกตลกก็ฮา มุกดราม่าก็ดี เวลาเจอฉากพ่อของไซมอนโผล่มา จะรู้สึกดีเสมอเลย รู้เลยว่าต้องสนุกแน่ๆ
ด้านแย่
อย่างที่บอกข้างต้น เสียดายเพลงประกอบหนังมากๆ เพลงเพราะแต่ไม่เข้ากับหนัง ดึงให้หนังแย่ลงไปอีก เสียดายมากๆ ตรงนี้ อีกอย่างคือไม่มีจุดตื่นเต้นหรือจุดพีคให้น่าจดจำเลย ดูจบแล้วออกมาคุยกับเพื่อนก็ไม่รู้จะคุยอะไรเพราะไม่ค่อยทีประเด็กให้มาคุยกัน แถมหนังก็โลกสวยสุดๆ ไปเลย ดูจบแล้ว เออ..ง่ายแบบนี้เลยหรอ?
เป็นหนังดีมากๆ ในการเล่าเรื่อง เกย์ ที่ทำให้ออกมาได้น่ารักขนาดนี้ เสียดายที่โรงที่ฉายมีน้อยมากๆ เลย แต่ถ้ามีโอกาสและเวลา แนะนำให้ตีตั๋วเรื่องนี้และเข้าโรงไปดูนะครับ มันเป็นหนังที่อบอุ่น ไม่เสียดายที่เข้าไปดูแน่นอน
Love Simon ภาพยนตร์ฮอลลีวูด Feel Good ที่ดูแล้วอบอุ่นหัวใจ
ยอมรับว่าทีแรกเรื่องนี้แทบจะไม่ได้อยู่ในสายตาผมเลย เพราะว่าหนังแนวๆ นี้ โดยเฉพาะที่เป็นหนังเกย์ หรือเพศทางเลือกของฮอลลีวูด มักจะมีจุดจบแบบเดียวกันแทบจะทั้งหมด นั่นก็คือความผิดหวัง ซึ่งส่วนตัวผมเองไม่ค่อยชอบหนังที่จะจบแบบนี้เท่าไหร่ เนื่องด้วยอยากให้หนังเป็นตัวจุดประกายความหวังไม่ว่าจะเป็นเพศไหน ก็คู่ควรกับการรับความรักที่สมหวังซักครั้งในชีวิต
สำหรับใครที่มองหาหนังที่ดูแล้วรู้สึกอบอุ่น อารมณ์ดี ซึ่งจนน้ำตาไหล เรื่อง Love Simon นั้นตอบโจทย์เป็นอย่างมาก โดยเรื่องราวจะว่าด้วย ไซม่อน เด็กหนุ่มไฮสคูล ธรรมดา ที่มีชีวิตปกติ แต่เขาเองก็ต้องปกปิดความลับเรื่องเพศสภาพ กับทุกๆ คนรอบตัว จนอยู่มาวันนึง ในบล๊อคของโรงเรียน ชายนิรนามชื่อบลู ออกมาสารภาพว่าเป็นเกย์ ซึ่งจุดประกายให้ไซม่อน อยากรู้จัก และคุยด้วย
เรื่องราวทั้งหมดจะดำเนินไปในทางสดใส ฟีลกู๊ดมาก ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างครอบครัว เพื่อนพ้อง และคนรัก ที่ต้องใจช่วยตลอดทั้งเรื่องจริงๆ
สรุปแล้ว Love, Simon ถือเป็นหน้าม้ามืด เป็นหนังน้ำดีอีกเรื่องที่อยากให้ใครๆ ได้ชมกันในโรง แต่เนื่องด้วยบ้านเราฉายช้าเอามากๆ จึงมีฉายแบบโคตรจำกัดโรง แต่ถ้าบ้านอยู่ไกล แล้วอยากดู บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่าแก่การเดินทางมาชมแน่นอน 9.5/10 ไปเลยสำหรับเรื่องนี้
สรุปผลวิจารณ์หนัง