The Martian - กู้ตาย 140 ล้านไมล์
หนัง The Martian หรือชื่อไทยว่า กู้ตาย 140 ล้านไมล์ The Martian ถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างภารกิจการสำรวจดาวอังคาร นักบินอวกาศ มาร์ค วัทนีย์ (แมตต์ เดมอน) ได้รับการสันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้วหลังเกิดพายุรุนแรงและทีมปฏิบัติภารกิจได้ทิ้งเขาไว้เบื้องหลัง แต่วัทนีย์กลับเอาชีวิตรอดมาได้และพบว่าตนเองถูกทิ้งไว้ตามลำพังบนดาวเคราะห์ที่มีสภาพไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ด้วยเสบียงเพียงเล็กน้อย เขาต้องใช้ความฉลาด ไหวพริบ และความมุ่งมั่นเพื่อการอยู่รอดและหาทางส่งสัญญาณกลับมายังโลกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ จากระยะทางที่ไกล นับหลายล้านไมล์ นาซ่าและทีมนักวิทยาศาสตร์จากนานาชาติต่างพยายามนำ “เดอะ มาร์เชียน” กลับบ้าน ขณะเดียวกันเพื่อนร่วมทีมของเขาได้ร่วมกันวางแผนว่าจะเป็นอย่างไรหากภารกิจการช่วยเหลือล้มเหลว จากเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เห็นความกล้าหาญ ทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อให้แวทนีย์กลับมาอย่างปลอดภัย
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
The Martian - กู้ตาย 140 ล้านไมล์
141 min | Sci-fi | Directed by Ridley Scott
หลังจากที่แอบเป๋ไปบ้างกับเรื่องก่อนๆอย่าง Exodus ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก แต่กับ มาเชี่ยน ผลงานเรื่องล่าสุดของ ริดลีย์ สก็อตต์ นั้นจากที่ผมได้มีโอกาสชมแล้วต้องถือว่าเป็นงานที่ยอดเยี่ยมเรื่องนึงของเราเลยทีเดียว ซึ่งหนังเรื่องนี้เล่าถึง ตัวเอกของเราซึ่งเป็น 1 ในสมาชิกคณะสำรวจดาวอังคาร เกิดอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติงานทำให้เขาต้องติดอยู่ที่ดาวอังคารคนเดียว อีกทั้งเพื่อนๆในทีมยังคิดว่าตายไปแล้ว แต่เขากลับยังมีชีวิต และต้องดิ้นรน งัดความรู้ความสามารถทุกอย่างออกมาเพื่อเอาชีวิตรอดบนดาวอังคาร ที่ซึ่งห่างจากบ้านเกิดหลายร้อยล้านไมล์ให้ได้ เพื่อรอความช่วยเหลือและกลับไปยังโลก
ตอนแรกค่อนข้างรู้สึกเฉยๆไม่อยากดูเท่าไหร่นะครับ เพราะหลายคนคงเป็นเหมือนผมคือเริ่มเอียนกับหนังอวกาศแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ก็มีทั้ง Interstellar มี Gravity และอื่นๆอีกหลายต่อหลายเรื่อง แต่สำหรับเรื่องนี้มันมีดีกว่าที่คาดเอาไว้มากๆ ด้วยความที่หนังเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ แต่ระหว่างนั้นมันมีเหตุการณ์ตลอด มีอะไรให้ตกใจให้ลุ้นอยู่ตลอด ทำให้ในแง่ของความสนุก มันค่อนข้างบันเทิงมากๆครับ ไม่ต้องกังวลถึงความน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย
อย่างต่อมาคือเทคนิคต่างๆในภาพยนตร์ ทั้งภาพ วิชวล กราฟฟิคต่างๆ สมจริง และ สวยงามมากๆครับ โดยเฉพาะดาวอังคารให้ความรู้สึกอ้างว้าง อันตราย และน่าหลงไหลไปในตัว ด้านเสียงดนตรีประกอบ อันนี้เจ๋งมากๆครับ มีหลายเพลงที่แสดงให้เห็นถึงรสนิยมอันดีเยี่ยมของผู้กำกับเลย ส่วนด้านอื่นๆ ทั้งบท ทั้งลีลาหรือวิธีในการเล่าเรื่องนั้นก็เอาอยู่
แต่ส่วนที่ต้องชมมากๆคือ แมตต์ เดมอน หรือพระเอกของเรา เอาหนังอยู่มากๆครับ คือจะครบก็ครบบทบาททั้งตลก เศร้า เอาชีวิตรอด รันทด มาครบ ทำให้เราอินและลุ้นเอาใจช่วยเขาไปได้ตลอด ซึ่งหนังเรื่องนี้นอกจากจะเอาใจช่วยตัวละคร ลุ้นกันตัวโก่งแล้ว อีกสิ่งนึงที่ชอบก็คือมุกตลกร้าย และมุกเนิร์ดๆ ที่ผู้กำกับแอบสอดแทรกมาตลอดยิ่งทำให้ไม่เบื่อเข้าไปใหญ่
และอย่างสุดท้ายที่พูดถึงไม่ได้ คือ หนังดูไม่เวอร์วังอะไรมาก หลักวิทยาศาสตร์ดูจับต้องได้และน่าเชื่อถือ ไม่ได้ล้ำโลกล้ำจักรวาลอะไรมาก ย่อยง่าย ไม่งงเลยครับ
สรุปเลยคือแนะนำให้ไปชมเลยครับผม ไม่ผิดหวังแน่นอน แอบเชียร์ให้ไปถึงเวทีรางวัลในช่วงต้นปีหน้าด้วยครับ นานๆทีจะเจอหนังอวกาศคุณภาพที่ไม่เน้นปรัชญา สนุก บันเทิง และครบรสแบบนี้ไม่อยากให้พลาดจริงๆครับ
The Martian (Ridley Scott / USA / 2015)
เฉยๆ มาก เฉยกว่าที่คิดว่าจะมีอะไรให้สนุกดูเพลินหรือตื่นเต้นหนักหน่วงกว่านี้แฮะ มันเรื่อยๆ ซะมากกว่าในส่วนของเนื้อหนังและการเล่าเรื่องของปู่ผู้กำกับ Ridley Scott เอาจริงคือความรู้สึกเอ็นจอยไม่ค่อยต่างจากตอนดู Exodus: Gods and Kings (Ridley Scott / USA / 2014) ที่คนเขาด่าๆ และผิดหวังกันเลยนะ ก็ไม่ใช่เสียทีเดียวแต่มันก็เหมือนพล็อตเรื่องเก่าเล่าใหม่ที่ไม่ได้ไปไหนไกลกันทั้งคู่ The Martian โอเคกว่าหน่อยนึงที่โดยรวมรู้สึกมันไหลลื่นกว่าในส่วนสัดและรายละเอียดของบทตั้งแต่ต้นจนถึงบทสรุปต่างๆ นานา แล้วก็ตอนช่วงที่มันพยายามเอาตัวรอดนั่นแหละที่สนุกน่าติดตามดี
แต่วิธีการเล่าบางช่วงบางตอนที่ใช้เพลงใช้สกอร์มาสมาน montage หรือให้ตัวละครพูดบทขณะพิมพ์ข้อความรู้สึกว่าไม่ค่อยลงตัวและดูขัดๆ เหมือนพยายามจะขายป๊อปคอร์นให้ได้ไปด้วย (ขณะเขียนอยู่เนี่ย Gardians of the Galaxy (James Gunn / 2014) ก็ป๊อปขึ้นมามนหัว) นอกจากนั้นก็เรื่อยๆ ส่วนที่คาดหวังมากๆ คือประเด็นและเรื่องราวที่หนังมันก็มีแต่มันก็เหมือนจะไม่มีพอจะให้ได้รู้สึกรู้สาอะไรตาม คล้ายๆ กับ The Gravity (Alfonso Cuarón / UK, USA / 2013) ที่อ่อนเรื่อง แต่ The Gravity มันไม่ได้พยายามโหมเรื่องราวอยู่แล้วแถมยังน่าตื่นตาตื่นใจกว่าหลายเท่ากับสถานการณ์ที่ตัวละครเผชิญ
