รีวิววิจารณ์หนัง (0)
อีกหนึ่งภารกิจพิเศษอันน่าจดจำของเหล่านักเรียนฮีโร่กับเรื่องราวการปฏิบัติภารกิจพิเศษของมิโดริยะ อิซิคุและเหล่าผองเพื่อนห้อง 1-A ที่ต้องรับมือกับเหล่าวายร้ายทั้งหลาย จนกระทั่งการปรากฏตัวของแก๊งมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป ภายใต้การนำของ DARK MIGHT ผู้ที่ต้องการจะทำลายสัญลักษณ์แห่งสันติภาพตลอดการอย่าง ALL MIGHT โดยมีคุณหนูแอนนาเป็นเครื่องมือส่วนสำคัญ
ต้องขอบอกเลยว่าภาพยนตร์แอนิเมชั่น My Hero The movie มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ตัวแอนิเมชันมีความอลังการ น่าตื่นตาตื่นใจ เอฟเฟคตระการตา บ้าพลังพอสมควรเลยกับการทำฉากแอคชั่นที่ดุเดือดเลือดพล่าน ทั้งยังใส่อารมณ์อื่นมาเรียกได้ว่าครบทุกรสชาติเลยล่ะ ทำให้เรารู้สึกอิน รู้สึกตื่นเต้น รู้สึกมีอารมณ์ร่วมได้ตลอดการรับชมเลย กราฟไม่มีแผ่วเลยจริง ๆ มีการใส่มุกตลกน่ารัก ๆ ของตัวละครต่าง ๆ เป็นโมเม้นท์แฟนเซอร์วิสที่ดีมาก
ในด้านของเหล่าวิลเลินหรือวายร้ายของเรื่องยังคงมีความแข็งแกร่งมาก ๆ ในระดับที่เรามองแล้วคือเหล่าฮีโร่ต่อสู้ด้วยยากมาก หืดขึ้นคอพอสมควร แต่เหล่านักเรียนก็มีพัฒนาการกันอย่างเห็นได้ชัดโดยที่สเกลพลังน่าจะอิงตามเนื้อเรื่องหลัก แต่ส่วนตัวคิดว่าปมของวิลเลินนี่ส่วนตัวคาดไม่ถึงเลยว่าจะเปิดด้วยเหตุผลนี้ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ไอเจ้าเหตุผลนี้มันก็สามารถเกิดขึ้นได้จริง ๆ นั่นแหละ มันง่ายจนคาดไม่ถึงเลยมากกว่า
มาว่ากันด้วยของพาร์ทความชอบส่วนตัวเลยแล้วกัน ส่วนตัวมีความปลื้มปริ่มมากที่ได้เห็นเมนเฉิดฉาย แม้จะมีบทกาวไปบ้าง พอเอาฮาแบบกรุบกริบ แต่เท่ทุกตอนเลยจ้า และที่จะขอชื่นชมหลัก ๆ เลยก็คือการเกลี่ยบทให้เหล่าผองเพื่อนได้โชว์พลัง โชว์เท่กัน การแสดงพลังมิตรภาพต่าง ๆ ถือเป็นแก่นพื้นฐานของแอนิเมชันเรื่อง My Hero Academia เลยก็ว่าได้ ถือว่าทำได้ไม่ต่ำไปกว่าที่เคยเป็นเลย และจะดียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกแน่นอน
โดยส่วนตัวแล้ว ด้วยความที่มีความชอบในแอนิเมชันเรื่อง My Hero Academia อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจจะมีการอวยยศไปบ้าง แต่ด้วยความรู้สึกของเราจริง ๆ จากการได้รับชมก็คือ เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วด้วยพล็อตที่เกี่ยวกับ “ฮีโร่” เราคาดเดาเค้าโครงเรื่องรวมไปถึงตอนจบของตัวหนังได้อยู่แล้วแน่ ๆ แต่ที่ทำให้เราไม่รู้สึกพลาดที่ได้รับชมเลยก็คือ ความบ้าพลังของแอนิเมเตอร์ที่ผลิตงานภาพ ฉากแอคชั่นออกมาได้ตระการตา และมันส์สุดเหวี่ยงจริง ๆ ควรค่าแก่การได้รับชมในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอน
สรุปผลวิจารณ์หนัง
We live in time เวลานั้นฉันและเธอ ภาพยนตร์แนวโรแมนติก-ดราม่า กับเรื่องราวชีวิตรักของ อัลมุท (Florence Pugh) เชฟแนวหน้าอนาคตไกล และ โทไบอัส (Andrew Garfield) พนักงานประจำบริษัท ทั้งคู่ได้ดำเนินชีวิตครอบครัวกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งอัลมุทตรวจพบสิ่งที่เรียกว่า มะเร็ง แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้แล้ว ทั้งคู่จะต้องดำเนินชีวิตและซัพพอร์ตกันและกันต่อไป
นี่เป็นหนังที่แสดงถึงชีวิตประจำวันของตัวละครสองคนตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ตกหลุมรัก และรักกัน โดยหนังจะเล่าเรื่องกันแบบสลับไปมา คนละช่วงเวลา แต่ไม่ประติดประต่อกัน ซึ่งจะเล่าสลับกันแต่เป็นการสลับการเล่าเรื่องที่เข้าใจได้อย่างไม่คาดคิด เรียกได้ว่าเป็นการเล่าเรื่องที่เจ๋งและยอดเยี่ยมมาก
ในเรื่องของฝีมือการแสดงของฟลอเรนซ์และแอนดรูว์ก็ถือว่าทำได้ดีมาก ๆ ทั้งการแสดงออกทางสายตาในซีนที่ต้องใช้อารมณ์ ฉากเลิฟซีน และอีกหลากหลายฉาก ซึ่งแสดงออกมาได้เคมีเข้ากันที่สุด ทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่เป็นคู่รักที่รักกันมากจริง ๆ แสดงกันได้แบบเข้าถึงอารมณ์มาก ในระหว่างที่ดูรู้สึกว่านี่ไม่เหมือนหนังเลย นี่มันชีวิตจริงชัด ๆ เราจะได้สัมผัสความโรแมนติก ความเศร้า ความสุข ความมีชีวิตชีวา หนังแสดงถึงความเรียลที่ให้ข้อคิดถึงการใช้ชีวิต ว่าเราควรใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีค่า เก็บเกี่ยวความสุขที่มีกันให้มาก ๆ ไม่ต้องไปกังวลอนาคตอะไร โฟกัสกับปัจจุบันจะดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ชีวิตมันไม่แน่นอนอยู่แล้ว
โดยรวมส่วนตัวคิดว่าตัวหนังไม่ได้ขยี้จนทำให้ซึมอยากร้องไห้ตามมากขนาดนั้น แต่จะขยี้จนทำให้เรารู้สึกหน่วง จุก กับสิ่งที่เห็น คือเหมือนเรารู้อยู่แล้วว่าจะจบยังไง แต่ก็ยังคาดหวังให้จบอีกแบบ จนดูจบก็รู้สึกซึมไปพักนึง เพราะตัวหนังดำเนินเรื่องให้เหมือนเราผูกพันกับตัวละครไปด้วย ถ้าใครชอบหนังที่เรียบง่ายแต่ก็ยังมีความดราม่าขอแนะนำเรื่องนี้เลย
สรุปผลวิจารณ์หนัง
โดยรวมคือชอบนะไม่ใช่หนังที่ทำมาสั่วๆมั่วๆ มีการเดินเรื่องอะไรต่ออะไรอย่างดี แต่.....................
ก่อนอื่นรู้สึกประทับการบริการของทางโรงหนังมากๆ คือหนัง เรท20+ แล้วเดินไปหน้าโรงแล้วน้องสตาฟขอตรวจบัตร ผมเดินเข้าไปนี่ยิ้มเลย 🤣🤣🤣
เนื้อเรื่องก็คือตามเรื่องย่อที่เขาเขียนไว้เลย คือนางเอกทำงานบริการให้บาร์ 20+ (เออ บาร์มันก็ต้อง20+อยู่แล้วนิ ) ก็เป็นลักษณะขายบริการ xxx แล้ววันนึงก็มีพระเอกชาวรัสเซียมา แล้วปรากฏว่ารวยมาก แล้วสุดท้ายก็ไปจดทะเบียนกัน แล้วพ่อแม่ที่เป็นคนใหญ่คนโตในสังคมในรัสเซียก็ปี๊ดแตกเพราะเสียหน้า แล้วก็มาบังคับให้หย่า
ยอมรับเลยว่าเมืองนอกเขาทำคาแลคเตอร์ได้สุดมาก รู้สึกเชื่อหมดทุกบท และสิ่งที่เขาจะสื่อ นักแสดงเล่นได้ชัด ดูไม่ยากว่าใครเป็นอะไรยังไง โดยเฉพาะบทพระเอกรัสเซียคือ เล่นดีมากกก
การดำเนินเรื่องรู้สึกว่า มันมีความเรื่อยเปื่อยไปนิดนึง ยังมีอะไรที่ไม่เข้าเป้าตรงประเด็นมาใส่เยอะไปหน่อย โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรก แล้วก็พวกฉากเซ็กซี่ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่รู้สึกมันเน้นเกินไปจนใช้เวลาเยอะแล้วมันเรื่อยเปื่อย แต่จริงๆควรเน้นพวกจุดพีคไคล์แม๊กซ์คอนฟลิกซ์มากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจน่าติดตามกับเรื่องนี้มากกว่าฉาก18+อีก พอเนื้อเรื่องดำเนินไปช่วงที่มีจุดปัญหาแล้ว ก็มีความยืดยาวเรื่อยเปื่อยอีก ไอความเรื่อยเปื่อยนี้แหละมันทำให้เปลืองเวลา ถ้าเอาเวลาตรงนี้ไปลงกับประเด็นหลักให้ได้อินกว่านี้น่าจะดี ตอนนี้มันมาดีแล้วแต่มันยังไม่สุด สมมุติเอาเวลามาใส่ว่า ทำไมนางเอกไม่ชอบชื่อเก่าตัวเอง จะได้เข้าใจนางเอกมากขึ้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่จับใจความกับเนื้อเรื่องได้ก็ก็รู้ซึ่งชอบแล้วละในหลายๆประเด็น อันที่ชอบมากๆเช่น มันจะมีพระเอกลับอีกตัวนึง แต่ไม่อยากสปอย ที่มันจะมาคอนทราสกับพระเอกรัสเซีย เช่น ความเป็นสุภาพบุรุษหรือวัยรุ่นอายุเท่านี้กับเท่านี้จะมีความต่างทางความคิด การปฏิบัติยังไง อะไรแบบนั้น แล้วคือพระเอกลับมาแบบตัวประกอบ แต่ค่อยๆถ่ายทอดออกมาเรื่อยๆจนคนดูสัมผัสได้
โดยรวมถือว่าชอบครับ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ภาคสุดท้ายของวีนอมเวอร์ชั่นนี้ Venom the last dance ความรู้สึกที่ได้ดูไตรภาคชุดนี้คือ ไม่ชอบเลย 5555 ชอบอย่างเดียวคือความน่ารักของตัววีนอม เพราะดูแล้วมันวีนิ่ม นุ่มนิ่มๆ ตลกๆดี ส่วนเนื้อเรื่อง มันไม่ค่อยมีอะไรน่าจดจำเท่าไหร่ หมายถึงรวมๆสามภาคเลยนะ ส่วนภาคสาม กลับรู้สึกว่า มันควรปรับโน่นปรับนี้แล้วเอาไปเป็นภาคแรกมากกว่า อันนี้ความรู้สึกส่วนตัวนะ ตอนนี้รู้สึกสามภาคนี้มันไม่เข้ากันยังไงไม่รู้ ถ้าเอาเนื้อเรื่องภาคสามมาเปิดจักรวาลน่าจะไปได้ดีกว่านี้
ผมจำความรู้สึกตอนได้ดูสไปรเดอร์แมนไตรภาค เวอร์ชั่นโทบี้แม็คไกว์ได้แม่น หนังมันมีเอกลักษณ์ มันน่าจดจำ และเราได้เติบโตไปกับตัวละคร ชีวิตตัวละครจริงๆ รู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพลงประกอบก็ดีมาก แล้ววีนอมเป็นตัวละครที่โดดเด่นไม่แพ้สไปเดอร์แมนนะในความรู้สึก มันควรต้องทำไตรภาคให้ได้แบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไมสมัยนี้ไม่มีหนังที่ทำให้รู้สึกกับมันได้แบบสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นนั้นได้เลย(ผู้กำกับคือ แซม ไรมี่) คือหนังออกมา มันไม่สามารถเป็นไอคอนิคได้ แต่ไตรภาคของแซมไรมี่ เป็นทั้งไอคอนิค เป็นยุคใหม่ของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ แม้กระทั่งเป็นมีมได้จนปัจจุบัน แม้ว่าหนังมันจะ 20 ปีผ่านไปแล้วก็ตาม
กลับมาที่วีนอม จริงๆไตรภาคนี้ควรมีเรื่องราวไปบรรจบกับ สไปเดอร์แมน ของ แอนดูว์ การ์ฟิลได้ แต่ไม่ต้องลุ้นนะครับ ไม่มี วีนอมภาคสาม ไม่มีอะไรให้เซอร์ไพส์ โคตรเรียบและธรรมดา และวีนอม เดอะลาสแดนซ์ สุดท้ายมันกลายเป็นหนังปิดไตรภาคที่แค่ วีนอมสู้กับสัตว์ประหลาดธรรมดาๆ ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ ไม่ต้องเป็นเอดดี้บล็อค ไม่ต้องเป็นวีนอมก็ได้ ไม่จำเป็นต้องดูไอแมกซ์โรงแพงอะไร เอาจริงๆรอดูสตรีมมิ่งยังได้เลย
สรุปคือ มันเป็นหนังที่ดูเพลินๆได้ สนุกได้บ้าง และยังชอบการดีไซน์ตัวละครวีนอมให้ออกมาน่ารักตลกได้ แต่คือหนังไตรภาคเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำให้เราไฮป์อะไรกับมันมาก ไม่สามารถกลายเป็นหนังแห่งยุคได้ ซึ่งน่าเสียดายกับการเอาตัวละครที่ยอดเยี่ยมตัวนึงมาทำแล้วมันไม่ถึง
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Babymetal เป็นวงไอดอลจากประเทศญี่ปุ่นที่มีแนวเป็น Kawaiimetal สมาชิกวงมีกันสามคน ประกอบด้วย Su-metal (Susuka Nakamoto) ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำและเต้น , Moa-metal (Moa Kikuchi) ทำหน้าที่ร้องประสานและเต้น และ Momo-metal (Momoko Okazaki) ทำหน้าที่ร้องประสานและเต้น โดยมี Kamiband วงดนตรีแนว Heavymetal เป็นแบคอัพในการแสดงให้กับวงและนี่เป็นบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตที่เป็นโชว์สุดท้ายใน World tour ที่โชว์ในช่วงปี 2023-2024 โดยถ่ายทำที่เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น และได้นำเสนอออกมาในรูปแบบภาพยนตร์
ขอออกตัวก่อนเลยว่านี่เป็นครั้งแรกของเราในการได้รับชมคอนเสิร์ตในรูปแบบของภาพยนตร์เป็นครั้งแรกเลย สำหรับเราคิดว่าคนที่ชอบ Babymetal นั้น จะสามารถสนุกและเอ็นจอยกับคอนเสิร์ตได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่เพลงเป็นแนวเมทัล มีแสง สี เสียง และการเอ็นเตอร์เทนของทุกคนในวงจะยิ่งทำให้ผู้ชมสนุกกับคอนเสิร์ตกันมากขึ้น จนเหมือนกับว่าเราร่วมสนุกอยู่ในคอนเสิร์ตนั้นไปด้วย ส่วนตัวได้มีการติดตามข่าวสารของทางวง Babymetal มาบ้าง ก็ทำให้การได้มาลองดูคอนเสิร์ตในรูปแบบภาพยนตร์ในครั้งนี้นั้น น้อง ๆ อาจจะตกเรามากยิ่งขึ้นไปอีก ขอชื่นชมซูเมทัลที่สามารถเปล่งเสียงร้องเพลงได้อย่างมีพลัง อีกทั้งโมอะและโมโมะก็สามารถเต้นออกมาได้อย่างไม่มีอ่อนแรง เรียกได้ว่าทุกคนเก่งและมืออาชีพกันมาก ๆ
ส่วนในเรื่องของแสงสีนั้น ด้วยความที่เป็นคอนเสิร์ต จะมีความที่เป็นแสงวาบ ๆ จนทำให้เกิดอาการมึนหัวหรือปวดหัวขึ้นมาบ้าง ซึ่งถ้าใครเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพวกแสงวาบ ๆ หรือภาพที่ตัดไปมาก็อาจจะไม่ค่อยแนะนำมากนัก หรือถ้าใครโอเคก็สามารถเอ็นจอยกันได้เต็มที่ในส่วนของเพลง ก็เริ่มต้นมาได้ดีตามสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของวงนี้เลย สามารถเลือกเพลงมาได้ดีตรงใจมาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นเพลงที่ค่อนข้างจะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ถ้าเป็นแฟนเพลงของวงนี้ก็คงจะเดาได้ว่ามีเพลงอะไรกันบ้าง
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ว่าด้วยเรื่องราวของ อลิซาเบธ สปาร์คเคิล (เดมี่ มัวร์) ดาราฮอลลีวูดดีกรีออสการ์ที่เคยโด่งดัง แต่ความโด่งดังกลับลดลงด้วยอายุและร่างกายของตนเองที่เริ่มแก่ลงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้รายการทีวีที่เธอทำงานอยู่ได้ทำการบีบเธอให้ออกจากบริษัทนี้ไป และรับสมัครตามหาดาราหน้าใหม่ที่เด็กกว่า สวยกว่า เพอร์เฟคกว่า เธอเจ็บปวดกับวัยที่แก่ลงจนลดทอนความสวยของเธออย่างมาก จนกระทั่งเธอได้ไปพบกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า The Substance และเทคโนโลยีนี้ จะนำไปสู่ความสยดสยองที่ตามมาอีกมากมาย
มันเป็นหนังที่มีความพิลึก ความน่าขยะแขยง ความบ้าระห่ำจนจิตแทบจะหลุดออกจากกัน จากที่ดูตัวอย่างภาพยนตร์ก็พอจะเดาได้ว่ามันคงจะบ้ามาก ๆ แต่ก็คาดไม่ถึงว่ามันจะบ้าเกินขีดสุดได้ขนาดนี้ ด้วยการค่อย ๆ บิ้วอารมณ์ของตัวละครไปเรื่อย ๆ จนไปถึงช่วงท้าย จากที่รู้สึกว่าอันนี้ไปสุดมาก ๆ แล้ว มันยังไปต่อได้อีก! หนังมีความยาวประมาณ 140 นาที แต่ละสายตาไปไม่ได้และไม่น่าเบื่อเลยสักนิดเดียว ตัวหนังได้เสียดสีในเรื่องของ Beauty Standard ได้ดีมาก ๆ ตัวละครในเรื่องต้องแบกรับและเจ็บปวดกับสิ่งนี้มาตลอด จนต้องยอมทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด คือยอมใช้เซรุ่มที่ทำให้งอกตัวเองที่ดูดีกว่าจนออกมาเป็น ซู (มาการ์เร็ต ควอลลีย์) ถ้าเป็นในโลกความจริง ก็คงเป็นศัลยกรรม การทำหัตถการต่าง ๆ บางคนก็ถึงขั้นเสพติดกับมันเลย
ส่วนตัวว่านี่เป็นหนังสยองขวัญที่มีความดราม่ามากๆ ด้วยตัวอลิซาเบธเองนั้นไม่ยอมปล่อยวางในเรื่องของความสวยของตัวเอง ทำให้รู้สึกว่าตัวเองนั้นยังไม่สวยพอ เป็นการลดคุณค่าและความภาคภูมิใจของตัวเอง ยอมอยู่ภายใต้ของ Beauty Standard และไม่ฟังคนรอบตัวที่เห็นคุณค่าในตัวเธอ ดูจนจบยังนั่งอ้าปากค้างและนั่งอึนจนเอ็นเครดิตเกือบจบเลย พอออกจากโรงมาก็ยังต้องนั่งพักต่อหน้าโรง สำหรับใครที่ไม่ใช่สายที่ชอบดูของชวนแหวะชวนอ้วกแต่อยากดูก็แนะนำให้พกยาดมหรือถุงเตรียมอ้วกเข้าไปด้วย เสียดายที่มีรอบค่อนข้างน้อย ทำให้บางคนอาจจะไม่ทันได้ดูซะก่อน
โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ดูง่ายกว่าที่คิด จากที่คิดว่าหนังจะดำเนินเรื่องแบบเข้าใจยาก กลับกลายเป็นว่าหนังดูง่ายมาก ๆ แถมยังนำไปตีความต่อได้อีกในเรื่องของปิตาธิปไตย Beauty Standard self-esteem ฯลฯ แต่คือชอบองค์ประกอบและเทคนิคการถ่ายทำของหนังมากสามารถสื่อออกมาให้เห็นความกระอักกระอ่วน ความน่าอึดอัดของตัวละครได้ดีจริง ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ความรู้สึกคือมันเกือบดีละ แต่ว่าสะดุดขาตัวเองหน้าฟาดพื้น สำหรัยหนังเรื่องนี้
เนื้อเรื่องจะเป็นครอบครัวนึงน่าจะรวยอยู่ ไปเที่ยวพักผ่อนด้วยเรือยอชน์ส่วนตัว แล้วก็ด้นไปเจอภัยพิบัติพายุอะไรบางอย่างทำให้เรือมาอยู่บนบก แล้วได้รู้ว่าขั้วโลกมันสลับ น้ำมหาสมุทรเลยย้ายที่ไปอยู่ที่อื่น
เนื้อเรื่องน่าสนใจและตื่นเต้นมาก คอนเซ็ปท์ดี แต่ว่า การกระทำของตัวละครมันไม่เมคเซ็นหรือทำอะไรโง่อๆ เยอะเกินไป คือมีจุดให้ เอ้าา!!??!! ตลอดทั้งเรื่อง จนเริ่มส่ายหัว กุมขมับ เช่น ฉากแรก พอเกิดภัยพิบัติ มันก็มีคนเดินมาหาครอบครัวนี่ เหมือนผู้รอดชีวิต ดูแล้วเหมือนรอดมานานมากและใช้ชีวิตเอาตัวรอดบนโลกหลังภัยพิบัตินี่อย่างชำนาญ แต่เนื้อเรื่องคือ พึ่งเกิดเมื่อวานนะ พอมาถึง พ่อก็ออกไปทัก เอาน้ำไปให้ มันก็กินด้วยความหิวกระหายเหมือนไม่ได้กินน้ำมาหลายวัน แต่เรื่องพึ่งเกิดเมื่อวานนี้นะ พอกินน้ำเสร็จปุ๊บ มันก็หยิบอาวุธที่โมขึ้นมาจากมีดทำครัวกลายเป็นหอก ทำการแทงพ่อเสียชีวิตแล้วไปบุกเรือ คำถามคือ ทำไมมึงชำนาญกับโลกหลังภัยพิบัติจังเลยวะ แล้วแม่ก็ออกมาเห็นภาพพ่อตายไปละ ไอ้คนฆ่ามันก็จะมาบุกเรือ แม่ก็จะหนีไปหลบในเรือ มันก็เลยปาหอกจากระยะมาเฉียวแขนแม่ แม่เลยเจ็บแล้วก็กระเสือกกระสนหนีเข้าเรือ คำถามคือ ทำไมมึงไม่เก็บหอกไปด้วยวะ จะทิ้งไว้ให้มันเอามาฆ่ายกครัวหรอ? ทีนี้แม่ก็เอาลูกๆไปซ่อนใต้เบาะ แล้วตัวเองวิ่งไปหนีไปหลยอีกที่ ผมแบบว่า เอ้ย ทำทำไม มีตั้งสามคนมีปืนพลุ ไม่สู้หรือแอบหลบออกจากเรือวะ เพราะตอน มันเข้ามาแม่ก็แอบหลบออกจากเรือไป ทิ้งลูกไว้ใต้เบาะอยู่เลย แล้วตานี่บุกเขามา เจอของกินก็กินเหมือนไม่ได้กินมาหลายวันมาก แต่เรื่องพึ่งเกิดเมื่อวานนะ แต่ก็อาจจะหิว ใช้พลังงานเยอะมั้ง จนสุดท้ายเหมือนแม่กลับมาสู้บนเรือใกล้ๆที่ที่ลูกซ่อน มันก็รัดคอแม่จะตายอยู่ละ ลูกๆก็มองออกมาจากใต้เบาะ เห็นแม่อยู่แต่ไม่ช่วยสักที ปืนก็มี คือแม่งดูไปหงุดหงิดไปมาก แล้วมันประมาณนี้ตลอดเรื่อง เรื่องสิ่งมีชีวิตหิวกระหายอะไรก็แบบมั่วอิรุงตุงนัง ยังไงก็ไม่รู้
ดูจบแล้วแบบว่า เอาเวลาฉันคืนมาเถอะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
เป็นที่น่าสนใจสำหรับภาพยนตร์ Never let go ผูกเป็น หลุดตาย กับเรื่องราวของครอบครัวแม่ลูกสอง ที่ต้องเอาชีวิตรอดจากปีศาจที่กำลังคุกคามครอบครัวพวกเขาเข้ามาเรื่อย ๆ หากพวกเขาต้องการออกจากบ้านจะต้องมีเชือกผูกติดตัวกับบ้านเอาไว้เท่านั้น ไม่อย่างนั้น เมื่อเจ้าปีศาจเข้าถึงตัวได้เมื่อไร อาจจะถูกสิงสู่และบงการให้ฆ่ากันได้นั่นเอง
ด้วยเรื่องราว เค้าโครงของภาพยนตร์มีความน่าสนใจ รู้สึกถึงความแปลกใหม่ การดำเนินเรื่องก็ถือว่าเข้าเรื่องได้ไวดี ปูเรื่องราวกระชับ เข้าใจง่าย แต่!! หลอกกันทั้งเรื่องของแทร่ หลอกกันจนสับสนว่าตรงลงอันนี้เรื่องจริงหรือยัง หรือยังหลอกอยู่ ต้องบอกว่า ตัวบทหลอกได้แยบยลจริง ๆ คาดเดาแทบไม่ออกเลย เหมือนจะจบแต่ก็ยังทิ้งปมไว้ให้สงสัยได้อีก ชอบในส่วนนี้มาก ๆ โดยเฉพาะปมของตัวละครที่สามารถทำให้เราตีความได้อย่างหลากหลาย แต่สุดท้ายก็หลอกเราได้อย่างสนิทใจ ในด้านของการแสดงต้องขอชมเลยว่าน้องนักแสดงเด็กทั้งสองคนแสดงได้ดีมาก ทั้งสีหน้า แววตา เราเชื่อน้องจริง ๆ ว่าเรื่องต้องมาแบบนี้แน่ แต่สุดท้ายก็โดนน้องหลอกจนได้ การกระทำของตัวละครทั้งสามคนนี้ ทำให้เราคาดเดาอะไรไม่ได้เลย แต่ละครตัวละครต่างมีการกระทำที่เราคาดไม่ถึงทั้งนั้นบอกเลยว่าเซอไพรส์แทบทุกตอน
ในส่วนของงานภาพก็ถือว่าค่อนข้างดาษดื่น ไม่ได้มีอะไรหวือหวา มีจังหวะจัมสแกร์ให้ได้กระชุมกระชวยบ้างบางจังหวะ ไม่ได้เยอะมากแต่จังหวะดีตลอด แต่ส่วนตัวว่าช่วงแรก ๆ ออกจะน่าเบื่อไปนิดนึง ค่อนข้างราบเรียบเป็นการปูเนื้อหาไปอย่างเนิบ ๆ แต่พอเข้าช่วงที่สองของตังหนังจะเริ่มมีความมันส์มากขึ้นเรื่อย ๆ ไปตามสเตปเลย ถือว่าทำออกมาได้โอเคมาก ไล่ระดับความพีคขึ้นไปไม่มีแผ่ว โดยรวมส่วนตัวว่าภาพยนตร์ Never let go ผูกเป็น หลุดตาย ถือเป็นภาพยนตร์สยองที่ค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียวในส่วนของพล็อตเรื่องและการนำเสนอก็มีแต่อะไรที่เราคาดเดาไม่ได้ ทำให้เราต้องคอยจับจ้องอยู่ตลอดเา ถ้ามีโอกาสเราเองก็อยากกลับไปย้อนดูเก็บรายละเอียดอีกสักรอบเลย
สรุปผลวิจารณ์หนัง
บนความมีแก่น แต่เต็มไปด้วยความอิรุงตุงนัง
ตาคลี เจเนซิส เป็นงานไซไฟฟอร์มยักใหญ่ไม่กี่เรื่องของไทย เอาข้อดีก่อน ให้คะแนนความตั้งใจในการวางคอนเซ็ป งานภาพ ถือว่าไม่เลว เรื่องคอนเซ็ป ดูแล้วยังพอจับความได้ว่าอยากจะสื่ออะไร เรื่องงานภาพ ตรงๆเลยคือ มันไม่ได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้แย่นะ ดูได้แบบไม่ขัดหูขัดตา มีความตั้งใจ
ข้อไม่ดี คิดว่าเยอะจัดแบบลากยาวมากๆ ความมีสิ่งที่จะสื่อของคนเขียนบท เรื่องอำนาจกดทับอะไรต่างๆ พอเข้าใจได้ แต่แกนของหนังจริงๆมันคืออะไรกันแน่? เราอินกับเทคโนโลยีตาคลี เจเนซิสกันไหม? สมมุติเท็นเน็ทหรืออินเซ็ปชั่น เขาแสดงให้เราเข้าใจแล้วอินกับการทำงานของแกนของหนังแบบจริงๆ แต่ตาคลีเจเนซิส แม่งจะไปทางไหนแน่ งงจัด สิ่งที่คือ "แหวนกาวิตี้ @"#%^ แหวนลองติจูด @"#%^ " นั่นแหละอะไรสักอย่าง จำไม่ได้ละ แล้วตอนหลัง เด็กๆมาบอกอีกว่า ถ้าใช้บ่อยๆ จะเกิดปรากฏการ "เดอะเฟสซิเฟิล@"#%^ "อะไรก็ไม่รู้ แต่ละอย่างมันคือ ไม่สามารถสร้างซิมโบลิคให้ตราตรึงใจได้ แต่ใช้การอธิบายแบบไม่มีชั้นเชิงในทุกๆชั่วขณะในหนัง อันนี้ตัดเรื่องความเมคเซ็นไม่เมคเซ็นออกไปเลย เราจะไม่พูดถึง เอาแค่ชั้นเชิงให้การสื่อกับคนดู มันแทบไม่มีเลยในหนังเรื่องนี้ ไปตามหาตัวแหวนก็ง่ายๆ ได้มาก็ง่ายๆ ดูไม่มีความสำคัญอะไรเท่าไหร่ไม่สมกับเป็นแกนหลัก
เรื่องบทอันนี้ค่อนข้างเลวร้าย เช่นนะ เขาย้อนเวลากลับไปเอาชิ้นส่วนแหวนที่ขาดหายไป เลยย้อนเวลาไปเอาในยุคโบราณ ไปถึงก็เจอซอมบี้ เลยวิ่งหนีไปหมู่บ้านนึง ซึ่งมาชิ้นส่วนแหวนลอยอยู่กลางหมู่บ้าน แบะชิ้นส่วนแหวนสร้างบาเรียนป้องกันหมู่บ้านจากซอมบี้ไว้ แต่ถ้าพวกพระเอกเอาชิ้นส่วนไป บาเรียนก็หาย ชาวบ้านก็โดนซอมบี้ฆ่าตาย แต่ สุดท้ายก็ต้องยอมแลก เพื่อเอาชิ้นส่วนและไปช่วยพ่อ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนในหมู่บ้านมีเป็นสิบ มีหอกมีอาวุธ ส่วนพระเอกมีปืน และซอมบี้มีทั้งหมด………………5ตัว ครับ ถ้ามีเป็นพันอันนี้ตายแน่ แต่นี่มี5ตัว ทำไมก่อนเปิดบาเรียนไม่ตั้งรับให้ดีก่อน ทำไมไม่วางแผนก่อน สุดท้ายหนีตายกันเฉย เสียลูกสาวไปสลับตัวกับเด็กยุคโบราณอีก ตอนนี้คือหงุดหงิดมาก และพระเอกนะ ทำแบบนี้ แต่ตอนหลังไปอนาคตไปเจอเด็กๆกลุ่มต่อต้าน เกิดอยากทำตัวเป็นผู้นำ พูดตรงๆว่าไม่อิน เพราะหนังไม่ได้สร้างคาแลคเตอร์ที่แข็งแรงเลย เหมือนมั่วไปเรื่อย
ประมาณนี้ จริงๆมันมีอีกเยอะ แต่ไปรอดูจารย์เรดเอาครับ
เรื่องเพลงประกอบ ซาวด์ดีนะ แต่คนไทยยังไม่สามารถสร้างเพลงประกอบให้มีโมทีฟที่น่าจดจำได้ ถ้าแค่ทำเสียงประกอบไปเฉยๆ จะไม่มีวันได้งานชิ้นเอกแบบ ฮานซิมเมอร์ หรือ โฮเวิด ชอวน์ แน่นอน ต้องกล้าคิดกว่านี้
สรุปผลวิจารณ์หนัง
มันคือ วอท เดอะ เอฟ อะไรวะหนะ???????????????!!!!!!
สำหรับคนที่ซื้อตั๋วเข้าไปดู สามารถมาร่วมแสดงความรู้สึกกันได้ครับ
ตัวภาพโปสเตอร์ อาร์ทเวิร์คเขาสวยใช้ได้มาก ๆ เห็นแล้วน่าเข้าไปดูนะ หนังไทยทำอาร์ทเวิร์คสวยๆ
แต่พอได้ดู ตั้งแต่นาทีแรก ๆ ในใจแม่ง เอาละ5555 เริ่มตั้งแต่การแต่งหน้าตัวละครเลย แกงนักแสดงแบบจัดๆ เมคอัพแย่มาก บวกจัดแสงแบบไม่ได้เลย มันอาจจะเป็นสไตล์เขาก็ได้นะ ศิลปะไม่มีถูกผิด แต่อันนี้มันบอกไม่ถูกอะ นักแสดงจากที่สวยๆหล่อ มันดูเหวอยังไงไม่รู้ ช่วงแนะนำช่วงแรกเป็นอะไรที่แบบว่ายิ่งกว่าละครคุณธรรม หนังนักศึกษาส่งอาจารย์ยังทำดีกว่านี้เลย
ฟิลหนังมันเหมือนไปเอาเนื้อเรื่องจากเว็บตูนมาทำแล้วมันไม่ถึงอย่างแรง ตอนแรกจะว่าเพราะตัวละครเยอะ แอร์ไทม์มันน้อยหรืออะไรนะ แต่เอาจริงๆ มันมีช่วงเวลาเปล่าประโยชน์ในหนังเยอะมาก แล้วบทมันแย่มาก มีแต่ความครินจ์เต็มไปหมด คนเขียนบทคนกำกับทำมาแบบว่า เหมือนเห่อหมอยจัดๆยังไงยังงั้นเลย ทุกตัวละคร ดูไปถึงกลางเรื่องแล้วคิดในใจว่า ไปเอางบจากไหนมาทำวะเนี่ย นายทุนโคตรใจเลย
หนังพยายามจะทำแบบ สวิดเกม หรืออลิสอินบอร์ดเดอร์แลนด์อะไรพวกนั้น คือมีคนกลุ่มนึงหลุดเข้ามาที่ที่นึงแล้วต้องเล่นเกมเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ เล่นแพ้ก็ตาย แต่นี่คือหลับตั้งแต่เกมแรก แล้วเกมแรกเปิดมาก็ถือว่าแนะนำว่าต้องเจอเรื่องอะไร พอเกมสองมันก็แบบกลวงจัด ๆ แล้วก็กลวงไปยันจบอะ การกระทำอะไรต่างๆของตัวละครเอย บทพูดเอย มันดูปลอมหมด มีแค่พวกการทำคาแลคเตอร์ของตัวนักแสดงเองที่รู้สึกว่าดีทำให้รู้สึกดูเป็นหนัง พูดง่ายๆคือนักแสดงแบกหนัง แต่รวมๆคือแย่ เหมือนนักแสดงแต่ละคนเล่นดีนะ แต่คนที่ต้องกำกับให้ความดีนั้นมันควรกลมกล่อม มันทำไม่ได้ มันเลยออกมาเละไปหมดเลย ไม่มีอะไรให้รู้สึกดี สนุก อินไปกับหนังเลย ดูจบแล้วรู้สึกอายที่เข้ามาดูเรื่องนี้ในโรง ยังไงอย่างงั้นเลยบอกตรงๆ บทไม่เวิร์ค งานภาพไม่เวิร์ค งานเพลงยิ่งไม่เวิร์คเหมือนซื้อเอนวาโต้มาแปะ งานเสียงยิ่งแย่ เพราะเหมือนอัดมาไม่ดีมั่ง เอามาพากย์ทับซะส่วนใหญ่ ไม่ตรง อารมณ์ไม่ได้ สำหรับเรื่องนี้เรียกได้ว่า เละเทะ
พอดูชื่อหนังถึงได้เข้าใจว่า อ่อ EXIT เชิญทางนี้ได้เลยครับ จะได้ไม่เสียเวลา
สรุปผลวิจารณ์หนัง
The Floor Plan บ้านวิกล
จากนิยายขายดีของญี่ปุ่น สู่งานภาพยนตร์คนแสดงในเรื่องราวของ อาเมมิยะ ยูทูปเบอร์หนุ่มที่กำลังค้นหาคอนเทนท์ที่น่าสนใจเพื่อกอบกู้ยอดวิวของช่องให้กลับมาดีขึ้น จนกระทั่งเขาได้รับแบบแปลนบ้านสุดพิศวงจากยานาโอกะที่ซึ่งกำลังต้องการซื้อบ้านหลังนี้ แต่พอสังเกตให้ดีก็ต้องฝพบเจอกับห้องปริศนาชวนน่าขนลุก เขาจึงนำมันไปปรึกษากับคุณคุริฮาระ จนตกตะกอนความคิดที่น่าสนใจได้ว่า บ้านหลังดังกล่าวอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในป่าใกล้ ๆ ที่พบศพถูกแยกชิ้นส่วน ก็เป็นได้
ว่ากันด้วยเรื่องของการดำเนินเรื่อง ส่วนตัวไม่เคยได้อ่านนิยายเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่รู้จักจากการที่ตัวแบบแปลนบ้านเคยเป็นไวรัลมาก่อนทางอินเทอร์เน็ต พอได้รู้ข้อมูลก็ทำให้สนใจในตัวภาพยนตร์มากขึ้นตั้งแต่ได้ดูตัวอย่างแล้ว แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็แอบผิดหวังกับบทนิดหน่อยละนะ ตัวหนังเข้าเรื่องไว ไม่ยืดเยื้อ แต่ส่วนตัวรู้สึกพยายามที่จะใส่บรรยากาศที่พยายามชวนให้ขนลุกมากเกินไปจนเรารู้สึกว่ามันไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าไร แต่จังหวะจั้มแสกร์ก็คือทำถึงอยู่ ตามสไตล์แบบญี่ปุ่นเขาด้วย เล่นเอาสะดุ้งตัวโยนไปหลายทีเลย แล้วในส่วนของพาร์ทการแสดงส่วนตัวว่าบางจังหวะการแสดงก็ยังไม่ได้เข้าถึงเท่าไร ดูขาด ๆ เกิน ๆ เอฟเฟคบางช่วงก็แอบลอยโดด ๆ จนชัดเกินไปนิดนึง และบางประเด็นก็เหมือนหนังพยายามยัดเข้ามาเกินไป
เป็นที่น่าเสียดายมากสำหรับเรา ส่วนตัวคิดว่าตัวพล็อตปริศนาจากแบบแปลนบ้านดูน่าสนใจมาก แต่เราว่ายังไม่สามารถทำออกมาให้เรารู้สึกเอนจอยตามไปด้วยได้สักเท่าไร การแสดงของนักแสดงเองก็พยายามอย่างเต็มที่ แต่ส่วนตัวเราไม่ค่อยอินเท่าไร ตัวหนัง ตัวบทเหมือนยังไปไม่ค่อยสุดเท่าไร ยกเว้นการจั้มแสกร์กับบรรยากาศชวนหลอนอันนี้จัดเต็มมาก ทำถึง แต่น่าเสียดายว่าไม่มีรอบซับไทย ส่วนตัวดูพากย์ไทย สำหรับเรื่องนี้เราว่ายังไม่ค่อยอินเท่าไรนัก รวม ๆ ตัวหนังก็พอโอเคแหละ ถ้ามาดูแบบฆ่าเวลาเพลิน ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Project Silence หรือชื่อไทย เขี้ยวชีวะคลั่งสะพานนรก
เนื้อเรื่องก็จะเป็น รัฐบาลได้รับคำสั่งจากพวกเมกาพวกยุโรปให้ทดลองสร้างน้องหมาที่สามารถสั่งการได้ผ่านคอมพิวเตอร์ แต่เหมือนไม่สำเร็จก็เลยจะส่งหมาไปกำจัด โดยการขนส่งใส่รถพวงกรงเหล็กเดินทางข้ามสะพาน ซึ่งเป็นวันที่หมอกดันจัดพอดี และเป็นจังหวะที่พระเอกที่เป็นนักการเมืองต้องไปส่งลูกสาวเรียนต่างประเทศที่สนามบินซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันพอดิบพอดี ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุทำให้สะพานไม่สามารถไปต่อได้ และมีการถล่มสะพานขาด และแน่นอน น้องหมาหลุด ประมาณนี้
ตอนแรกก็ดูไปเรื่อยไๆม่ได้อะไร พอสักพักเขาเปิดเนื้อเรื่องมาเรื่อยๆคือทดลองหมาในแล็บ มีฝั่งชิบมีอะไร คืองงว่า ถ้าไม่สำเร็จ แล้วจะกำจัด ทำไมไม่ทำตั้งแต่ในแล็บ จะเอาออกมาเป็นๆทำไม หรือตรงนี้จำมาผิดรึเปล่าไม่แน่ใจนะ ถ้าผิด กราบบบขออภัย แต่ถ้าเท่าที่จับความได้คือ จะเอาน้องไปกำจัด ดูไปก็คิดไปว่า ทำไม่ฉีดอะไรตายไปเลยตั้งแต่ในแล็บ หรือวางยาสลบตอนเดินทางก็ยังดี อันตรายขนาดนี้
ตัวหนังก็ทำมามืดไปนิดดูยากหน่อย ความสนุกตื่นเต้นถือว่าแค่ดูได้เรื่อยๆนะไม่ได้ว้าวหรือพีคอะไรมาก แต่ไม่ได้รู้สึกน่ากลัวเท่าที่ควร แต่ช่วงแอบง่วงๆบ้าง แต่ก็มีจุดกลับมาตื่นเต้นบ้าง
หนังค่อนข้าง อีหรอบเดิม อะพอจะเข้าใจนะครับ?555 มันเป็นสูตรของหนังเกาหลีเขาแหละ หลายเรื่องจะทรงๆนี้แค่เปลี่ยนสถานการณ์ แต่ถามว่ามันขายได้ไหม มันได้นะ เรื่องนี้ก็ถือว่าไม่ได้แย่ ดูเพลินๆไป แอบชอบตัวละครที่เป็นพระรองอะ ตัวกวนๆ เสียดายที่ดึงความน่ากลัวของน้องหมาออกมาได้ไม่ถึงจุด มันเลยไม่ค่อยระทึกขวัญอะไรเท่าไหร่
เรื่องงานภาพก็ถือว่าทำได้ไม่เลว ซีจีอาจจะไม่ได้ดีเวอร์เนียนกริบ แต่ถือว่าโปรดักชั่นมีการคิดและที่ใช้ได้ เพลงประกอบก็ธรรมดาตามแบบหนังประเภทนี้ไม่มีอะไรมาก
รวมๆแล้วเนื้อเรื่อง มันยังไปไม่สุดไม่สะกิดใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้แย่ครับ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Alien Romulus
การกลับมาอีกครั้งของแฟรนไชส์ภาพยนตร์เอเลี่ยนกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Alien Romulus ที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงกลางไทม์ไลน์ของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Alien นั่นเอง ส่วนตัวว่า ถ้าใครเป็นแฟนภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้คือพลาดไม่ได้จริง ๆ กับเรื่องราวที่ตัวหนังเล่าเกี่ยวกับกลุ่มชาวอาณานิคมเหมืองที่พยายามจะหลบหนีเพื่อไปยังดาวอาณานิคมใกล้ ๆ ที่สามารถใช้ชีวิตที่ดีกว่าได้ ด้วยการบินขึ้นไปขโมยพ็อดสลีปสำหรับเดินทางด้วยยานขนส่งสินค้าของพวกเขา โดยไม่รู้เลยว่ายานที่พวกเขาตรวจพบนั้นได้เก็บเงื่อนงำบางอย่างที่แสนจะอันตรายเอาไว้
ถ้าพูดถึงการดำเนินเรื่องบอกเลยว่าดีมากก เพียงแต่ช่วงแรกเริ่มสำหรับเราอาจจะรู้สึกง่วงไปนิดหน่อยเพราะช่วงแรก ๆ จะเป็นการปูให้เราได้รู้จักกับอาณานิคมเหมืองและตัวละครใหม่ (หรือเพราะไปดูรอบดึกก็อาจจะมีส่วน ฮ่า ๆ) แต่พอถึงช่วงปล่อยของบอกเลยว่า จัดเต็มมาก จังหวะจั้มสแกร์เล่นเอาตาสว่าง แต่ถือว่าจังหวะเขาดีมาก ไม่เยอะเกินไป ไม่น้อยเกินไป และในเรื่องความสยองชวนขนหัวลุกในช่วงท้ายเรื่องนั้น บอกเลยว่า ติดตาเราไปทั้งคืน ลืมไม่ลงเลยจริง ๆ แถมระหว่างเรื่องยังแฝงอีสเตอร์เอ้กให้แฟนหนังได้ย้อนความหลังกันเบา ๆ ด้วย
ในส่วนของทางด้านการแสดง สำหรับเราว่าโอเคเลย ในช่วงแรกส่วนตัวเรารู้สึกตะขิดตะขวงใจในตัวละครแอนดี้ (นำแสดงโดย เดวิด จอนส์สัน) ไปบ้าง แต่พอเฉลยปมก็ทำให้พอเข้าใจได้ ถึงการแสดงออกแบบนั้น ยิ่งช่วงที่น้องได้รับการอัพเกรดก็คือเท่มาก ๆ และตัวละครอย่าง เรน คาร์ราดีน (นำแสดงโดยเคลี สแปนี) เองก็ทำให้เราเห็นพัฒนาการที่ค่อย ๆ เท่ขึ้นเรื่อย ๆ มีการครีเอทฉากต่อสู้ได้น่าสนใจมาก อย่างการใช้แรงโน้มถ่วงเข้าช่วยในการเอาตัวรอด ฉากนี้เล่นเอาลุ้น ตามไปด้วยเลย
ส่วนตัวเราเองไม่ได้ติดตามแฟรนไชส์นี้ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ก็มีได้ดูภาคเก่า ๆ มาก่อนบ้างประปราย ก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ แม้จะไม่ได้เชื่อมโยงกันมากก็ตาม ตัวภาพยนตร์มีความสนุกเร้าใจ ดูจบทำเอาอยากกลับไปย้อนดูตั้งแต่ภาคแรกให้หมดเลย แถมพากย์ไทยเองก็ทำไว้ไม่เลว ดูสนุก ลื่นหูสุด ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ก็ถือว่า เป็นการกลับมาคืนฟอร์มของมาเวลได้ค่อนข้างดี แม้จะไปได้ไม่สุดแต่ก็เป็นหนังที่ดูสนุกเพลินๆได้ เรียกเสียงหัวเราะได้ และทำให้ความฝันของใครหลายๆคนได้เป็นจริง
เดดพลูกับวูล์ฟเวอร์รีน ก็เรียกได้ว่าเป็นการลากคนแก่กลับมาทรมาณทรกำ แล้วก็แอบๆคิดว่า ป๋าอายุขนาดนี้แล้ว มันจะเป็นยังไง สรุปคือ ดีชิบหาย ฮิวจ์ แจ็คแมน เผื่อใครยังไม่รู้ แก่อายุ 55 ปีแล้วจ้า อายุเท่านี้หุ่นได้ขนาดนี้ ทำได้ยังงายยย ส่วนตัวรู้สึกว่า วูล์ฟเวอร์รีน เรื่องนี้คือฟิตสุดเลยมั้งหนะ555 แล้วความแก่ทำอะไรแกไม่ได้ แต่เพิ่มความขลังขึ้นไปอีก หวังว่าเราจะได้เห็นป๋าในบทบาทนี้อีกในหนังเรื่องต่อๆไปครับ
หนังเรื่องการกอบกู้โลกจักรวาลอะไรก็แล้วแต่ในหนังนั้นมันโคตรเบสิคและไม่มีอะไรแปลกใหม่และน่าตื่นตาตื่นใจ หนังเน้นไปทางจะโชว์อิสเตอร์เอกมากจนเกินไป เกินไปแบบเกินไปมากกกกกอะ แล้วมันกลบเส้นเรื่อง การต่อสู้อะไรต่างๆ มันไม่เข้มข้น ตัวร้ายถือว่าโหดมากแต่หนังไม่ได้ดึงศักยภาพของคาแรคเตอร์ออกมาเล่น ดูแบบง่อยๆ การดำเนินเรื่องตรงนี้รู้สึกไม่ประทับใจเท่าไหร่ สรุปก็ถือถ้าจะไปดูหนังเรื่องที่เข้มข้นถึงใจนั้น อย่าหวังเลยเดี๋ยวเสียจุย
ปมของตัวละครแต่ละตัวนั้นรู้สึกว่าจะเบาๆผิวๆไม่ได้รู้สึกมีอะไรให้ทัชใจมาก ซึ่งเอาจริงๆตัวหลักมีแค่สามตัวเท่าั้นเอง คือ เด็ดพลู วูลฟ์เวอร์รีน กับ คาสซานดร้า มันน่าจะขยี้เบื้องลึกให้มันดูมีมิติได้มากกว่านี้ แต่ก็นั้นแหละ หนังเอาเวลาไปถ่มกับการปูชีวิตเด็ดพลู กับอีสเตอร์เอกหมด ไม่เหลือเวลามาขับเคี่ยวกับเนื้อเรื่องจริงๆ และด้วยประการนี้ หนังเลยไปไม่สุด
เรื่องดีๆของหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นความบันเทิงเพลินใจธรรมดาๆ มุกตลกๆที่ใส่มาถือว่าฮาๆ พอได้ขยับร่างกายอยู่บ้าง ส่วนใครที่ติดตาม หนังมาเวลไม่ว่าจะของค่ายไหนทำ หรืออ่านตอมิกมา ก็คิดว่าน่าจะชอบในอีสเตอร์เอกต่างๆที่อัดยัดมาให้อย่างเต็มเหนี่ยว หวังว่าจะสนุกกันนะครับ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ดูจากทรง น่าจะอยู่ไม่นานสำหรับเรื่อง แดนสาป
จากก่อนฉายที่ว่ามีกระแสดราม่าว่าจะเป็นการกระทบกันระหว่างความเชื่อต่างศาสนา หรืออาจจะลบหลู่ชาวมุสลิมหรือไม่นั้น หลังจากที่ได้เข้าไปดูแล้วนั้น จะบอกว่าไม่ต้องกลัวครับ หนังแทบไม่มี … อะไรเลยครับ ความหนักแน่น การถ่ายทอด เบ๊าเบา เบาบางจัด ทั้งที่จริงๆประเด็นมันมาดีมีให้เล่นนะ มาได้ถูกทางแล้ว แต่เหมือนคนทำเล่นแบบเซ็ฟๆไม่ค่อยกล้า เช่น ถ้าใช้ชั่วโมงแรกให้เรารู้สึกเกลียดคนมุสลิมไปเลย แล้วตอนจนไประเบิดไคลแมกซ์ด้วยคำสอนอัลเลาะห์ที่ช่วยให้ทุกอย่างคลี่คลายและความเกลียดที่มีต่อชาวมุสลิมเป็นแค่อคติ ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำและมาถูกทางแล้ว แต่เขาเพลย์เซ็ฟ ถ่ายทอดแค่ว่าพระเอกอคติกับคนในขุมชน แล้วให้คนดูอย่างเรามองว่าพระเอกไม่ดีแต่แรก แทนที่ชั่วโมงจะให้คนดูรู้สึกแบบเดียวกับพระเอกว่า ไม่ชอบคนแถวนี้เลย มันพิลึก อะไรทำนองนั้น จากที่ยกตัวอย่างมา เลยทำให้รู้สึกทุกๆทางที่คนทำหนังเรื่องนี้จะเดินไป มันไปไม่สุดสักทาง เลยเป็นผลให้ตอนจบก็ไม่ค่อยรู้สึกฮึกเฮิม ซาบซึ้ง ปล่อยปลดอะไรเท่าไหร่ และนั้นแหละมันไปไม่สุดสักทาง ทั้งทางผี ทางการเมืองความเชื่อที่แตกต่าง ความสนุก โดยเฉพาะเรื่องความสนุก หนังเรื่องนี้แทบหาไม่ได้เลย หนังดำเนินมาชั่วโมงแล้วยังไม่ไปไหน แถมพาง่วงสุดๆ เรื่องนี้ จัดให้อยู่รวมกับ ของแขก ธี่หยด แต่อย่างธี่หยด เรายังได้ความบันเทิงใจ แต่แดนสาปเราแทบไม่ได้อะไรเลยจากมัน ทั้งที่แก่นหลักเรื่องความเชื่อที่แตกต่างมันน่าจะทำหน้าที่ได้ดีมากๆ
เรื่องบทพูดการดำเนินเรื่อง การกระทำต่างๆ รู้สึกมันไม่ค่อยเมกเซ็นทั้งภาพรวมทั้งรายละเอียด เอาจริงๆตั้งแต่ได้เลื่อนขั้นแล้วให้ครอบครัวพระเอกมาอยู่บ้านโทรมๆละ คือโรงงานเบ้อเล่อมันต้องหาบ้านให้ระดับหัวหน้าได้ดีกว่านี้อะ มันดูไม่ค่อยมีเหตุผลยังไงไม่รู้ บทพูดก็ดูแปลกๆ
งานภาพก็แปลกๆ บางอันก็ครอปซูมจนเห็นเป็นพิกเซลก็มี อันมืดก็มืดจนแทบไม่เห็นอะไร เรียกว่า ดูยากเลย เพลง ซาวด์ประกอบก็ถือว่าแน่นดี แต่เหมือนกันเลยสามเรื่อง ของแขก ธี่หยด แดนสาป เหมือนก็อปวางกันมา
สิ่งที่รู้สึกว่าทำให้อยากดูเรื่องนี้จนจบคือ บังฮีม ชอบคาแรคเตอร์และการแสดงมากๆ โดดเด่นออกมาจากตัวหนังทั้งเรื่อง คนที่เล่นเป็น มะ ก็ดี นักแสดงหลักอนันดากับเจนนิสก็โอเครนะ แต่บทมันไม่เมกเซ็น มันเลยไม่ค่อยส่ง
รวมๆแล้วแก่นของเรื่อง การปะทะกันของความต่างทางความเชื่อนั้น ไม่รู้สึกอะไรเลย รู้สึกแค่ว่าเพลย์เซ็ฟเกินไป
สรุปผลวิจารณ์หนัง
หนังกวนๆดีนะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
"สังเวียนมวยรอง" เป็นหนังแนวๆสารคดี + documentary ติดตามชีวิตนักมวยไทยสี่คน ต่างที่มาต่างช่วงวัย แต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการคว้าชัยชนะเพื่อก้าวไปสู่เวทีที่ยิ่งใหญ่และมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น จะต้องอดทนต่อสู้ฝ่าฟัดอุปสรรคเพื่อให้ทำตามความันได้สำเร็จ จุดเด่นของเรื่องเลยคือ มันค่อนข้างดูเรียลในการถ่ายทอดชีวิตจนไปถึงบนสังเวียน แต่พลาดตรงมีตัวละครเยอะเกินไป พอตัวละครเยอะก็ไม่สามารถเล่ารายละเอียดที่สำคัญที่จะทำให้เรารู้สึกกับหนังได้แบบ ไม่มากพอ พูดง่ายๆก็คือถึงจะเรียลให้เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไปกับหนังขนาดนั้น การฝ่าฟัน ความรู้สึกเจ็บช้ำ ท้อถอย ฮึดสู้ ชีวิตนักมวยหรือเรื่องราวเบื้องลึกวงการมวย มันไปไม่สุดสักทาง เลยทำให้คนดู(อย่างผม)รู้สึกไม่ค่อยได้อะไรกลับมาจากเรื่องนี้ ซึ่งก็ปกติสำหรับหนังที่ตัวละครเยอะ แอร์ไทม์ก็ต้องกระจาย ยิ่งต้องทอดถ่ายเรื่องของแต่ละคนที่ไม่ได้เหมือนกัน สารที่ส่งมาหาคนดูก็ยิ่งเบาบางตามแอร์ไทม์ที่มี
สรุปรวมๆการดำเนินเรื่องถือว่าทำได้ไม่แย่ เพราะอย่างน้อยก็เป็น documentary ที่มีไดนามิกไดฟ์ขึ้นไปได้
ด้านงานภาพถึงว่าทำออกมาได้ดีมาก ซึ่งมันก็ไม่ได้เพอร์เฟคทุกอย่าง แต่ก็ตามสไตล์เน้นความเรียล ส่วนตัวชอบงานภาพ ถือว่ามีความปราณีตเป็นอย่างมาก การถ่ายทอดชีวิตนักมวยแต่ละคนแม้จะไม่ได้เจาะลึกแต่ก็แอบใส่ดีเทลอะไรต่างๆเข้ามาได้ เสริมให้เนื้อเรื่องมีมิติมากขึ้น ตัวละครมีมิติมีชีวิตชีวามากขึ้น ช่วยอุ้มความเบาบางของเนื้อหาได้มากเลย ตรงนี้ถือว่ายอดเยี่ยม และงานภาพตอนขึ้นสังเวียนก็ทำได้ดีการคิดการถ่ายการตัดต่อ ถือว่าดีมาก
งานเพลงประกอบก็ไม่ได้หวือหวาอะไร เน้นช่วยสร้างอารมณ์ตามความรู้สึกใก้ตัวละคร ตรงนี้ถือว่าทำออกมาได้ดี เนียนไปกับหนังได้ดี
ด้านการแสดง ก็ยอมรับว่าดูไม่ออกว่าแสดงหรือถ่ายทำมาจากเรื่องจริง แต่รู้สึกว่าไปถ่ายมาจริงๆไม่ได้เซ็ทติ๊งอะไร ก็แปลว่า ถ้าเขาเซ็ทขึ้นมาถ่าย แสดงว่าเขาประสบความสำเร็จในการสร้างแล้ว เพราะส่วนเชื่อว่าทั้งหมดคือไปตามถ่ายแบบไม่ได้สั่งตัวละครเลย 90%
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ต้องบอกเลยว่าเป็นที่น่าจับตาจริง ๆ กับภาพยนตร์จากแฟรนไชส์ชื่อดังอย่าง A Quiet place: Day one ซึ่งช่วงนี้ก็ได้เป็นกระแสกันอย่างหนักกับน้องโฟรโด้ เจ้าแมวลายวัวทรงผมแสกกลางอันทรงพลังที่เหล่าผู้ชมหลาย ๆ คนต่างก็ลุ้นกันว่าชะตากรรมของน้องในเรื่องจะเป็นอย่างไร กับเรื่องราวของหญิงสาวที่ป่วยเป็นโรคร้ายที่มีเจ้าโฟรโด้ แมววัวตัวน้อย(?) คอยอยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลา ได้เข้ามาในเมืองเพื่อทำกิจกรรมร่วมกับบ้านพักพิงผู้ป่วย แต่กลับถูกโจมตีโดยเหล่า Death Angle เอเลี่ยนที่บุกเข้ามาพร้อมกับอุกกาบาตปริศนาที่สามารถฆ่าเราเมื่อได้ยินเสียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนตัวว่าตัวหนังดำเนินไปช่วงต้นก็ถือว่าพอโอเคไม่ยืดเยื้อ เข้าเรื่องไว ด้วยความที่เป็นภาคต้น เป็นการปูจุดเริ่มต้นของแฟรนไชส์ แม้จะไม่เคยดูสองภาคแรกมาก่อนก็สามารถเริ่มดูได้แบบไม่ต้องกลัวงงเลย และสามารถเอนจอยกับมันได้ แต่ส่วนตัวคิดว่ามันจะมีช่วงที่ทำให้เรารู้สึกแอบเนือยนิดนึง แถมในหนังเรื่องนี้ก็ใช้ฉากที่มืดมาก ๆ หลายฉาก ส่วนตัวว่าบางฉากมันมืดจนเกินไป มืดจนเราหงุดหงิด แต่สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเจ้าน้องโฟรโด้!! เจ้าวัวแสกกลางทรงสเน่ห์ ที่ตุ๊ต๊ะมากสำหรับเรา ในเรื่องน้องมีความน่ารัก มีซุกซนตามประสาแมว แถมยังมาทำให้ลุ้นตามไปอีกหลายช่วงเสียด้วย เก่งจริง ๆ เลยนะเรา น่าเอ็นดูมากกก และถ้าจะไม่พูดถึงนักแสดงท่านอื่นเลยคงไม่ได้ ส่วนตัวว่าเซอไพรส์มากสำหรับ อเล็กซ์ วูล์ฟ ที่รับบทเป็นผู้ช่วยพยาบาลชายที่คอยดูแลนางเอกตอนต้นเรื่อง เล่นเอาเกือบจำแทบไม่ได้ ส่วนนักแสดงหลักทั้งสองอย่าง ลูปิต้าและโจเซฟนั้น สองคนนี้คือแสดงออกมาได้ดีมากๆ แม้จะไม่ต้องพูดอะไรมากมายก็ตาม นับว่าเอาอยู่เลยทีเดียว ไอเราก็ลุ้นตามแถมยังนั่งน้ำตารื้นตอนจบเสียอีก (อ่อนไหวง่ายเกินไปแล้ววว)
สรุปโดยรวมเลยนะ ส่วนตัวว่าภาพยนตร์ A Quiet place: Day one ก็ถือว่าทำออกมาได้สมกับมาตรฐานของแฟรนไชส์นี้ดี ทำถึง ส่วนตัวรู้สึกเอนจอย ลุ้นตามในหลาย ๆ ฉาก แต่บางช่วงก็จะมีจังหวะที่ทำเราหลุดโฟกัสไปด้วยเพราะเรารู้สึกแอบเนือยไปนิดนึง แต่ก็ไม่ถือว่าแย่เลย คุณภาพงานโปรดัคชั่นก็เจ็งมาก ๆ สมชื่อโปรดิวเซอร์ร่วมเขาล่ะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
หลังจากที่ได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Late Night with the Devil คืนนี้ผีมาคุย ต้องบอกเลยว่าส่วนตัวเรารอคอยที่จะได้รับชมแบบเต็มเรื่องมาก ๆ เพราะตัวอย่างภาพยนตร์เองก็มีความน่าสนใจไม่น้อยในการนำเสนอแบบเทปบันทึกรายการสด Late Night Talk Show ของ Jack Delroy (นำแสดงโดย เดวิด แดสท์มัลแชน) ที่ในขณะนั้นเองเรตติ้งได้ตกต่ำลง จนต้องหาคอนเทนท์ใหม่ ๆ เพื่อเรียกเรตติ้งกลับมา นั่นก็คือ คืนวันฮาโลวีนนั่นเอง
ต้องบอกว่า การเริ่มเรื่องมาส่วนตัวรู้สึกว่าออกจะยืดเยื้อนิดหน่อย เพราะด้วยความที่ตัวภาพยนตร์ปูประวัติของแจ๊ค เดลรอย และคอนเทนท์ที่ผ่านมาของรายการทอล์คโชว์ของเขา ค่อนข้างละเอียดเลย แต่ก็ไม่ได้นานมาก มีการลงรายละเอียดที่ต้องเก็บเพราะจะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในรายการ โดยมาในรูปแบบของ Footage เป็นรายการที่แจ๊คเป็นคนดำเนินรายการมาตั้งแต่เรตติ้งยังสูงอยู่จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์การสูญเสียขึ้นในชีวิตของเขา ที่อาจเป็นฉนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายการทอร์คโชว์คืนวันฮาโลวีนนี้
ในด้านของการแสดงต้องขอบอกเลยว่านี่ชอบมาก การแสดงของเดวิดในบทแจ๊คเองก็ทำได้ดี แถมหน้าตา การแสดงออกก็เหมือนหลุดมาจากยุคนั้นจริง ๆ ยิ่งตอนถึงช่วงที่รายการเชิญน้องลิลลี่ออกมา (นำแสดงโดย อินกริด โตเรลลี) น้องคนนี้ถือว่าทำได้ถึงมากกกกก ยิ่งการจ้องเข้ามาที่กล้องตรง ๆ แล้วมีสายตา รวมถึงอากัปกริยาที่ผิดปกติ มันดูมีความลึกลับ ดูน่ากลัวเหมือนจะมีอะไรออกมาจากตัวน้องตลอดเวลา
โดยรวมส่วนตัวว่าแอบผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ได้ออกมาอย่างที่คาดหวัง แต่ว่าตัวหนังก็ไม่ได้แย่เลย ถือว่ามีความน่าสนใจ เพราะสไตล์ Found Footage เองก็ใหม่สำหรับเราพอสมควร ก็เลยอยากดูมาก ๆ ตั้งแต่เห็นตัวอย่างภาพยนตร์ครั้งแรก และด้วยความที่หนังมีปมให้เราต้องคิดเอาเองตลอด ทั้งปมในระหว่างเรื่องและตอนเฉลย ส่วนตัวว่าเรื่องนี้อาจจะไม่ถูกใจสำหรับบางคนเลยก็ได้
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ถ้าคิดว่าหนังสารคดีเรื่องนี้ทำมาเพื่อนอวยฝ่ายอนาคตใหม่หรือธนาธร อันนี้ ผิดครับ
ประเทศไทยนั้นมีตำราเรียนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองเอาไว้สอนที่แต่เด็นชั้นประถม มัธยม มหาลัย ส่วนใหญ่เนื้อหาก็มักจะเขียนแบบอวยฝ่ายขวา ยิ่งถ้าบวกกับอาจารย์สลิ่มจ๋าแล้ว ไม่ต้องพูดถึงครับ เลียบูททหารเต็มที่จนเปียกแน่นอน เพราะตำราเรียนเหล่านั้นมันก็ถูกเขียนมาโดยคนฝ่ายขวา เพื่อให้คนรุ่นต่อไปซึมซับ แล้วก็กลับมาสร้างประโยชน์สร้างอำนาจให้พวกเขาเอง โดยที่ความจริงจะเป็นยังไง ไม่สน
แต่กับหนังสารคดีเรื่อง Breaking the Cycle - อำนาจ ศรัทธา อนาคต บอกได้เลยว่า แค่ เอาฟุตเทจต่างๆที่มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็มี documentary นิดๆหน่อยๆมันเสริมเท่านั้น พูดง่ายๆคือ ใครติดตามการเมืองอยู่แล้ว เรื่องนี้ก็แค่ฉายภาพซ้ำ หนังม้วนเดิมเท่านั้นเอง
สิ่งที่ดีงามคือการฉายหนังซ้ำ ฟิลแบบเอาข่าวมารวมๆสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาสรุปให้ฟัง แต่สามารถเป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจได้ (ก็คงด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆมันเป็นแบบนั้นด้วย) ตัดเรื่องการเมืองออกไป มันคือหนังที่เน้นทางสร้างแรงดาลใจได้การต่อสู้กับอะไรบางอย่าง การฝ่าฟัน การเผิชญหน้า การไม่ยอมแพ้ แบบการ์ตูนญี่ปุ่น อะไรแบบนั้น และที่สำคัญหนังเขาไม่ได้ว่าร้ายหรือโจมตีฝ่ายตรงข้ามเลย แต่คือมีการหยิบยกและพูดถึงฝ่ายตรงข้ามอยู่ ซึ่งไม่ได้เป็นการว่าร้ายอะไร แค่เอาเรื่องจริงมาตัดใส่ให้สถานการณ์ครบถ้วน ซึ่งต้องขอบอกว่า ถ้าอีกฝ่ายรู้สึกว่าโดนด่า งั้นขอถามกลับ แล้วมึงทำส้นตีนๆทำไมละ ถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำหนะมันถูก ก็แปลว่าเขาไม่ได้ด่าอะไรนะ แต่ถ้าคิดว่าการที่เขาเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาตัดใส่ เป็นการด่า งั้นแสดงว่า มึงก็รู้ตัวนี่ ว่ามึงเหี้ เอง555 ค เอ้ย
สรุปรวมๆเลยก็คือ มันเป็นสารคดีของคนกลุ่มนึงที่พยายามอะไรสักอย่างและมีความไม่ย่อท้อ มีความลุกขึ้นสู้ ฝ่าฟัน และเป็นหนังแนวสร้างแรงบันดาลใจ แค่มีกรอบเป็นลายการเมืองประเทศไทยเท่านั้นเอง
บทหนังให้10เต็มนะครับ เพราะเรื่องการเมืองไทยนี่โคตรมัน
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Furiosa เป็นหนังภาคต่อที่เป็นเรื่องราวก่อนเนื้อเรื่องภาคแรก Mad Max: Fury Road
ส่วนตัวชอบภาคแรกมากแม้จะรู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่ไปได้สุดกว่านี้อีกหน่อย แต่ก็ยกให้เป็นหนังเรื่องนึงที่ดีเหี้ยๆ ทั้งงานภาพ เสียง องค์ประกอบต่างๆ จินตนาการ ถือว่าเป็นสุดยอดหนังอีกเรื่อง
ถ้าให้คะแนนระหว่าง Mad max กับ Furiosa เราให้ Mad max มากกว่า เพราะรู้สึกอะไรๆมันกระชับกว่า มีความละเมียดละไมมากกว่า งานถ่ายค่อนข้างปราณีตแบบถึงพริกถึงขิงกว่า ออกมาดิบเถื่อนแบบมีรสนิยมชั้นสูงจัดๆ ที่สำคัญทีมซองทำออกมาได้มีโมทีฟน่าจดจำ บิ๊วอารมณ์ได้ดีมากๆ ซึ่งจุดนี้ ค่อนข้างงง กับFuriosaว่า ทีมซองที่อยู่ในตัวอย่างหนัง รู้สึกไม่ได้เอาใส่มาในหนังเลย ทั้งๆที่มันโคตรดี นี่คิดว่าทีมซองหนังบนโลกนี้มันเยอะมากและน่าจะตันๆไม่น่ามีอะไรใหม่ๆมาก แต่ตอนดูตัวอย่างครั้งแรกรู้สึกว่า ว้าวมีอะไรใหม่ๆและชัดเจนดีจริงๆ แต่ในหนังเหมือนเป็นแค่ซาวด์ประกอบไม่ได้ใส่ตัวนี้มาด้วย รู้สึกเสียดาย ลองไปเปิดฟังในแอปเปิ้ลมิวสิคก็ไม่เจอเพลงในตัวอย่าง งง
ตัวหนังนั้น เราชอบเนื้อเรื่องมากๆรู้สึกมันสมบูรณ์แล้ว การเล่าเรื่องถูกต้อง แต่..... มันยังไม่ดีที่สุด ยังขาดๆเกินๆไปเยอะจนทั้งน่าเบื่อและน่าหงุดหงิด อะไรที่ควรเล่าแบบกระชับๆก็เล่ายาวเกินไป อะไรที่ควรเล่าเต็มๆก็เล่าแบบตัดตอน ช่วงฟูริโอซ่าวัยเด็ก ด้วยแอร์ไทม์เท่ากันแต่ถ้าปรับแต่งจัดสรรค์ใหม่ดีๆ เพิ่มความผูกพันธ์ระหว่างฟูริโอซ่ากับเดเมนตัสกว่านี้ น่าจะอินกับสองตัวละครหลักนี้มากขึ้น อิมมอทัลโจภาคนี้ จืดไปหน่อย มันควรจัดจ้านเท่าเดเมนตัสแล้วเอาความอีโก้ของสองตัวนี้มาสู้กัน อันนี้ดูดรอปเลย แล้วก็มีอะไรที่ไม่เม็กเซ็นบ้างประปราย เช่นฉากแรกที่ฟูริโอซ่าเจอแก๊งมาล่าเนื้อม้า คือขับมอไซค์มาจอดขนาดนั้นคนในเมืองไม่ได้ยิน แต่ฟูริโอซ่าเป่านกหวีดอันนิดเดียวคนได้ยิน อะไรแบบนี้555
ฉากสู้อันนี้รู้สึกหลายๆอันที่ไม่สำคัญแต่ได้แอร์ไทม์เยอะเกินไป แต่ฉากสงครามสุดท้ายกลับไม่ใส่มาด้วย ไม่รู้ว่าเป็นซิกเนเจอร์แกป่าวนะ แต่ภาคที่แล้วก็เป็น เช่นฉากที่พระเอกกลับไปสู้กับกองทัพอิมมอทัลโจคนเดียว แต่ไม่ได้เป็นฉากต่อสู้ อะไรแบบนั้น เลยรู้สึกไม่เต็มอิ่ม ถ้าตัดฉากสู้อื่นๆที่ไม่สำคัญให้สั้นลงแบบเยอะๆ แล้วบิ๊วไปสงครามฉากสุดท้าย คิดว่าน่าจะเต็มอิ่มกว่านี้
สรุปรวมๆคือชอบ Madmax มากกว่า แต่ถามว่า Furiosa ดีไหม ก็บอกได้เลยว่า ยังไงก็ต้องดูในโรง และไอแม๊กเท่านั้น คุ้มค่าตั๋วต่าเสียเวลาแน่นอน ถึงอะไรๆมันจะมีข้อบกพร่องไปบ้าง แต่ความดีงามนั้น งานภาพ การแสดง โดยเฉพาะเทพทอร์เรา ความโหด ความจัดจ้าน ยังยกให้เป็นหนังที่โคตรดี ถึงพริกถึงขิง เป็นหนังระดับ Top list แต่เหมือนรายได้เปิดตัวจะไม่ดี อาจจะโดนถอดจากไอแม๊กเร็ว คือถ้าไม่ไปดูในโรงและไอแม๊ก มันจะน่าเสียดายมากๆ ต้องรีบจริงๆ บอกเลย
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ถ้าพูดถึงแมวส้ม ตัวแรกที่จะนึกถึงคงหนีไม่พ้นเจ้าการ์ฟิลด์ แมวส้มตัวอ้วนผู้ชื่นชอบลาซานญ่าเป็นชีวิตจิตใจ ในปีนี้เจ้าส้มสุดแสบได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบแอนิเมชันเดอะมูฟวี่ ที่จะเล่าเรื่องราวในรูปแบบใหม่ และพาเราไปรู้จักกับวิค ส้มตัวพ่อ ป๊ะป๋าของเจ้าการ์ฟิลด์ ที่จะพาเขาไปพบกับการผจญภัยครั้งแรกที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน (ก็ภาคนี้จอห์นเค้าเลี้ยงระบบปิดนี่เนอะ ประคบประหงมมาตั้งนาน ฮ่า ๆ )
เรื่องนี้บอกเลยว่ารอมาตั้งแต่เห็นตัวอย่างภาพยนตร์จนกระทั่งเห็นแคสติ้งเสียงนักพากย์แล้วก็คือตื่นเต้นมาก และบอกได้เลยว่าส่วนตัวไม่ผิดหวังใด ๆ เนื้อหาดำเนินเรื่องได้สนุก ดูเพลิน คาแร๊คเตอร์เองก็ถือว่าใส่ความแสบฉบับแมวส้มของแท้ร้อยเปอร์เซนต์มากับนิสัยเดิม ๆ ของการ์ฟิล์ดได้อย่างลงตัว แต่ที่เราประทับใจมากที่สุดในเรื่องก็คงจะเป็นเรื่องราวของ วิค พ่อส้มของการ์ฟิลด์นั่นแหละ ที่จะเป็นตัวคลายปมความสัมพันธ์ของทั้งสอง ไม่รู้เราเองอยู่ในช่วงอ่อนไหวง่ายไปเองไหม แต่ส่วนตัวแล้วประทับใจมาก กับอีกส่วนหนึ่งที่ชอบคือตัวแอนิเมชันเดอะมูฟวี่นี้ได้มีการปรับให้บรรยากาศเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น จากภาพจำของเราที่น้องอยู่ในช่วงปี 90 ก็กลายเป็นช่วงปีปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นแทน
ในเรื่องของานภาพแอนิเมชันไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงเลยในมือของโซนี่ถือว่าเอาอยู่ แม้จะเป็นสไตล์แบบธรรมดาแต่ก็ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ไม่ได้แย่เลย เพลงประกอบก็โอเค มีม ๆ ทั้งนั้นเลย มุกในเรื่องก็โอเคเสียงฮาได้เรื่อย ๆ (แอบสงสารตาจอห์นเหมือนกันนะ เป็นห่วงก็เป็นห่วง ติดต่อหน่วยงานช่วยเหลือไม่ได้สักที ฮ่า ๆ ) เนื้อหาเหมือนมีการล้อหนังดังอยู่หน่อย ๆ เสียด้วย ดูไปก็แบบ เอ๊ะ ๆ ใช่ไหมน๊าา
โดยรวมส่วนตัวแล้วชอบมาก ๆ แม้จะไม่ได้เท่าระดับตำนานอย่างภาคแรก แต่ก็ถือว่าอยู่ในจุดที่เรา พอรับได้และเอนจอยไปกับมันได้ทั้งเรื่อง มีครบเครื่องทุกอารมณ์ ถึงแม้จะน่าเสียดายไปหน่อยที่จังหวะที่เราไปดูไม่ตรงกับรอบซาวด์แทร็ก แต่จะบอกว่างานพากย์ไทยนั้นใช้ได้เลยนะ ลื่นไหลไม่มีสะดุดเลย แต่คิดว่าจะต้องหาเวลาไปตำแบบซาวด์แทร็กเพิ่มอีกรอบแน่นอน แคสติ้งมาแต่ละคนไม่อยากพลาดเลย
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ต่อเนื่องกันอีกเรื่องกับภาพยนตร์แอคชั่นอิงประวัติศาสตร์อย่าง The Ministry Of Ungentlemanly Warfare แสบจารชนคนพลิกโลก เรื่องราวของหน่วยรบพิเศษ ที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร และไม่ทำตามคำสั่งโดยตรงแน่ ๆ เพื่อผลลัพท์ที่มั่นใจได้ว่าสำเร็จลุล่วงแน่นอน กับภารกิจเสี่ยงตายที่ต้องจมเรืออูของนาซีเพื่อตัดกำลังรบหลักให้ได้
ในด้านของเนื้อหา เค้าโครงแน่นอนว่าอิงมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าเราอาจจะคาดเดาผลลัพธ์ของภารกิจในท้ายที่สุดได้อยู่แล้ว และในเรื่องของการดำเนินเรื่องนั้น ในช่วงแรกก็ถือว่าทำได้ดี ไม่น่าเบื่อ แต่ส่วนตัวรู้สึกเริ่มเอื่อย ๆ หลังจากเข้าช่วงภารกิจหลัก ไม่มีอะไรให้ลุ้นเท่าไร เหมือนขาดช่วงพีคที่สุดของกราฟไป ทำให้รู้สึกว่าดู ๆ ไปแล้วก็โอเคดี แต่ไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมหรือเอนจอยไปด้วยเท่าไร เหมือนมาดูสารคดีแบบราบเรียบมากกว่า ไม่ต้องคิดเยอะ ขายฉากแอคชั่นของพ่อหนุ่มกล้ามโต อลันต์ ริตช์สัน เสียมากกว่า ส่วนเฮนรี่ คาวิลล์ ก็ตามมาตรฐานแกเลย โชว์เท่ บทส่งเต็มที่ แต่ก็อย่างที่บอกเลยคือหนังเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง ทำให้ตอนที่เราดูจบแล้วยังไม่รู้สึกเอนจอยอย่างเต็มที่เท่าไร แต่ก็ว่าไม่ได้เรื่องฉากแอคชั่นที่ใส่เข้ามาไม่ยั้งจริง ๆ ในส่วนนี้ก็ช่วยดึงให้เราเองไม่รู้สึกเบื่อไปก่อนได้อยู่
ว่ากันตรง ๆ ส่วนตัวตั้งแต่เห็นตัวอย่างภาพยนตร์ก็รู้สึกคาดหวังไม่น้อยว่าในเนื้อหาภาพยนตร์ที่ได้เค้าโครงอิงมาจากเรื่องจริงถึงสองชั่วโมง น่าจะมีอะไรให้รู้สึกลุ้นกว่านี้ ใจนึงพยายามคิดว่าอาจจะเป็นเพราะการปฏิบัติภารกิจนี้อาจจะจบไปได้ด้วยดีหรือไม่ จึงไม่ค่อยมีอะไรมากเท่าไร แต่ก็ไม่คิดว่าจะออกมาแล้วความรู้สึกเป็นเส้นตรงไปหมดขนาดนี้จริง ๆ ก็แอบรู้สึกเสียดายและก็ผิดหวังไปนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ชอบกลุ่มตัวเอกนะ รู้สึกปูคาแร็คเตอร์มาให้เทพดี เทพจนนาซีที่ว่าเก่ง น่ากลัวและเป็นตัวร้ายหลักของเรื่องดูไม่น่ากลัวไปเลย ก็ถือว่าไปดูฉากแอคชันมันส์ ๆ เอานี่ละ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
เฉลยเลยว่า อนงค์ นั้นไม่ใช่หนังผี แต่เป็นหนังรักโรแมนติก ที่ใช้เรื่องผีๆมาเป็นส่วนประกอบ
เรื่องย่อๆก็คือ พระเอกไปได้บ้านมาหลังนึง แล้วบ้านนี้มีผี แล้วพระเอกเป็นหนี้พอดีเลยชวนผีมาทำบ้านผีสิง ตามในตัวอย่าง แล้วก็หลงรักผี
ซึ่งไอตัวบ้านนี้เป็นมรดกจากคุณปู่ ก็ว่าปมตรงจุดนี้ยังงงๆนิดหน่อย คือเป็นบ้านปู่ แต่ผีในบ้านเป็นเจ้าของบ้านเหมือนกัน สรุปเป็นญาติกันหรือเปล่า หรือยังไง ตรงนี้หนังเหมือนไม่ได้เล่าปม แต่มารักกันได้ ก็คงไม่ใช่ญาติแหละมั้ง ฮ่าฮ่า
งานชิ้นนี้เป็นผลงานจากผู้กำกับเรื่องสายลับจับบ้านเล็ก ซึ่งเป็นหนังที่ผมชอบมาก ขอบอกก่อนตรงนี้เลยว่า เรื่อง อนงค์ นั้น รู้สึกยังไม่มาสเตอร์พีซเท่าสายลับจับบ้านเล็ก ความลงตัว ความเป็นซินีมาติกต่างๆ การเล่าปมตัวละคร การปูเนื้อเรื่อง ความสนุก ยังรู้สึกว่าสู้สายลับไม่ได้ โดยเฉพาะการขมวดปมตัวละครนั้นอนงค์ยังทำได้ไม่ดี มันเลยยังรู้สึกว่าตัวละครไม่ได้มีชีวิตจริงๆแบบเรื่องสายลับ และคิดว่าจุดนี้เป็นจุดสำคัญสำหรับเรื่อง อนงค์ นะ เพราะ90% ของเรื่องคือคนดูต้องอยู่กับตัวละครหลักเท่านั้น พอปูไม่ดี เลยรู้สึกอินกับตัวละครยาก เหมือนต่อยังไม่ติด หนังเหมือนจะใช้ความเป็นดารา หล่อสวย อินฟูเอนเซอร์มาเป็นจุดแข็งเพื่อดูดคนดู ผิดกับสายลับที่ใช้ความ เรื่องราว ปมของตัวละครมาทำให้เราอิน รู้สึกว่าเสียดายในจุดนี้
แต่ข้อดีของเรื่องนี้คือ มุกตลกที่ลื่นไหล เรื่องราวความรักความตลกที่ดูสดใหม่และสดใส เรียกได้ว่า ดูได้ทั้งครอบครัว และจุดแข็งคือพลังความเป็นดาราหล่อสวย น่ารัก ไม่ใช่แค่เรื่องหน้าตา ตัวเอกหล่อสวย แต่เป็นเรื่องของบทและการถ่ายทอดออกมาให้ตัวละครนั้นน่ารักทุกๆตัว ตรงนี้ทำได้ดีมาก ถ้าเข้าไปเสพความ น่ารักละมุน ฮา แนะนำเรื่องนี้เลย
เรื่องงานภาพนั้นถือว่าทำออกมาได้ไม่เลว ลื่นไหล เพลงประกอบก็ใช้ได้โอเครเลย ส่วนนี้ไม่ติดขัด
สุดท้ายเรื่องนี้รู้สึกว่า มันไม่ได้มีปมสำคัญ มีจุดตกต่ำ จุดพีค จุดไคล์แม๊กซ์ที่จะกระชากอารมณ์ อะไรขนาดนั้น แต่เป็นหนังที่ดูแล้วเน้นเพลิดเพลิน คลายเครียด และมุกตลกที่ ไม่ได้ใส่ๆมางั้นๆ แต่ลื่นไหลน่ารัก คิดว่าเรื่องนี้ 100 ล้านแน่นอน
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ต้องบอกเลยว่านี่คือสิ่งที่รอคอยมาแสนนาน กับภาพยนตร์ที่ทำให้เรารู้สึกเอนจอยตั้งแต่ต้นยันจบ กับภาพยนตร์ The Fall guy สตันท์แมนคนจริง ในเรื่องราวชีวิตของสตันท์แมนสุดเท่อย่าง โคลท์ ซิลเวอร์ (รับบทโดย ไรอัน กอสลิ่ง) และตากล้องสาว โจดี้ (รับบทโดย เอมิลี่ บลันต์) ภายหลังจากที่ได้ห่างหายกันไปเป็นปีก็ได้โคจรกลับมาพบกันอีกครั้ง ในฐานะ สตันท์แมนและผู้กำกับสาวที่กำลังจะแจ้งเกิด ทว่าดันเกิดปัญหาการหายตัวไปของนักแสดงหลัก จนชีวิตของโคลท์ต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องราวสุดอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภาพยนตร์ The Fall Guy สตันท์แมนคนจริง เป็นภาพยนตร์สามารถตีแผ่ชีวิตอาชีพของสตันท์แมนที่ลงทุนลงแรงรับแรงกระแทกจากทุกสิ่งทุกอย่างในโปรดัคชัน ทั้งการแสดง เอฟเฟค สลิงต่าง ๆ เพื่อผลงานที่สมบูรณ์แบบกว่าจะได้ภาพยนตร์สักหนึ่งเรื่อง เป็นอะไรที่ดูทรหดและเสี่ยงอันตรายมาก ๆ ซึ่งตัวบทเองก็ทำให้เราได้เห็นและรับรู้ถึงความพิเศษของอาชีพนี้จริง ๆ ได้ความรู้อะไรหลายอย่างเลยสำหรับเรา แต่มาว่ากันเรื่องของตัวบท การดำเนินเรื่องของ The Fall Guy มีการดำเนินเรื่องที่ดี ไม่ช้ายืดเยื้อ ไม่เร็วจนตามไม่ทัน ส่วนตัวรู้สึกเพลินกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก เพลินจนแทบลืมเวลาเลย และรู้สึกสนุก เอนจอยกับทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบได้จริง ๆ
ในส่วนของการแสดงนั้น บอกได้เลยว่ามีแต่ตัวท็อปทั้งนั้น ทั้ง “ไรอั้น กอสลิ่ง” “เอมินลี่ บลันต์” (ขอบอกเลยว่า สองคนนี้เคมีเข้ากันมาก ๆ) “วินสตัน ดุ๊ก” “ฮันนาห์ แวดดิงแแฮม” “แอรอน เทย์เลอร์-จอห์สัน” และบอกเลยว่ามีตัวละครลับรอเซอไพรส์ให้เราได้ว้าวกันด้วย บอกเลยว่าว้าวจริง เอาเรื่องมากนะคนนี้อะ การแสดงของแต่ละคนก็คือทำถึง ทำสุด ไม่มีกั้กใด ๆ ไม่มีใครต้องแบกใครเลย แต่ละคนมีซีนเด็ดกันทั้งนั้น ในเรื่องนี้บอกเลยว่าบทพระเอก โคลท์ของเรานั้น แพรวพราวและแอคมาก คือนางหล่อและแอคทุกท่วงท่าจริง ๆ นางเอกสาวเราก็ไม่แพ้กัน เต็มที่จริงๆ รั่วก็รั่วไปสุดเลย
โดยรวม ๆ แล้วนั้น ภาพยนตร์ The Fall Guy เป็นภาพยนตร์ที่ใส่ความแอคชัน บู๊ระห่ำจัดเต็มระเบิดภูเขา เผากระท่อม แต่อบอวลไปด้วยความโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่พอทำออกมาได้กลมกล่อมมาก ดูเพลินจนลืมเวลา มีอีสเตอร์เอ้กให้เราได้แอบอมยิ้มกันเบา ๆ แถมยังยิงมุกมาเรื่อย ๆ ให้ได้ฮากันเพลิน ๆ ซ้ำยังสามารถถ่ายทอดการทำงานโปรดัคชั่นเบื้องหลังการทำงานภาพยนตร์ให้ได้เห็นกันอีกด้วย เป็นหนังที่เชิดชูอาชีพเบื้องหลังอีกอาชีพหนึ่งที่หลาย ๆ ครั้งก็ถูกมองข้ามไปอย่างสิ้นเชิงในเบื้องหน้าของวงการ อย่างงานสตันท์แมน จริงอย่างที่หนังว่า น่าจะมีรา่งวัลในวงการให้สตันท์แมนบ้างคงจะดี
สรุปผลวิจารณ์หนัง
เรียกได้ว่า ไม่ผิดหวัง กับหนังเรื่องนี้ เพราะไม่ได้คาดหวังแต่แรกอยู่แล้ว
ขอยืมคำพูดจากเชฟวินแมนท์ "ตั้งแต่เกิดมา อันนี้เหี้ยมาก"
การทำหนัง เหมือนเอาตีนเขี่ยๆมาให้เราดูยังไงไม่รู้เลยครับ บทหนังมันเหมือนจับโน่นเอานี่มายำมั่วๆเละไปหมด ซึ่งจริงๆมันก็มีเส้นเรื่องแหละ ถ้าทำดีๆมันก็ออกมาดีกว่านี้ได้ แต่อันนี้คือ มั่วมาก จะไปทางหนังครอบครัวดูตลกๆ ก็ไม่ใช่เพราะมียิงกัน มีฉากเซ็ก จะขายโป้ด้วย พูดคำหยาบ จะไปทางดราม่าเลยก็ไม่ได้เพราะใส่มุกปัญญาอ่อนๆมาดูถูกคนดูตลอด จะไปตลกก็ไม่ได้เลย เพราะนั่นแหละ มุกอะไรใส่มาอะ? คืออย่างงี้นะ รู้สึกเหมือนทำมาแล้วจะขายว่า เออ เอาเปิ้ล ทุมราช เอาก้องห้วยไร่มา แล้วยังมีนุ๊กปายอีก เนี่ยมาดูกันเร็ว.....มันแค่นั้นเลยครับ ไม่ได้ให้อะไรเลยกับคนดูนอกจากรู้สึกเสียดายเวลา(อาจจะรู้สึกแบบนี้คนเดียวรึเปล่าไม่รู้นะ) แล้วก็รู้สึกว่า เออ คนรวยนี่มันก็ดีเนอะ เอาเงินมาละลายกับอะไรแบบนี้ได้
ที่รู้สึกโกรธจริงๆคือ เออ มึงทำอย่างเงี่ยมาให้กูดูเนี่ยนะ? ดูไปขนลุกไปทั้งเรื่องกับบทพูดบ้างกับการแสดงบ้าง เหมือนแบบเงินมันเหลือก็เลยทำหนังไปงั้นๆอะ จริงๆมันไม่น่าจะเรียกว่าหนังได้ด้วยซ้ำแบบนี้
การแสดงเนี่ย ตัวน้องผู้หญิงที่เหมือนเขาคัดคนหน้าตาสวยๆมาเล่น อันนี้เล่นดีนะ ส่วนตัวหลักนั้น เล่นแข็งมาก เหมือนไม่อยากมาเล่น มีเปิ้ลปทุมราช พี่เต๋า อา วอ พวกตัวรองรุ่นใหญ่ๆ ที่รู้สึกว่าเล่นได้เป็นนักแสดง เข้าใจนะว่าเอาศิลปินมาขายเขาอาจจะไม่ใช่นักแสดง แต่การกำกับนั้นมันช่วยได้ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ทำไปงั้นๆ สักหน่อย อันนี้งานเด็กมหาลัยยังดีกว่าเลย
เรื่องเพลงประกอบ อันนี้ตีนเขี่ยของจริง ลอกเพลงโน่นเพลงนี้มาใส่ ลอกเพลงอินเซ็ปชั่นมาใส่แบบทุเรศเลย อันนี้แย่มาก อาจจะเป็นเพราะงบน้อยหรืออะไรไม่รู้นะ แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างให้มาดูถูกคนดูเนอะ ถ้างบน้อยกดเสียงซินลากยาวตัวเดียวมาให้ฟังยังดีซะกว่าไปลอกงานเขามาทั้งดุ้น อันนี้เหี้ยเกิ๊น
2 เรื่องที่จะชมคือ 1.พวกฉาก พร็อพ งานอาร์ต ดูดี สวยใช้ได้ ไม่ขี้เหล่เลย ถึงแม้ว่าจะจัดแสงและถ่ายออกมาได้ดูราคาถูก แต่ก็เห็นถึงความตั้งใจทำในส่วนนี้
2.การดำเนินเรื่องถึงแม้ว่าจะเละ แต่มีจุดเริ่มเรื่องและสามารถไปถึงจุดจบเรื่องได้
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ว่าที่หนังนองเลือดแห่งปีก็ว่าได้สำหรับภาพยนตร์ อบิเกล เด็กสาวนักเต้นบัลเล่ต์ตัวน้อยที่ถูกแก๊งโจรมือฉมังลักพาตัวมายังสถานที่ลึกลับ โดยที่กลุ่มโจรเหล่านี้ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังจะเจอกับเรื่องราวสุดสยองที่สาวน้อยได้วางแผนให้หลงกลเข้าให้แล้ว
ก่อนจะตัดสินใจไปดูภาพยนต์เรื่องนี้ส่วนตัวไม่ค่อยได้คาดหวังเท่าไร เพราะรู้สึกช่วงหลัง ๆ มานี้ภาพยนตร์แนวนี้ทำออกมาแผ่วลงไปนิดนึง แต่พอได้ดูจริง ๆ แล้วบอกได้เลยว่า รู้สึกจอยมาก ๆ พล็อตดูเดิม ๆ พอเดาทางได้แต่ก็มีความหักแล้วหักอีก เหลี่ยมใส่กันไม่หยุด ถึงแม้ว่าช่วงแรกจะแอบเนือยไปนิดนึง แต่พอเข้าช่วงไล่ล่าแล้วบอกเลยว่ามันส์ดี มีจังหวะจั้มสแกร์บ้างพอให้ใจเต้น ส่วนตัวชอบตอนน้องไล่ เป็นนักบัลเลต์ตัวน้อยก็เต้นบัลเลต์ไล่เหยื่อไปเลยสิคะ
เปิดเรื่องมาด้วยเพลง Swan Lake ที่ค่อย ๆ บรรเลงไปนั้นทำให้บรรยากาศดูน่าขนลุก จังหวะของเพลงยิ่งทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ลุ้นตามไปด้วย มีการสร้างกิมมิคเล็ก ๆ ให้แอบคิดกันเล็กน้อยว่าจะเหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ไหม แม้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้ต่างจากขนบเดิมของแวมไพร์ไปสักเท่าไรก็ตาม ส่วนตัวชอบมาก โดนแดดแล้วระเบิดกันตูมตามเลือดท่วมไส้กระจายเต็มจอไปเลย ฮ่า ๆ (ดูจากชื่อผู้กำกับแล้วก็ไม่แปลกใจ มาแบบเดียวกันเป๊ะ) ในส่วนของงานภาพ ก็ถือว่าพอโอเคเลย บรรยากาศในเรื่องสยองใช้ได้ แม้หลาย ๆ ฉากจะมืด แต่ก็ไม่มืดมากจนรายละเอียดหายไปหมด ฉากสยองก็ทำมาได้อี๋สะใจดี
ส่วนตัวคิดว่าภาพยนตร์เรื่อง อบิเกล แม่สาวน้อยแวมไพร์นักเต้นเรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้เกินกว่าที่เราคาดหวังมาก ตอนที่ได้ดูในโรงนี้เอนจอยสุด ๆ เนื้อเรื่องดำเนินไปไม่ช้ามาก ถือว่าเข้าเรื่องไว ช่วงปั่นประสาทช่วงแรก ๆ อาจจะเนือยไปหน่อย แต่พอเฉลยแล้วก็ไล่ล่ากันเมามันส์จริง ๆ ทำถึง ตัวละครหลักอย่างน้องอบิเกล (รับบทโดย อลิชา เวียร์) ก็ถือว่าเอายู่เลยแหละ แต่ส่วนตัวว่าด้วยความที่ผู้กำกับหนึ่งในสองเป็นหนึ่งในผู้กำกับ Ready or not เราเลยรู้สึกเหมือนเห็นภาพทับซ้อนกันในเรื่องนี้นิดนึง (อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วน ๆ เลย)
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Civil war หนังสงครามฟอร์มยักจากค่าย A24 วิบัติสมรภูมิเมืองเดือด ที่เนื้อหานั้น เบาบางดั่งปุยนุ่น
รีวิวนี้สปอยนะครับ
ก็คือประโคมกันอย่างยิ่งใหญ่ทีเดียวสำหรับเรื่องนี้ว่า มันฟอร์มยักบ้าง ต้องไปดูใน IMAX บ้าง ในเทลเลอร์นั้นเรียกได้ว่า ฟุตเทจ 90% คือฉากสงครามสุดอลังการควรค่าแก่การเข้าไปรับชมในระบบไอแม็กเท่านั่น แต่พอเข้าไปดูจริงๆ อ่าวเห้ยยย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่าาาา555
ผ่านไปองค์1ก็แล้ว องค์2ก็แล้ว หนังมันก็ยังไม่ปลุกเราสักที ท้ายที่สุดแล้ว มันคือหนังอินดี้ดราม่าธรรมดาๆที่เนื้อหาก็ไม่ได้เข้มข้นอะไรมาก ทั้งในมุมดราม่า ทั้งในมุมการเมือง โดยเฉพาะมุมการเมืองนั้น ไม่รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไปรึเปล่าหรือหนังมันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่รู้สึกว่า มุมการเมืองอ่อนมากกกกกก คือไม่รู้สึกถึงว่าทำไมคนต้องสู้กัน ทำไมเมกาต้องแยกดินแดน ผลเหตุของฝ่ายไหนเป็นแบบไหน มันหนักแน่นยังไง รู้สึกว่ากัปตันเมกา ซิวิลวอล์ ยังเป็นการเอาเหตุผลของตัวเองมาสู้เพื่อให้ตัวเองถูกมากกว่าเรื่องนี้อีก ส่วนเรื่องนี้ ไม่รู้ดิ มันเหมือนไม่มี เหี้....อะไรเลย เอาจริงๆยังไม่รู้เลยหนังจะเล่นประเด็นอะไร ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เข้าไปดูแบบนักวิเคราะห์อะไรนะ คือทำใจโล่งๆแล้วดู ปล่อยใจไปกับหนัง แล้วมันยังไม่รู้สึก ก็คือแสดงว่าเขาทำมาแล้วตัวหนังมันไม่ทำงานนั้นแหละ รู้สึกอย่างเดียวคือ ดีนะที่ไม่ได้ไปดูในโรงIMAX555 คือไปดูโรงปกติแล้วมันก็มีโฆษณาของเรื่องนี้นี่แหละ มาบอกว่า คุณต้องไปดูในIMAX เท่านั้น พอดูจบก็นึกย้อนมาโฆษณาตอนแรก คิดในใจ ถุร้ยยย
ในพาร์ทดราม่า บท เนื้อเรื่องนั้น ก็รู้สึกว่า เฉยๆ ไม่มีอะไรนอกจากนางเอกสวย ทั้งหมดทั้งมวลคือ เฉยๆมาก แต่ที่รู้สึกอิหยั๋งวะ คือตอนที่สุดท้ายที่นางเอกคนโต ตาย ที่ไปบังกระสุนให้นางเอกเด็ก คือ โห ละครมากกก555 กระโดดผลักตัวเองก็ต้องลงไปนอนด้วยปะ ตามหลัก อันนี้เหมือนจะทำขึ้นมาเพื่อให้นางเอกเด็กถ่ายรูปนางเอกโตตายเป็นกิมมิก ซึ่งมันแบบ เฮ้อออ
สรุปแล้วก็คือ รอดูเน็ตฟลิกเถอะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
เรียกได้ว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่หลายๆคนรอคอยมากที่สุดในปีนี้กับ ก็อดซิลล่า ปะทะ คอง อาณาจักรใหม่
ส่วนตัวนั้นมีที่ทั้งชอบและไม่ชอบนะในเรื่องนี้.....
แนะนำก่อนว่า ในการดูเรื่องนี้ อย่าไปสนใจหลักการความถูกต้อง ฟิสิก เคมี ชีวะ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษคณิตศาสตร์ สังคมศาสตร์ ดาราศาสตร์ สปช. กพอ. อะไรต่างๆ โยชน์ทิ้งไปเลย แล้วผมก็โยนทิ้งไปตั้งแต่ก่อนดูแล้ว ผลก็คือ มันสนุกเลยละ
ในภาคนี้ก็ยังคงเนื้อหาแบบเดิมๆ คือก๊อดซิลล่ากับคองปกป้องโลก แม้ว่าจะมีตัวละครเพิ่มคือมา มีเนื้อเรื่องเพิ่มเข้ามา ซึ่งดูเหมือนจะมีมิติมากนะ แต่การเดินเรื่อง การสื่อสารของหนังมันไม่ได้ให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องตรงนี้ สุดท้ายมันเลยกลายเป็นแค่นั้น แค่หนังฮีโร่ปกป้องโลก แค่นั้น
นี้คือสิ่งหลักๆที่ผมไม่ชอบ มันทำอะไรได้มากกว่านั้นในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ทำออกมา.....
หนังมันแบนไป สำหรับการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของสองตัวละครที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคู่นึงในโลกภาพยนตร์ อย่างเช่นนะ สมมุติคนกลุ่มนึงจะทำลายโลก ซึ่งเป็นตัวร้ายนะ แต่คนกลุ่มนั้นมีเหตุผลที่จะทำแบบนั้นด้วยความเชื่อ ความปวดร้าว หรือความจำเป็นอะไรบางอย่าง แต่คองต้องปกป้องโลก แล้วคองทำอะไรบางอย่าง จนสุดท้ายเอาชนะใจคนในกลุ่มนั้นได้ แล้วเกิดการแปรพรรคจากคนบางส่วนในกลุ่มนั้น เพราะได้แรงบันดาลใจจากคอง แล้วกลับมาเป็นอีกข้าง เนี่ย แบบนี้มันก็เกิดจะการเมืองในหนัง แล้วให้คนรู้สึกกับความคิดของแต่ละตัวละคร แต่เรื่องนี้คือไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ซึ่งมันน่าจะมีได้นะ แต่หนังเน้นให้เอามันอย่างเดียว ซึ่งส่วนนี้ก็ทำได้ดีแหละ ยิ่งถ้าเป็นแฟน ก็อดซิลล่ากับคิงคองมานาน หรือรุ่นเก่าๆ เผลอมีอินน้ำตาคลอ ก็ยอมรับว่าถ้าเป็นหนังแอ็คชั่นก็ถือว่า มันส์ ซัดกันนัวเหมือนกันนะ แต่ไม่รู้อะ รู้สึกว่ามันยังไม่สุดอะ5555
แต่รวมๆถือว่าชอบแล้วละ ดูในไอแม๊กมารู้สึกบิ้มๆสะใจ งาน3D ดูช่วงๆแรกๆก็ว้าว แต่พอดูไปจนชินตาแล้ว ก็ไม่รู้สึกว่ามันออกมานอกจอละ55 ไม่รู้เป็นคนเดียวป่าวนะ ส่วนตัวยังให้ Godzilla 2014 เป็นเรื่องที่ชอบที่สุดในจักรวาลนี้ ด้วยบรรยากาศ โทนหนัง เรื่อง ความเท่ของก็อด และมุมกล้องที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นมุมมนุษย์มองสัตว์ประหลาด ซึ่งภาคหลังๆไม่ใช่ความรู้สึกนี้แล้ว
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Exhuma ขุดมันขึ้นมาจากหลุม ภาพยนตร์ระทึกขวัญจากแดนเกาหลี ที่มีความน่าสนใจมาก ๆ ทั้งพล๊อตและ 4 นักสแดงนำมากความสามารถอย่าง อีโดฮยอน คิมโกอึน ชเวมินซิก และ ยูแฮอิน ในเรื่องราวของการทำพิธีย้ายหลุมศพลึกลับในที่ดินผืนอัปมงคลตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ที่จะพาไปพบเรื่องราวประหลาดลึกลับ และอันตรายภายหลังจากที่บางสิ่งบางอย่างได้เล็ดลอดออกไปจากโลงศพนั้น
ที่บอกว่าน่าสนใจ เพราะเรื่องราวเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่อง Exhuma นี้ได้อิงประวัติศาสตร์ในยุคสงครามโยงเข้ากับพล๊อตหนังผีเกาหลีและมีปีศาจแบบญี่ปุ่น (หรือขอเรียกง่าย ๆ ว่าโยไก) ได้อย่างน่าสนใจ ที่ถึงแม้ในหนังตัวผีเองจะไม่น่ากลัวเลยสักนิดก็ตาม แต่ด้วยบรรยากาศที่ชวนหลอน ชวนอึดอัด ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก เป็นหนังที่หลอนได้ด้วยบรรยากาศ ความอึมครึมกดดัน จังหวะเสียงประกอบโดยไม่ต้องพึ่งผีหรือจังหวะจั้มสแกร์เลย (ซึ่งมีแค่ครั้งเดียวเองมั้งในเรื่อง) หรือถ้ามีใครที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์เกาหลี-ญี่ปุ่น มาบ้างก็อาจจะอินขึ้นมาหน่อยก็ได้
ว่ากันเรื่องของโปรดัคชั่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนตัวแล้วชอบมาก ๆ ทั้งในเรื่องขององค์ประกอบภาพ แสงสี บรรยากาศ กราฟฟิกและเสียงประกอบที่เข้ากัน พอทุกอย่างมันลงตัวครบเครื่องในความยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่านี้ก็เลยไม่ทำให้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย เสียงกลองระรัวเป็นจังหวะตอนทำพิธีก็ชวนให้ตื่นเต้นไปด้วย ส่วนตัวชอบจังหวะเล่นเสียงของเรื่องนี้มาก จังหวะไหนควรเงียบ จังหวะไหนควรบิ้วอารมณ์ถือว่าทำถึงมาก ส่วนตัวโยไกในเรื่องก็ทำออกมาได้ดูลึกลับและน่าเกรงขาม เสียอย่างเดียวว่าเรื่องนี้จริง ๆ ก็มีบางส่วนที่รู้สึกขาดหายไป ทำให้ดูจบเราเองก็ยังมีแอบสงสัยบางจุดเล็ก ๆ
ขอบอกเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้กับ 4 นักแสดงชื่อดังแถวหน้าแห่งวงการภาพยนตร์เกาหลี ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงมีกระแสตอบรับที่ดีทั้งแต่เข้าฉาย อีกทั้งการดำเนินเรื่องที่ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป เข้าเรื่องไวไม่ยืดเยื้อ มีพล๊อตที่น่าสนใจและตัวโปรดัคชั่นของเรื่องก็ถือว่าดีมาก ๆ ถึงแม้จะไม่ได้หลอนมากเท่าไร แต่ด้วยบรรยากาศที่ดูอึมครึมจังหวะการเล่นซาวด์ทำให้อึดอัด ระทึกขวัญไปด้วยไม่น้อยเลย ถือเป็นหนังระทึกขวัญเรื่องแรกของปีเลยที่เราดูจบแล้วรู้สึกว่ามันสนุกและชอบมากขนาดนี้
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ชื่อเรื่องแผนปล้นยัยส้มซ่า ดูไปครึ่งเรื่องอาจจะรู้สึกไม่ค่อยแผนอะไรมาก แต่พอดูจบก็ โอเครพอได้ๆ
เริ่มมามันจะเป็นพระเอกเนี่ยแหละโดนตำรวจจับแล้วก็ไปอยู่กับนักโทษอีกคนนึง ทำไปทำมาเหมือนนักโทษบอกว่าเคยแหกคุกบ่อย พระเอกก็จะหว่านล้อมให้เพื่อนช่วยกันแหกคุก ก็เลยเล่าเรื่องว่าไปปล้นมายังไงไปทำมายังไงถึงได้มาติดคุก ก็เล่าไปถึงเรื่องแฟน มาร์มาเล็ด แล้วก็เรื่องแม่ป่วยอยู่ที่บ้าน ตามที่เรื่องย่อเล่าไป ตัวหนังจะเป็นฟิลๆหักมุม หักเหลี่ยมกันนี่แหละ ดูเอาสนุกก็ถือว่าพอได้นะ เบาสมองน่ารักๆได้ มันเป็นหนังแนวทุนไม่สูงมาก เน้นไปที่บทกับการแสดง เรื่องนี้ก็เรียกได้ว่า บทละครคุณธรรมจัด555 (แต่ดีกว่านะ) ก็คือรู้สึกเหมือนละครสั้นแนวตั้งตามเพจไลฟ์โค้ชฝรั่ง แต่เอามาทำเป็นแบบยาว ยังไงอย่างงั้นเลย ยิ่งตอนเฉลยนะ เพลงละครคุณธรรมดังในหัวเลย555 พอได้พูดถึงเพลง ก็ต้องบอกว่า รู้สึกชอบมิวสิคสกอร์เรื่องนี้นะ มันเพราะมันดูมีอะไรของมัน มีเอกลักษณ์ดี ถือว่าทำออกมาได้ดีใช้ได้ทีเดียว คือมันไม่ใช่เพลงง่อยๆเปิดๆไปอะ มีความตั้งใจคิดตั้งใจทำ มี Theme มี motif ใช้ได้
ด้านงานภาพก็ถือว่าทำออกมาใช้ได้ ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก แต่ถ่ายทำออกมาได้สวยเลย หลายๆช็อตมีความตั้งใจใช้มุมกล้อง สัดส่วนคอมโพสภาพดี ถ่ายนักแสดงออกมาให้รู้สึกโดนเด่นได้ โดยเฉพาะนางเอก
และเรื่องนี้ต้องยกให้พลังนักแสดง ทั้งพระเอก เพื่อนพระเอกที่เป็นคนผิวดำ เอาจริงๆไม่ได้มีบทอะไรกันมากเล่นอาจจะไม่ได้โดดเด่นสำหรับ 2 คนนี้ เพราะที่โดดเด่นจริงๆ คือนางเอก มาร์มาเลด ไม่รู้ว่านักแสดงคือใครมาจากไหนเหมือนกัน แต่รู้สึกว่า เล่นโคตรดี มีคาแลคเตอร์ที่ชัดเจนโดดเด่นมาก ต้องยกเครดิตให้เต็มๆเลย บวกกับความสวยสะกด เรียกได้ว่า นางเอาคนดูอยู่หมัดแน่นอน
ดูไปเรื่อยๆอาจจะงงๆมีคำถามว่า มันได้หรอ แบบนี้ก็ได้หรอ? แต่ตัวหนังจะเฉลยปมต่างๆให้ในตอนจบ ถึงแม้ว่าเนื้อหามันจะไม่ได้หนักแน่น การสื่อสารออกมาอาจจะไม่ได้หนักหน่วง แต่ดูเพลินๆกับ ดูการแสดงของนางเอก ก็ถือว่าดูสนุกได้อยู่
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Immaculate บริสุทธิ์ผุดปีศาจ ภาพยนตร์สยองขวัญสั่นประสาทในเนื้อหาที่เกี่ยวโยงกับศาสนาและมีแม่ชีเป็นตัวดำเนินเรื่อง (อีกแล้ว) โดยได้ ซิดนีย์ สวีนนีย์เป็นทั้งผู้สร้างและนักแสดงนำ ในเรื่องราวของแม่ชีเซซิเลียที่ได้รับคำเชิญให้มาปฏิญาณตนที่โบสถ์แห่งหนึ่งในประเทศอิตาลีซึ่งเป็นที่พำนักสุดท้ายสำหรับแม่ชีชราและทุพพลภาพ แม้จะรู้ภาษาถิ่นเพียงน้อยนิด แต่ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าเธอได้เดินหน้าเข้ามาเพื่อปฏิญาณตนและบวชเป็นแม่ชีประจำโบถส์แห่งนี้ จนกระทั่งเธอได้พบกับเรื่องราวลึกลับบางภายในโบสถ์ และเธอได้เกิดตั้งท้องอย่างปริศนาขึ้นมา ซึ่งเหล่านักบวชในอารามต่างก็คิดว่ามันเป็นปฏิหาริย์ที่จะปลดปล่อยความทุกข์ทั้งปวง
ต้องบอกเลยว่า การแสดงของนักแสดงสาวอย่างซิดนีย์ สวีนนีย์ในบทบาทของแม่ชีเซซิเลียนั้น ถือว่าทำถึงมาก แบกเอาไว้ทั้งเรื่องอย่างแท้จริง เล่นเอาลุ้นตามไปด้วยเลย แต่ในส่วนของเนื้อหานั้นน่าเสียดายมากส่วนตัวคิดว่าในช่วงแรก ๆ ของเรื่องนั้นค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย
ตัวหนังแบ่งออกเป็น 3 ช่วง 2 ไตรมาสแรกจะเป็นส่วนของการปูเนื้อหาซึ่งจะค่อย ๆ ดำเนินเรื่องมาแบบเนือย ๆ เรื่อย ๆ แต่พอช่วงท้ายไตรมาสที่ 2 เข้าช่วงไตรมาสที่ 3 ต้องถือว่าเป็นส่วนที่เรารู้สึกมีส่วนร่วมด้วยที่สุดแล้ว ทั้งความหวาดเสียวชวนสยองเกล้า ความทุ่มเท แสดงแบบใส่เต็มที่ ทุ่มสุดตัวของซิดนีย์ สวีนนีย์ ที่ต้องบอกเลยว่าสุดยอดมาก ส่วนตัวคิดว่าเค้าโครงเรื่องมีความน่าสนใจ แต่ก็มีบางจุดที่ยังทำให้รู้สึกว่ายังขาดหายไป แม้จะไม่น่ามีผลโดยตรงกับการดำเนินเรื่อง แต่คิดว่าจะน่าสนใจขึ้น หากเสริมเข้ามาบ้าง อย่างเรื่องราวของแม่ชีสีแดง ที่ก็ยังไม่มีที่มาที่ไปว่าคืออะไรกันแน่ หรือมีบทบาทสำคัญอย่างไรในอารามแห่งนี้
โดยรวมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจ นักแสดงเองก็ทุ่มสุดตัวเต็มที่มาก ๆ แต่ว่าบางจุดก็ยังรู้สึกขาดหายไปบ้างหลังจากดูจบส่วยตัวก็ยังมีบางส่วนให้ขบคิดว่า เอ ตรงนี้มันยังไงกันแน่นะ แต่ถ้าดูในส่วนของความสยอง ในแบบขนลุกขนพองมือไม้แทบเปลี้ยเนี่ย ยกนิ้วแทบไม่ไหว เลือดสาดสะใจสมกับที่ได้เรท R ในพาร์ทสุดท้ายของหนังนี้บอกเลยว่าสุดมาก ชอบที่มีจังหวะมืดสนิท เงียบสนิทในช่วงที่ไล่ล่ากัน รู้สึกลุ้นตาม อึดอัดแทนสุด ๆ แถมตอนท้ายเรื่องซิดนีย์ สวีนนีย์ก็จัดเต็มซีนอารมณ์ ความทรมานแบบสุดตัวจนแทบจะเจ็บแทนเลย นั่นแหละ แม่แบกแทบทั้งเรื่องจริง ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
How to have sex เป็นเรื่องราวของสามสาวที่เป็นเพื่อนซี้กัน แทส สกาย เอ็ม ซึ่งน่าจะเป็นในช่วงสอบไฟนอลเสร็จเตรียมขึ้นมหาลัย จึงเป็นช่วงของวันหยุดยาวซัมเมอร์ ทั้งสามเลยไปฉลองวันหยุดที่พูลวิลล่า โดยมีเป้าหมายเล่นๆคือ เพื่อนๆอยากพาแทสไปโดนเปิดซิง
หนังจะเป็นแนวเปิดชีวิตวัยรุ่น coming of age นิดๆ แต่ไม่มาก โฟกัสอยู่แค่ช่วงเวลา สถานที่ที่เดียว ที่พลูวิลล่า เพื่อนซี้สามคนก็ไปฉลองกินเหล้ากันสนุกสนานเมามันส์ อายุถึงหรือเปล่าก็ไม่ทราบหรือกฏหมายเขาอาจจะอนุญาตก็ไม่แน่ใจ หนังถ่ายทอดเรื่องของ แทส เป็นเมนหลัก ว่าเด็กผู้หญิงคนนึงที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย แต่แอบจิ้นมานาน สุดท้ายเพื่อนพามาเจอของจริง มันจะเป็นแบบไหน
ส่วนตัวว่าบทของ แทส ก็ดูเรียลๆดีนะ ดูอินโนเซ็นจริงๆ ตอนไปอ่อยไปอะไรก็ดูอินโนเซ็นจริงๆ ตอนเห็นว่าเด็กฝรั่งไปปาร์ตี้เมามันส์ขนาดนั้นก็ว่า เออ เขาโตเร็วดีนะ ดูสุดๆ แต่พอกับเรื่องเซ็กตัวละคร แทส ก็รู้สึก สู้เด็กไทยไม่ได้นิ555 ฟิลลิ่งแบบ ได้ออกมาปลดปล่อยตัวเอง ออกมาเจอโลกเจอคนเยอะๆที่สถานการณ์ใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ถ้าเป็นเราจะทำตัวยังไง รู้สึกยังไง หนังน่าจะสื่ออะไรประมาณนี้
ด้านงานโปรดักชั่น เอาจริงๆ มันเหมือนงานหนังโปรเจ็คจบนักศึกษาซะมากกว่า ด้านความเป็น Cinematic มันยังไม่ค่อยถึง งานภาพก็ไม่มีอะไรหวือหว้า เรียบๆความจริงๆหนังไม่ได้มีอะไรมากน่าจะใช้การถ่ายช่วยให้รู้สึกอะไรมากกว่านี้ได้ แต่มันเรียบไปแบบสุดๆ
ฝีมือนักแสดง อันนี้รับยอมว่า นักแสดงแบกจริงๆ ผู้กำกับน่าจะเก่งในเรื่องนี้ด้วยแหละ เล่นออกมาได้มีคาแลคเตอร์ได้ชัดเจนและทำให้คนดูเชื่อได้จริงๆ จากงานโปรดักชั่นระดับนักศึกษากลายเป็นหนังโรงได้เพราะนักแสดงเลยจริงๆ ยกให้
ดนตรีประกอบก็ไม่มีอะไรมาก ถือว่าเบสิค
รวมๆแล้วเป็นหนังที่ไม่ต้องไปดูในโรงก็ได้ รอดูในสตีมเอา เอาไว้ดูฆ่าเวลาได้อยู่ ส่วนตัวดูแล้วไม่รู้สึกอะไรมาก เฉยๆจ้า
สรุปผลวิจารณ์หนัง
หนัง Sci fi ฟอมยักษ์ สุดอลังการ ที่ได้รับเสียงวิจารณ์แง่บวกจากนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วโลก ที่ส่วนตัวรู้สึกว่า เฉยๆอะ แต่ให้คะแนนเยอะนะ อิอิ
เอาที่งานภาพก่อน จากที่ได้ไปดูในระบบ i max เลยได้เห็นแบบเบิ้มๆ งานภาพดีออกมาดีมากติดตรงมันมืดไปหน่อย ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับโรงหนัง โดยรวมงานภาพคืออยู่ในระดับงานศิลปะดีๆนี่เอง แต่พอมันเป็นหนังฟอมยักษ์ความยาวเกือบ3ชม.อะ รู้สึกมันไม่ได้พาเราเข้าไปให้โลกของเขาขนาดนั้นอะไม่รู้ทำไม อาจจะเป็นเพราะเนื้อเรื่องด้วยหรือการนำเสนอด้วย มันยังไม่ได้ฟิลแบบเดอะลอร์ดออฟเดอะริงอะ ยังไม่รู้สึกผูกพันธ์กับสถานที่ต่างๆในหนังได้เท่าเดอะลอร์ด แต่ถามว่ามันดีไหม มันดีมาก บอกได้เลยว่า ต้องไปดูในโรงเท่านั้น และต้องไอแม๊กด้วย
