Ant-Man and the Wasp - แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์
หนัง Ant-Man 2 หรือชื่อไทยว่า แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ ควันหลงจาก กัปตัน อเมริกา: ซีวิล วอร์, สก็อตต์ แลงก์ ต้องรับมือกับผลลัพธ์ในสิ่งที่เขาเลือกทั้งในฐานะซูเปอร์ฮีโร่ และความเป็นพ่อ ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ต้องพยายามสร้างสมดุลของชีวิตที่ครอบครัวและหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะ แอนท์-แมน เขาต้องร่วมมือกับ โฮป แวน ไดน์ และดร. แฮงค์ พิม ในภารกิจใหม่สุดเร่งด่วน สก็อตต์ต้องกลับมาสวมชุดใหม่อีกครั้ง และเรียนรู้ที่จะต่อสู้เป็นทีมไปพร้อมกับเดอะ วอส์พ เพื่อหาคำตอบในอดีตที่เป็นปริศนาของพวกเขา
As Scott Lang balances being both a Super Hero and a father, Hope van Dyne and Dr. Hank Pym present an urgent new mission that finds the Ant-Man fighting alongside The Wasp to uncover secrets from their past.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
แอนท์แมน คือ หนังตลก....พูดเลย ฮามากแต่ไม่เกรียนเท่าเดดพูลและ The Gardian Of The Galaxy มีลูกเล่นสนุกๆ แพรวพราวเหนือความคาดหมาย ได้อารมณ์หนังแอคชั่นมันส์ๆ ผสมๆ กับหนังครอบครัวฮาๆ สักเรื่องหนึ่งเลย... รู้สึกได้ถึงความเอนเตอร์เทนมากๆ
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับมิติควอนตัมมากกว่าเรื่องอื่นๆ... ควรดูภาคแรกมาก่อนไม่งั้นไม่ฮา ไม่รู้เรื่องแน่ๆ... ส่วนมุกไหนที่เป็น Gimmick เป็นมุกเด็ดๆ ก็ยังคงมีอยู่ให้หายคิดถึง ซีจีไม่ตกมาตรฐานมาเวลเลย ทำได้ดีมากๆ การดำเนินเนื้อเรื่องก็ชวนติดตามไม่ตกมาตรฐานเช่นกัน งานสร้างก็อลังการใช้ได้อยู่แม้ไม่เท่าอินฟินิตี้วอร์หรือแบล็กแพนเตอร์แต่ก็อยู่ในมาตรฐานที่รับได้ของมาเวลอยู่แล้ว
ด้วยความเป็นหนังภาคต่อ ความสมบูรณ์หรือความประทับใจมักเป็นรองหนังภาคแรกอยู่ประมาณนึงเลย แต่เป็นหนังที่ตลกและสนุกๆ เรื่องหนึ่งเลย
- เด็กเดินตั๋ว -
ป.ล. มี End Credit สองครั้งนะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Ant-Man and the Wasp
หนังมนุษย์มด ที่ยังคุมโทนหนังด้วยอารมณ์ขัน ครอบครัว และความแสบของกลุ่มพระเอก ที่ทำให้หนังเต็มไปด้วยความสนุกและความอบอุ่น และส่วนตัวผมเองผมชอบภาคนี้นะ มีฉากตลกที่แบบหยุดขำไม่ได้เลย มีฉากแอคชั่นที่ดี CG เนียนกริบมากๆ และระบบ IMAX3D ที่ดีสุดๆ ไปเลย
บทหนัง เนื้อเรื่อง การดำเนินเรื่อง
เนื้อเรื่องภาคนี้เต็มไปด้วยความเป็นครอบครัว เส้นเรื่องเล่นเนื้อหาครอบครัวเป็นหลักเลย ซึ่งหนังทำออกมาได้ดีมากๆ อีกทั้งเนื้อเรื่องก็ลื่นไหล สนุกตั้งแต่ต้นจนจบเลย เป็นมุมครอบครัวอีกแบบนึงในหนังแนวฮีโร่เลย (ทุกทีเจอแต่เส้นเรื่องเดิมๆ แต่ Ant Man สามารถทำให้แตกต่างได้น่ารักและอบอุ่นมากๆ) มุกตลกต้องยอมรับว่ามีฉากหนึ่งที่หยุดขำไม่ได้ หัวเราะจนน้ำตาไหล ฮาแบบต่อเนื่องมาก (ฉากนั้นเกือบขาดใจตาย :D )