และเมื่อเทียบกับ Cast Away (Robert Zemeckis / USA / 2000) ที่หลายๆ คนพูดถึงเมื่อดูหนังเรื่องนี้ก็ยังห่างไกลกันจากการสำรวจตัวละครพระเอก ใน Cast Away ตัวละครจะดำดิ่งย้อนหลังไปพึ่งพาการอยู่รอดแบบล้าหลังตามสัญชาตญาณ ขณะที่ The Martian พยายามเพิ่งวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นจุดต่างที่ดีเลยนะ แต่หนังไม่ได้เล่าการพยายามมีชีวิตอยู่แบบค่อยๆ เป็นค่อยไป ค่อยเผชิญอันตรายที่ค่อยๆ ทำให้เกิดอาการเรื้อรังให้เรารู้สึกอย่างใน Cast Away และยังเล่าด้วยจังหวะจะโคนตามระเบิดเวลาที่ติดตั้งไว้ตามแผนผังโครงเรื่องที่เราพอจะคาดเดาความเป็นไปได้ก่อน และเวลาที่มันปรี๊ดแตกในการอดทนอดกลั้นกับอุปสรรคมันก็จะกลับมาสู้ต่อย่างไวอย่างหลักแหลมในฉากต่อๆ มา อันตรายตูมตามมาทำให้เราแค่ตกใจซึ่งได้ผลนะ แต่สภาวะความกดดันอะไรพวกนนี้มันไม่ดึงเราได้อยู่หมัดพอ
อีกอย่างคือ Dilemma หลักๆ ใหญ่ๆ ไม่ได้ตกอยู่กับตัวละครหลักอย่างพระเอก Matt Damon ที่ต้องเผชิญแบกรับและตัดสินใจ ทุกอย่างแทบจะเป็นไปตามตัวละครเจ้าหน้าที่อื่นในนาซ่าคอยตัดสินใจรับผิดชอบและชี้ทาง มันก็เลยเทียบไม่ได้กับ Tom Hanks ที่มีชีวิตรอดกลับไปแล้วพบกับความจริงที่โคตรกระอักกระอ่วน ซึ่งทั้งหมดที่เปรียบเทียบมาก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีเหมือนกันหรือให้ความรู้สึกเท่ากันนะ เพราะ The Martian ก็ยุ่งยากกว่าตรงที่ต้องแบ่งเล่าเรื่องระหว่างคนสามกลุ่มคือ ทีมภารกิจบนโลก ลูกเรือบนยานแอเรส และการดิ้นรนบนดาวอังคารของพี่แมต แค่เทียบความรู้สึกที่ได้รับจากหนังกับหนังที่มีจุดร่วมคล้ายๆ กันให้เห็นบรรยากาศและอารมณ์ร่วมน่ะนะ ส่วนของ subtext การเมืองก็เฉยๆ จะสองมหาอำนาจ world peace หรือ propaganda อะไรก็ข้ามๆ ไปไม่ได้โฟกัส ไม่ได้ทำให้หนังแย่ลงหรือดีขึ้นในความรู้สึกส่วนตัว
ช่วงนี้ยังคงเชียร์ The Tribe (Myroslav Slaboshpytskiy / Ukraine, Netherlands / 2014) กับ เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ (ชยนพ บุญประกอบ / Thailand / 2015) เหมือนเดิม และเดี๋ยวคงต้องดู Sicario ของ Denis Villeneuve (สะกดชื่อถูกด้วยดีใจ><) ผู้กำกับคนโปรดเป็นการแก้อารมณ์เฉยจากหนังของปู่ Ridley Scott และรอคอยการกลับมาของปู่ในเรื่องต่อๆ ไปเช่นเคยนะปู่นะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง