Oppenheimer - ออพเพนไฮเมอร์
หนัง Oppenheimer หรือชื่อไทยว่า ออพเพนไฮเมอร์ เรื่องราวของ Oppenheimer ชายผู้มีปัญหาในตัวเองมากมาย แต่ก็ถูกมองข้ามไปด้วยความปราดเปรื่องของตัวเขา เมื่อเขาถูกขอความช่วยเหลือให้หาหนทางยุติสงครามโลกครั้งที่สอง เขาก็ชี้ไปที่ความหวังเดียวเท่านั้น คือ อาวุธปรมาณูที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงจนสามารถยับยั้งไม่ให้ทุกฝ่ายต่อสู้กันต่อไปได้อีก “ตอนนี้ผมได้กลายเป็นผู้นำพามาซึ่งความตาย กลายเป็นผู้ซึ่งนำหายนะมาสู่โลก” เป็นประโยคที่นักฟิสิกส์นิวเคลียร์ผู้เป็นบิดาแห่งระเบิดปรมาณูอย่าง J. Robert Oppenheimer ได้เอ่ยออกมา หลังจากที่เขาได้เห็นการระเบิดครั้งแรกของอาวุธมหาประลัยชนิดนี้ Oppenheimer ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของผู้กำกับอัจฉริยะ Christopher Nolan จะได้ Cillian Murphy (Inception, The Dark Knight) มารับบทเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ประดิษฐ์อาวุธที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล โดยดัดแปลงมาจากหนังสือรางวัลพูลิตเซอร์ในชื่อ “The Triumph and Tragedy of J. Robert Oppenheimer” โดย Kai Bird และ Martin J. Sherwin
Oppenheimer The story of American scientist J. Robert Oppenheimer and his role in the development of the atomic bomb.
Oppenheimer เรื่องนี้ต้องขอยอมรับเลยว่าอาจจะเขียนไปแบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่รู้จะตรงรึเปล่า เพราะเหมือนจะดูแล้วไม่ได้เข้าใจอย่างละเอียดจริง ๆ จะลองเขียนในแบบที่เข้าใจนะครับ ซึ่งก็คงไม่ได้เขียนอะไรมากมาย ถ้ายังไงมาเมนท์คุยกันได้ครับ
- เอาแบบในมุมถ้าเป็นคนทั่วไปได้ไปดู เราว่าค่อนข้างเฉย ๆ นะ ฟิลแบบ มันหนังอินดี้ชัด ๆ อะ "เพราะ" ไม่ได้เป็นหนังสร้างระเบิด หรือเป็นหนังชีวประวัติด้วยซ้ำ ถ้าเอาแบบเราไปดูหนังเพื่อความสนุก มันไม่สนุกอะ55 มันคือหนังคนคุยกันทั้งเรื่อง เราต้องไม่หาความบันเทิงจากมันถึงจะดูสนุกไปกับมันได้ เพราะมันเป็นหนังที่แค่ หนังคนคุยกัน จริงๆ แต่การคุยทั้งหมดมันมีจุดมุ่งหมายแล้วพาคนดูไปถึงจุดจบได้ ไม่ว่าเราจะเป็นสายดูหนังอินดี้ หนังรางวัล หนังเมน อะไรก็แล้วแต่ หนังก็จะยังพาเราไปถึงจุดหมายได้ทุกคนไม่ทิ้งใครไว้ ซึ่งมันก็ตามคอนเซ็ปหนังเด็จพ่อคือ เรื่องราวมันจะวนไปเวียนมาซับซ้ำอะไรต่ออะไร แต่เด็จพ่อจะทำออกมาให้สุดท้ายคนดูเข้าใจได้ ถ้าถามในมุมคนดูแบบ ปกติ เรายังเพลิดเพลินไปกับการแสดงได้อยู่ ยิ่งถ้ารู้ประวัติศาสตร์มาด้วยจะยิ่งอิน แต่ก็ อะนะ หนังคนคุยกัน...
ขอคั่นว่า ไม่รู้ว่าอันนี้สร้างมาจากประวัติศาสตร์เป๊ะ ๆ แค่ไหน ถ้าแต่งเติมสักไม่เกิน 20% เราว่า เมพอยู่นะ ขนลุกทุกฉากที่ได้เห็นคนในประวัติศาสตร์คุยกัน
- ในมุมของแฟนหนังเด็จพ่อ ก็ต้องบอกเลยว่า ชอบมากนะกับหนังที่มีแค่ฉากคุยแต่ทำให้รู้สึกกับมันได้มากขนาดนี้ แล้วก็ 3 ชม.มันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน มันเป็นสตรักเจอร์แบบโนแลนจริง ๆ ในมุมเราหนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังแบบนำเสนอชีวิประวัติหรือประวัติศาสตร์หรือวิธีการทำระเบิดอะไรเลย แกนหลักที่เขานำเสนอมันคือเรื่องของ "อารมณ์" อย่างเดียวล้วน ๆ โดยมีเหตุการณ์ ๆ นึงเป็นตัวดำเนินเรื่องเท่านั้น ถึงได้คั่นว่าถ้าสร้างมาจากเรื่องจริง ก็เมพอยู่นะ เพราะถ้าอารมณ์เหล่านี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ โนแลนกำลังนำเสนอสิ่งนั้นแหละ ไม่ใช่ระเบิด และประเด็นคือมันทำงานด้วยสิ ....... หนังมีสลับ สี, ขาวดำ ซึ่งมันมีความหมายแน่นอน แต่ไม่ได้แคร์เท่าไหร่ เพราะแค่อ่านซับก็จะไม่ทันละ และคิดว่าไม่จำเป็นต้องหาคำตอบว่าทำไมต้องขาวดำทำไมต้องสี เพราะโสตประสาททั้งหมดไปโฟกัสกับอารมณ์ของแต่ละคนหมดแล้ว อารมณ์ของ โรเบิร์ต ลูอิส อัลเบิร์ตไอสไตน์ โดยเฉพาะฉากที่มีไอสไตน์ มีความรู้สึกแบบทุกครั้งที่เห็น จะร้องไห้ ไม่รู้ทำไม อาจจะเป็นเพราะเราทุกคนรู้ ปวศ. มากันประมาณนึง แต่ไม่เคยได้เห็นเราว่าใครมีอารมณ์ความรู้สึกยังไง แล้วเราได้มาเห็นกันในเรื่องนี้ นี่แหละ จุดสำคัญ ตอนภรรยาโรเบิร์ตขึ้นให้การ นี่ร้องไห้เลย ไดนามิกแบบโนแลนก็ยังบิ้วอัพเรามีถึงจุดนั้นได้เสมอ แม้จะเป็นแค่หนังที่คุยกันอย่างเดียว
จุดที่ไม่ชอบในเรื่องนี้คือ ระเบิดมันไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะ ไม่ได้อุปมาอุปมัยจะเปรียบเทียบกับการแสดงมันใหญ่กว่าอะไรนะ คือมันไม่อลังการจริง ๆ รู้สึกว่า ถ้าไม่เอานิวเคลียร์มาจุดจริง ๆ ก็ใช้ซีจีไหมอะพ่อ ไม่มีใครด่าว่าไม่เทพหรอก ใครมาด่าเดี๋ยวสวนให้เลย สกิลปากผมนี่ อย่างงี่
ดนตรีประกอบดีมากนะเอาจริง ๆ แต่รู้สึกว่าตั้งแต่ Tenet ละ ลูดวิก ทำดนตรีประกอบชั้นยอดมากจริงๆบีบคั้นอารมณ์อย่างมากมายมหาศาล แต่กับฮานซิมเมอร์ ทำเพลงออกมาไม่เหมือนดนตรีประกอบ แต่มันเหมือนคนมายืนชี้หน้าเราตลอดเวลาอะ ถ้ามีคนมายืนชี้หน้าเราเป็น ชม. ๆ คิดว่า เราจะจำหน้ามันได้ไหม ? ก็คงติดตาไปเลย นั่นแหละ เพลงใน ออพเพนไฮเมอร์ กลับบ้านมาก็ลืมละ แต่ยอมรับว่าอยู่ในหนังมันดีมากจริง ๆ
เรื่องนักแสดงไม่ต้องพูดอะไรมาก มี10ให้ล้าน
คุณอาจจะคิดว่าฉากจุดระเบิดคือจุดพีคที่สุดของหนังที่เขาปูมา บอกเลยว่าคุณคิดผิด แล้วคุณจะรู้ตอนได้เห็นฉากสุดท้าย
สรุปผลวิจารณ์หนัง