ภาคนี้จะมีตัวละครที่เด่นขึ้นมาอีกตัวนั่นก็คือคู่หูของ Ant Man หรือว่า The Wasp นั่นเอง โดยมี Evangeline Lilly เป็นผู้แสดง จะบอกว่าแสดงบทบู๊ได้เก่งสุดๆ ไปเลย เท่มากๆ เอาใจไปเลยครับ และอีกตัวละครที่ชอบมาตั้งแต่ภาคที่แล้วก็คือ Luis นำแสดงโดย Micheai Pena คือแสดงได้ตลกมากๆ ภาคแรกฮาเท่าไร ภาคนี้ก็ไม่แพ้กันอาจจะฮามากกว่าด้วยซ้ำ
อีกอย่างคือชอบเนื้อเรื่องของตัวร้ายในภาคนี้ มันไม่ได้ร้ายมากมายอะไรแต่แบบมีเส้นเรื่องประกอบการแสดงทำให้เรารู้สึกชอบมากๆ
คุณภาพของภาพและเสียง
ด้านนี้จะขอรีวิวในระบบ IMAX3D นะครับ จะบอกว่าฉากแรกของหนัง 3D ทะลุหน้าจอมากกกกกก!!!! จนแบบว่าเออคุ้มมาก คุ้มแล้วที่ได้มาดูในระบบนี้ และ 3D ก็ดีตลอดเรื่องเลยนะครับ ทำให้ภาพดูมีมิติมากๆ แถมสีสวยขึ้นอีกเยอะเลยครับ ส่วนทางด้านเสียง แปลกตรงที่ระบบเสียงในโรงเฉยๆ มาก sound ไม่ค่อยบิ้วสักเท่าไรเลยครับ (บางฉากเสียงเบาด้วย)
ด้านดี
อย่างที่กล่าวมาข้างต้น มีด้านดีเยอะมาก ด้านเนื้อเรื่อง ด้านความฮา ด้าน 3D ด้าน CG (จะบอกว่า CG ทำได้ดีมากๆเลยครับ ตอนแบบย่อร่าง ขยายร่างแบบว่าเนียนมากๆเลย) ถือว่าครบเครื่องมากๆ ครับ และนักแสดงยังแสดงได้ดีอีก ช่วยกันแบกเนื้อเรื่องเอาไว้ ทุกคนทำได้ดีจนรู้สึกหนังมันดีมากๆ เลย
ด้านแย่
ระบบเสียงเลยครับ แอบตกใจที่หนังเสียงเบามาก ทุกทีในโรง IMAX เสียจะกระฮึ่มมาก แต่เรื่องนี้เสียงเบา
สรุป จะบอกว่าผมรักหนังเรื่องนี้มากๆเลยนะ ดูง่าย สนุก ตื่นเต้น น่ารัก อบอุ่น และตลกมากกกกกก!!! มันครบรสในหนังเรื่องนี้ อีกอย่าง CG ก็เนียนกริบ 3D ก็เทพ ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นหนังฮีโร่ของ MARVEL อีกเรื่องที่จะดูซ้ำอีกหลายๆ ครั้งครับ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Ant-Man and the Wasp " ฮีโร่ที่ดีต้องมีคู่หู "
118 min | Action/Sci-fi | Directed by Peyton Reed
เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ?
หลังจากที่ทุกคนต้องพบกับจุดพลิกผันครั้งยิ่งใหญ่ใน Avengers: Infinity War หลายคนคงสงสัยว่าฮีโร่บางคนนั้นหายไปไหน โดยเฉพาะมนุษย์มดอย่าง Ant-Man ที่หายไปเลยหลังจากเหตุการณ์ใน Civil War ซึ่งในภาคต่อนี้จะเล่าเรื่องราวของสก๊อต แลง หลังผ่านเหตุการณ์ใน Civil War มาเลยทันที เพราะเขาเลือกที่จะรับโทษและโดนกักบริเวณเพื่อที่จะได้ล้างโทษและใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาว แต่เรื่องราวก็ไม่จบง่ายขนาดนั้น เมื่อแฮงค์ พิม ค้นพบวิธีที่จะช่วยภรรยาของเค้าที่ติดอยู่ในมิติควอนตัม และสก๊อต แลงก็เป็นกุญแจสำคัญในภารกิจครั้งนี้ ทำให้ Ant-Man ต้องกลับมาทำภารกิจอีกครั้ง
ความรู้สึกแรกหลังดูจบ..
จากที่คิดว่านี่อาจเป็นหนังคั่นเวลาธรรมดาๆ เรื่องนึง แต่กลับกลายเป็นว่าหนังดูสนุกมากกว่าที่คิด ด้วยความที่หนังสลัดความก้ำกึ่งระหว่างผู้กำกับใหม่ และ สิ่งที่เอ็ดการ์ ไรท์ เคยสร้างไว้ ทำให้ภาคที่ 2 นี้กลายเป็นหนังภารกิจโจรกรรมที่มีส่วนผสมของความตลกขบขันอยู่ด้วย
สิ่งที่น่าชื่นชม
สิ่งที่ชอบมากที่สุดเห็นทีจะเป็นความที่นี่คือหนังมาร์เวลที่ไม่เน้นภารกิจกู้โลกใหญ่โต แต่เป็นการเปิดศึกแย่งชิงเทคโนโลยี (หรือโจรกรรมสิ่งของกัน) จากหลายฝ่าย ทำให้หนังมีความซับซ้อนและน่าติดตามมากยิ่งขึ้นกว่าภาคแรก และนอกจากนี้ ตัวละครต่างๆ ในเรื่องก็ดูจะมีมิติมากขึ้น พอลล์ รัดด์ ดูมีความสุขมากในการแสดงเป็นสก๊อต แลง เขาใส่ความฮา ความทะเล้นเข้าไปแบบจัดเต็ม หลายจุดที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นก็มาจากเค้า และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือพวกแก๊งลูอิส และชาวคณะ ที่ภาคนี้ก็ยังฮาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือจังหวะเล่นมุกที่เฉียบและดูสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้อีกจุดที่เสริมขึ้นมาและช่วยให้หนังน่าสนใจยิ่งขึ้นคือเน้นในเรื่องราวความสัมพันธ์ในครอบครัวของ แฮงค์ พิม และ โฮป แวน ไดจ์ มากยิ่งขึ้น ทำให้ Ant-Man and the Wasp เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างหนังโจรกรรม ฮีโร่ ตลก และครอบครัวได้อย่างลงตัว
สรุป
Ant-Man and the Wasp เป็นมากกว่าหนังที่ขั้นเวลาก่อนดู Avengers 4 เพราะมีจิ๊กซอว์ต่างๆ ที่สาวกมาร์เวลต้องมาตามเก็บตามดูกันมากมาย แถมถ้ามองเป็นหนังที่เป็นเอกเทศน์เรื่องนึง ก็ถือว่าเป็นหนังที่ค่อนข้างดูได้อย่างเพลิดเพลิน และสนุกกว่าที่คาดไว้มาก เป็นอีก 1 เรื่องที่ชาวมาร์เวลไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง และแน่นอนว่า ฉากหลังเอนด์เครดิตนั้นเกี่ยวข้องกับ Avengers อย่างแน่นอน
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Ant-Man and the Wasp
"ฮีโร่ขนาดจิ๋วที่แบกความสนุกมาเท่าตัว"
นี่ก็เป็นครั้งที่ 3 ที่เราได้เห็นฮีโร่ตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นมา นับตั้งแต่ครั้งแรกใน Ant-Man (2015) จนครั้งต่อมาใน Captain America: Civil War (2016) และล่าสุดกับภาคต่ออย่างเป็นทางการของ Ant-Man ในชื่อเรื่องที่ว่า Ant-Man and the Wasp โดยมีชื่อแปลไทยอย่างง่ายๆ ว่า แอนท์-แมน และ เดอะ วอสพ์ (ทั้งๆ ที่ภาคแรกตั้งชื่อซะเท่เลย “มนุษย์มดมหากาฬ” เงี้ย) ถือว่าทิ้งช่วงมา 3 ปีให้เราได้กลับมาพบกับตัวละครตัวนี้อีกครั้ง แต่ในภาคนี้ได้มีคู่หูคู่ใจมาอีก 1 นั่นก็คือ The Wasp ที่ทั่งสวย เก่ง และเท่ ในแบบฉบับสาวบู๊
หนังในจักรวาล MCU แต่ละเรื่องล้วนก็มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง และแน่นอนว่าเรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่บอกมาตั้งแต่ภาคแรกๆ แล้วว่า “เราสายฮานะ” ด้วยองค์ประกอบการเล่าเรื่อง ตัวละคร บรรยากาศต่างๆ มุกเอย อะไรเอย ที่ชวนให้ยิ้มหัวเราะเกือบทั้งเรื่อง
หนังเรื่องนี้เปรียบเสมือน Side-story ของ Avengers: Infinity War กับคำถามที่หลายๆ คนสงสัยว่า “Ant-Man หายไปไหน?” นั่นแหละคำตอบก็อยู่ในเรื่องนี้ เพราะเนื้อเรื่องในภาคนี้เป็นเรื่องราวสืบเนื่องมาจาก Captain America: Civil War ซึ่ง ดูๆ แล้วเรื่องราวในภาคนี้ก็เป็นเรื่องราวที่ไม่มีฉากเครียดสักเท่าไหร่ แต่ทำออกมาได้บันเทิงสุดๆ
ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะแฝงไปด้วยความตลกชวนหัวเราะขนาดนั้น แต่ทางด้านฉากแอ็คชั่นก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันเลย ถึงแม้อาจจะไม่ได้มีเยอะเหมือนหนัง MCU เรื่องอื่นๆ แต่มี 2 ฉาก ที่แอดชอบมากๆ คือฉากบู๊แรกของ The Wasp ที่ทั้งดูเท่ มีสไตล์ รุนแรง และฉากขับรถสู้กันในช่วงเกือบท้ายเรื่อง โดยภาพรวมแล้วทำเราได้เห็นเลยว่าในเรื่องนี้ได้นำการย่อ/ขยายไซส์ มาใช้กับเนื้อเรื่องได้อย่างลงตัวมากๆ บวกกับการแสดงของเหล่ากลุ่มตัวเอก ไม่ว่าจะเป็น Paul Rudd (Scott Lang / Ant-Man) ที่ภาคนี้จัดหนักจัดเต็ม เล่นใหญ่ โคตรฮา และไม่กลัวเสียฟอร์มเลยแม้แต่น้อย ประกบคู่มากับ Evangeline Lilly (Hope Van Dyne / The Wasp) ที่ดูเป็นสาวดุ ขาลุย และเท่เอามากๆ ซึ่งทำให้เคมีเข้ากับพระเอกได้เป็นอย่างดี ตามมาด้วย Michael Douglas (Dr. Hank Pym) ที่มีบทบาทมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากภาคแรก และทำให้ทั้ง 3 คนพอมาอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด และเหล่าตัวประกอบที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้อย่าง Michael Pena (Luis) ที่โผล่มาทุกฉากต้องฮา แค่เห็นหน้าเราก็ฮาแล้ว แถมในภาคนี้ยังมีฉากพล่ามของเขาอย่างหนักหน่วงเลยทีเดียว และตัวประกอบอื่นๆ ที่เล่นได้ดีไม่แพ้กันเลย ไม่ว่าจะเป็น Laurence Fishburne (Dr. Bill Foster ), Michelle Pfeiffer (Janet Van Dyne / The Wasp) และตัวละครเพื่อนพระเอกที่ถึงแม้เราได้เห็นพวกเขาเพียงไม่กี่ฉากเท่านั้น แต่พวกเขาก็แสดงออกให้เราเห็นแล้วว่าแสดงได้ดีเลยแหละ
แต่ที่น่าผิดหวัง คงจะเป็น “คาแร็คเตอร์ของตัวร้าย ที่เหมือนใส่มางั้นๆ” กับตัวละครอย่าง Ghost ที่เปิดตัวออกมาได้น่าสนใจ แต่ก็...นะ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ เผื่อใครดูมาแล้วก็คงเข้าใจเหมือนกัน และเรื่องราวของมิติควอนตัมที่ภาคแรกปูมาได้น่าซับซ้อน ลึกลับ เป็นมิติที่เข้าแล้วออกมาไม่ได้ แต่ในภาคนี้เข้าออกกันง่ายราวกับประตูหน้าบ้านหลังบ้านตัวเองซะอย่างงั้น - -
สรุป ในเวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงที่คุณได้ดูเรื่องนี้ คุณจะได้รับความ “บันเทิง” ไปเต็มๆ เหมือนดูหนังตลก รอมคอม ครอบครัวที่มีธีมเป็นซูเปอร์ฮีโร่ยังไงยังงั้น ที่ถึงแม้ว่าหนังจะเป็นมนุษย์มดขนาดจิ๋ว แต่ก็แบกความสนุกมาเท่าตัวเลยที่เดียว
ปล. หนังเรื่องนี้มี Mid-Credit และ End-Credit ซึ่งบอกเลยตัวแรกว้าวแค่ไหน ตัวที่สองว้าวยิ่งกว่า!!!
Ant-Man and the Wasp จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่หายไปช่วงอเวนเจอร์ส 3
หลายคนคงสงสัยว่า แอนท์-แมนหายไปไหนในอเวนเจอร์สภาคล่าสุด ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ทำไมพี่แกไม่ไปช่วยคนอื่นๆ ซึ่งนี่เป็นโจทย์ที่ท้าทายจริงๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ เพราะมีความเสี่ยงอยู่เหมือนกัน เนื่องมาจากความพีคของจักรวาลมาร์เวล มันดำเนินมาถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอเวนเจอร์ มหาสงครามล้างจักรวาล ที่ได้ชมกันไปตอนเดือน เมษาแล้ว ทุกคนรู้จุดจบของภาคนั้นอยู่แล้ว จะทำหนังเดี่ยวยังไงที่ใช้ช่วงเหตุการณ์ ก่อนในอเวนเจอร์
เนื้อเรื่องภาคนี้ก็ดำเนินตามตัวอย่างที่ปล่อยออกมาให้ชมกันนั่นก็คือ เป็นเหตุการณ์หลังจาก Captain America Civil War เมื่อแอนท์-แมนได้ช่วยกัปตันอเมริกาหลบหนีการจับกุม จนทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก ติดทัณฑ์บน ต้องอยู่ภายในบ้านของตัวเองให้ครบกำหนด ไม่งั้นจะโดนจับขังคุก แต่เรื่องราวยุ่งๆ ต่างๆ ก็ดันมาเกิดช่วงปลายๆ ของทัณฑ์บนนี้ แอนท์-แมนเลยต้องใช้กลเม็ดต่างๆ ในการหลอกล่อให้ไม่ถูกจับได้ว่าหนีออกจากบ้าน
นอกจากปมของแอนท์-แมนที่เป็นผลกระทบมาจาก CivilWar แล้วประเด็นหลักๆ ของภาคนี้ยังคงดึงประเด็นของครอบครัวของแฮงค์พิม ที่ต้องสูญเสียเจนเน็ต ภรรยาอันเป็นที่รัก (เดอะวอส์ป) คนแรก ไปในภาระกิจลับเมื่อปี 1996 จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจนเน็ต ยังไม่ตาย และได้พยายามติดต่อให้ทุกคนไปช่วยเหลือเธอออกจากมิติควอนตั้ม
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าภาคนี้เป็นหนังที่เนื้อเรื่องจะเป็นตัวของตัวเองโดดๆ ไม่ได้มีฮีโร่คนอื่นๆ มาช่วย หรือมาเอี่ยวด้วยแต่อย่างใด เป็นหนังภาคแยกภาคเดี่ยวที่ดำเนินเรื่องสนุกใช้ได้ เต็มไปด้วยฉากแอคชั่นตลอดทั้งเรื่อง แถมมาด้วยมุขฮาๆ และเสน่ห์จากภาคแรกก็ไม่ได้หายไป พร้อมทั้งปิดฉากเรื่องด้วย Mid-cradit ที่ทำให้ต้องชวนว้าว และอยากดูต่อไวๆ เลยทีเดียว
เป็นหนังที่เหมาะกับคนที่เคยดูภาคแรก และ Civilwar มาก่อนเท่านั้นจริงๆ ไม่งั้นคงจะเก็บประเด็นต่างๆ ในเรื่องได้ไม่ครบ ส่วนตัวผมเองชอบในการกระจายบนให้แต่ละตัวละคร และการตัดต่อ มากกว่าอเวนเจอร์ส์ 3 ซะด้วยซ้ำไป (เรื่องนั้นเหมือนกับการตัดฉากต่างๆ มาแปะๆ ให้ครบๆเป็นเรื่องราวยาวแค่นั้นจริงๆ) ผมให้ 8/10 ไปเลยสำหรับเรื่องนี้
สรุปผลวิจารณ์หนัง