ด้านงานออกแบบเสื้อผ้าหน้าผม เครื่องจักรต่างๆ ให้คะแนนเต็มเลย ดูแล้วนึกถึงสมัยเล่นเกม Dune2000 เขาทำมาแล้วได้ฟิลดีจัดๆ ไม่เคยอ่านนิยายเหมือนกัน แต่หลายอย่างคล้ายในเกมเลย อะไรหลายๆอย่างที่ตอนเด็กไม่เข้าใจในเกม อย่างเนื้อเรื่องหรือสกิลของยูนิทต่างๆ พอได้มาดูเรื่องนี้แบบว่าเก็ทเลย ใครเป็นแฟนเกมมาดูรับรองมีกรี๊ดว้าว ได้อินกันแน่นอน
เนื้อเรื่องก็คงจะตามนิยายอะแหละ แต่ส่วนว่า มันเนิบไปหน่อยซึ่งเข้าใจว่าเป็นสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ หลายๆเรื่องก็ชอบงานเขานะ แต่อันนี้มันเนิบเกินไปแล้วเหมือนมันวนลูบอยู่ที่เดิมๆไม่ไปไหนไม่ได้สำรวจอะไรในจักรวาลดูนขนาดนั้น มันเลยไม่ค่อยอินมัน จะแฟนซีก็ไม่สุด จะการเมืองก็ไม่สุด รู้สึกตัวร้ายที่เป็นหลานฮาโคเนน ปูนมาดีแล้วนะ แต่ไม่เห็นอะไรที่มาเชือดเฉือนฟาดฟันอะไรกับพระเอกเท่าไหร่เลย ทั้งที่หนังมันการเมืองการสงครามการวางแผน มาเฟียอะไรพวกนั้นแล้ว รู้สึกแต่ละคนมันมีเรื่องราวอะไรบางอย่างแต่ไม่เห็นรู้สึกมันมีแรงขับเคลื่อนให้ทำสิ่งนั้นจริงๆ ไม่รู้หนังไปเสียเวลากับอะไรตั้งเป็นชั่วโมงๆ แล้วมันไม่เดินหน้าทั้งด้านเนื้อเรื่องทั้งด้านความรู้สึก ยังขาดมิติมากๆ แต่ถ้าดูพอสนุก ก็ถือว่าง่วงอยู่ดีอะ555
ด้านเพลงประกอบ เสียงประกอบ
กระหึ่มสัส การทำซาวด์ของเรื่องนี้คือ ดีมาก ส่วนเรื่องเพลงแม้ว่าโมทีฟจะไม่ได้เด่นชัดจัดๆ แต่การทำซาวด์ของดนตรีมันชัดเจนพอที่จะทำให้รู้ว่ามาจากเรื่องนี้ได้ ก็สมกับเป็น ฮานซิมเมอร์ ระดับอาจารย์
รวมๆคือถึงจะมีจุดด้อยเป็นการดำเนินเรื่องซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่พอดูแล้วก็รู้สึกว่า โอเครนะ มันต้องไปดูไอแม๊กสักรอบ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
หลังจากผ่านมาแล้วถึง 3 ภาค ในที่สุด ภาค 4 ก็ได้คลอดออกมาให้เราได้ฮาปนหลอนกันอีกครั้งกับผีพี่นาค 4 ที่คราวนี้มาในเรื่องราวปมชีวิตของโทมินจุน หรือคุณโท ที่ต้องการกลับมาบูรณะโบสถ์เก่าที่วัดแห่งหนึ่งและต้องพบกับเรื่องราวที่น่าเศร้าของเพื่อนในวัยเด็กคนหนึ่ง
ส่วนตัวติดตามแฟรนไชส์หนังพี่นาคมาตั้งแต่ภาคแรกเพราะติดใจคุณเอม วิทวัสมาก(รับบทเป็นเจ๊บอลลูน) คุณเอมเป็นเหตุผลแรก ๆ เลยที่ทำให้เราติดตามหนังเรื่องนี้55 แต่ตัวเนื้อเรื่อง พล็อตก็เป็นอีกส่วนสำคัญเหมือนกัน เพราะถ้าไม่สนุกต่อให้มีคุณเอมกี่คนก็คงไม่เสียเวลาไปดู ตั้งแต่ภาคแรกแล้วที่เราสนใจในตัวผีพี่นาคมาก เพราะดูเป็นตัวละครผีที่มีเอกลักษณ์ มีผีพี่นาคที่ต่างกันออกไปในทุก ๆ ภาคและปมต่างกันออกไป เนื้อหาเหมือนจะไม่เชื่อมโยง แต่ในภาคที่4 นี้บอกเลยว่าเหมือนปูมาตั้งแต่ภาค 3 ความฮา ความหลอน สยองขวัญยังทำได้ดี แต่ส่วนตัวว่าบางทีก็เน้นฮามากไปหน่อยจนบางจุดเราก็ไม่ค่อยเก็ทสักเท่าไร
การดำเนินเรื่องถือว่าโอเคมาก ๆ แต่ก็มีจังหวะนึงที่ทำให้เรารู้สึกเอื่อย ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่นานนัก ชอบที่ได้เห้นพัฒนาการของบทหนังไทย โดยเฉพาะมุกตลกที่ค่อนข้างโฟลว์ ฉากฮาถือว่าทำถึง แต่ที่ถึงกว่ามากคือ จังหวะจั้มแสกร์ที่พัฒนาขึ้นมาก ๆ ถือว่าดูดีทีเดียวละ มีจังหวะหลอกที่ดีมาก เล่นเอาสะดุ้งไปหลายรอบเลย แล้วก็บรรยากาสในเรื่องคือน่ากลัวจริง ชวนหลอนมาก แต่พอเข้าตับฮาแล้วก็คือเอาอยู่ มาถูกจังหวะไม่ทำให้ช็อตฟีลความหลอนใด ๆ และในเรื่องมีการเล่าถึงตำนานหลายอย่างและมีการเสริมซีจีเอฟเฟคเข้ามาเยอะ อย่างฉากที่มีพญานาคโผล่ออกมา ส่วนตัวมองว่า ก็ทำได้ถือว่าพอโอเค ไม่ถึงกับลอยมาก แต่บางจุดก็รู้สึกแปลกตาไปนิดนึง แต่ออกมาพอไปกับฉากอื่น ๆ รวมกันแล้วไม่แย่เลย
โดยรวมของ พี่นาค 4 แล้วนั้น ส่วนตัวบอกเลยว่าไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรมาก แม้บางจุดจะรู้สึกว่ายังอ่อนไปหน่อย แต่ตัวหนังยังคงความฮาและความหลอนไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยทำมาและมีการพัฒนาขึ้นมาด้วยดีมากในจุดนี้ และบอกเลยว่ามีการปูเนื้อหาไปต่อในภาคที่ 5 ด้วยตั้งแต่ต้นเรื่องเลย ถ้าเป็นแฟนฟนังแฟรนไชส์พี่นาคบอกเลยว่าไม่ควรพลาดจริง ๆ แต่ถ้ายังไม่เคยดูมาก่อน แนะนำว่าต้องย้อนดูตั้งแต่ภาคแรกก่อนจะเข้าใจมากขึ้น
สรุปผลวิจารณ์หนัง
จากภาพยนตร์สุดฮอต Mean Girl 2004 (พ.ศ. 2547) ได้ถูกนำมารีเมคเป็น Mean Girl 2024 (พ.ศ. 2567) โฉมใหม่ที่ถูกปรับให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันและใส่ความเป็น Musical เข้ามา เพิ่มดรีกรีความแซ่บระดับตัวแม่ ในเรื่องราวการแก้แค้น และการทรยศหักหลัง ของสาว ๆ แก๊งพลาสติก และเคดี้ที่ช้ำรักจนต้องจัดการกับสาวสวย เรจิน่า จอร์จ ควีนตัวแม่ที่ทำให้เธอช้ำใจกับรักครั้งใหม่ครั้งนี้ให้สาสม
ในส่วนของเนื้อหาบอกได้เลยว่าแทบจะไม่ต่างกันกับต้นฉบับเลย ตัวบทอะไรที่สำคัญ ๆ แทบจะยกมาแบบ เป๊ะ ๆ ในส่วนนี้ก็จะไม่ขอพูดถึงมาก แต่อยากจะบอกว่าในส่วนของเนื้อหาเพลงที่เสริมเข้ามา ส่วนตัวชอบมาก โดยเฉพาะพาร์ทของเพื่อนเคดี้อย่าง เจนนิสและเดเมี่ยน จากที่ต้นฉบับดูไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไรนอกจากการวางแผนแก้แค้นเรจิน่า จอร์จ จนกระทั่งมาในฉบับรีเมค ที่กลายเป็นตัวเปิดเรื่องและร้องเพลง เป็น storyteller ในบางช่วง จะบอกว่าเพลงเพราะดี แต่ก็ต้องมีวิจารณญาณกันนิดนึง ส่วนตัวเห็นมีผู้ปกครองพาน้อง ๆ ที่อายุต่ำกว่า 13 ปีเข้ามาดูด้วย คิดว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเกินวัยของน้อง ๆ โขอยู่ เนื่องด้วยมีการใช้คำหยาบคายค่อนข้างเยอะและมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศอย่างชัดเจน อาจจะต้องระวังกันมากกว่านี้
ว่ากันด้วยเรื่องของงานภาพ กราฟฟิคอะไรต้องบอกว่าด้วยความที่ตัวภาพยนตร์ฉายมาเป็นเวลานานมาก จึงได้ถูกปรับให้บรรยากาศ เทคโนโลยี ตรรกะความคิดของตัวละครภายในเรื่องบางอย่างก็ถูกพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย (ถึงแม้จะมีบางอย่างที่คงความคิดเดิมไว้เนื่องจากเป็นเนื้อหาหลักของตัวหนัง) มีการปรับให้เป็น Musical มากขึ้น จึงมีการใส่เอฟเฟค ความฟรุ้งฟริ้งเข้ามาแบบจัดเต็ม ก็ดูสวย โอเคดี และในเรื่องของนักแสดง ส่วนตัวชอบนักแสดงที่เล่นเป็นเรจิน่า จอร์จมาก สวย สมกับคาแร็คเตอร์ตัวแม่ ได้จริตควีนสุด ๆ (แล้วเสียงก็ดี เซ็กซี่สุด ๆ) คาแร็คเตอร์ของแคเรนก็ถูกเปลี่ยนสัญชาติไป ต้องบอกว่าแคเรนในฉบับรีเมคนี้สวยจึ้งมาก แต่ส่วนตัวชอบแบบเดิมมากกว่า และมีแอบเซอไพรส์เล็ก ๆ ในช่วงท้ายเรื่องด้วยที่ได้ ลินซีย์ โลฮาน (เคยรับบทเป็น เคดี้ แฮรอนในภาคต้นฉบับ) กลับมารับบทเป็นผู้คุมการแข่งขันคณิตศาสตร์ เห็นแล้วหุบยิ้มไม่ได้เลย แม่ยังสวยจึ้งมาก
โดยส่วนตัวคิดว่า Mean Girl ในฉบับรีเมคนี้ ในฉากสำคัญ ๆ แทบไม่มีอะไรที่ต่างจากต้นฉบับเลย บทคือเป๊ะ ๆ แต่มีการเสริมส่วนของ Musical เข้ามาทำให้ดูน่าสนใจมากขึ้น แต่ส่วนตัวก็แอบเบื่อ ๆ ช่วงต้นเรื่องไปพักหนึ่งอยู่เหมือนกัน แต่พอกลาง ๆ เรื่องขึ้นไปก็พอโอเคอยู่บ้างละ ถ้าถามว่าชอบไหน บอกเลยว่าเฉย ๆ ไม่ได้ว้าว หรือใหม่อะไรขนาดนั้น เน้นเสริมข้อคิดที่สื่อสารออกมาโต้ง ๆ ทั้งเรื่องเลย เนื้อหาก็ไม่ได้ทิ้งเดิมเท่าไร เอาเป็นว่าเหมือนมาดูเปลี่ยนบรรยากาศจากยุค Y2K เป็นยุคปัจจุบันทันสมัย แค่นั้นเลย เพลงเพราะตามมาตรฐานภาพยนตร์ Musical ทั่วไป
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Review: อย่างแรกด้วยขนาดฟอนต์ในรอบสื่อใหญ่มากบางฉากฟอนต์เกินจอ จึงทำให้ดึงอรรถรสเยอะไม่รู้ว่ารอบจิงจะปรับไหม ส่วนพล็อตของหนังดูน่าสนใจมาก การเปิดเรื่องมาชวนน่าติดตาม แต่ว่าพอช่วงกลางเรื่องมา ดูเอื่อยๆ ไม่มีอะไรสักเท่าไรนอกจากการค้นหาความลับ และที่มาที่ไปของผีตัวนี้ จนมาสนุกอีกทีช่วงไคลแมกซ์
แต่จุดอ่อนของหนังก็มีคือความรู้สึกขัดใจกับการกระทำของตัวละครที่ดูโง่ไปหน่อย โดยไม่เอะใจกับอะไรเลย
ความน่ากลัว ความตื่นเต้นลุ้นระทึกมีช่วงแรกกับช่วงท้าย นอกนั้นเฉยๆ
ภาพรวมจึงเป็นหนังที่พอดูได้ แต่อาจจะต่ำกว่าที่คาดหวังไว้ ซึ่งสิ่งที่ดึงดูดและทำให้เราคาดหวังกับหนังคือโปสเตอร์ที่ดูน่ากลัวกว่าหนังซะอีก
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Miller’s Girl หลักสูตรร้อน ซ่อนรัก เรื่องราวของความสัมพันธ์รักต้องห้ามของเด็กสาววัย 18 ปี Cairo Sweet (นำแสดงโดย Jenna Ortega) นักเรียนคลาสการเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้มีพรสววรค์ในด้านงานเขียน และ Jonathan Miller (นำแสดงโดย Martin Freeman) อาจารย์ประจำคลาสของเธอ ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานชิ้นใหม่ของเธอ และด้วยโปรเจคนี้เองที่ทำให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกันจนเกิดเป็นความสัมพันธ์ต้องห้ามที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเอาเสียเลย
อย่างแรกเลยคือ ไปดูเพราะความไบแอสอีกแล้วจ้า ด้วยความที่ตัวหนังได้สองนักแสดงมากความสามารถอย่าง Jenna Ortega และ Martin Freeman มาเข้าคู่กัน บอกกับตัวเองตั้งแต่เห็นตัวอย่างเลยว่าไม่พลาดแน่นอน ซึ่งบอกได้เลยว่า การแสดงของทั้งสองคนนั้น ส่วนตัวไม่ผิดหวังเลย Jenna เองก็สามารถแสดงได้ฉีกจากบทบาทที่เราเคยเห็นมาก่อนได้อยู่ แม้บางทีอาจจะเห็นภาพทับซ้อนไปบ้างแต่ต้องบอกว่าในเรื่องนี้น้องเซ็กซี่มากจริง ๆ ชอบมาก คาแร๊คเตอร์อะไรก็ดูดีไปหมด น่ารักก ส่วนในด้านของ Martin ก็ถือว่าทำได้ดีมาก เวลาเข้าคู่กันก็คือดี เอาอยู่ การส่งสายตาอะไรกัน โอเคเลย และในเรื่องของการใช้ภาษาในเรื่องนี้ส่วนตัวว่าเป็นการใช้ภาษาที่ค่อนข้างสละสลวยพอสมควรเลยและเข้าใจง่ายดี ชอบในการใช้ภาษาจริง ๆ งานภาพ แสง สี ก็ถือว่าสวยงาม วิจิตร ดูดีมาก ๆ
ในส่วนของเนื้อหาต้องบอกว่าตัวพล็อตนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเล่นกับหลักศีลธรรมมากพอสมควร ก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะ ทำไมเมืองนอกถึงได้ Rate R ไปแม้จะไม่ได้มีฉากที่ถึงพริกถึงขิงอะไรกันขนาดนั้นก็ตาม ในเรื่องของการดำเนินเรื่องมันค่อนข้างจะเรื่อย ๆ ส่วนตัวแอบเบื่อด้วยนิดหน่อย เพราะจริง ๆ นี่ไม่ค่อยถนัดหนังแนวนี้เท่าไรนัก ตัวบทส่วนตัวว่ายังไม่ค่อยถึงเท่าไร ถ้าไม่นับเรื่องของการใช้ภาษาที่สละสลวยอย่างกับอยู่ในนิยาย บทการพูดการจาอะไรก็คือดูดีมาก แต่เอาจริง ๆ ถ้าไม่ได้ชอบแนวนี้จริง ๆ อาจจะแอบเบื่อหน่อย แต่ก้ดูเพลิน ๆ ได้พอโอเคอยู่ มีการนำเสนอแบบตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน ใครที่ชอบหนังแนวนี้ สไตล์นี้ก็คือไม่ควรพลาดจริง ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
เชื่อว่าหนังเรื่อง Blue giant จะกลายเป็นหนังดนตรี top 5 ของใครหลายๆคน อาจจะติด top 10 หนังในดวงใจใครหลายๆคนด้วย
บทหนังจริงๆดูเรียบง่ายมาก คือเด็กคนนึงอยากตามฝันเป็นนักดนตรีแล้วก็ออกเดินทางไปเมืองใหญ่ เจอเพื่อนเล่นดนตรี รวมวงกันจนได้ไปถึงจุดที่เล่นดนตรีมีคนมาฟัง ประสบความสำเร็จ คือไอเนื้อเรื่องง่ายๆนี่แหละ แต่เขาเอามาทำได้แบบว่า ถึงพริกถึงขิง แบบมันสุดจัดในแทบทุกมิติที่จะเป็นหนังเรื่องนึง ยกเว้นเรื่องรักโรแมนติกนะ
เรื่องนี้ออกฉายไป อาจจะทำให้ดนตรี Jass กลับมาเป็นที่นิยม รึเปล่าไม่รู้ แต่ตัวหนังน่าจะเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เคยไปดูมาแล้วรอบนึง อาจจะมีไปซ้ำอีกหลายๆรอบได้555
ว่ากันด้วยดนตรี Jazz นั่นมีรากมาจาก ดนตรีบลูส์ ซึ่งก็พัฒนามาเรื่อยๆจนเป็นเพลงป๊อปที่พวกเราฟังๆกันนี่แหละยิ่งสมัยนี่เพลงป๊อปนิยมเอาทางแจ๊สกลับมาใช้กลายแนว Neo soul อะไรพวกนั้นไป ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้เรื่องเพลงแจ๊สมาก แต่เพลงแจ๊สของวงพระเอกน่าจะเป็นแนว Fusion Jazz มั่งไม่แน่ใจ แต่ก็ช่างแม่ง ในจุดนี้
เคยได้ยินมาว่าเพลงแจ๊สนั้นแค่อิมโพรไวส์หรือด้นสดกันขึ้นมาก็เป็นเพลงแจ๊สแล้ว ซึ่งในหนังก็มีจับเรื่องนี้มาเป็นประเด็นแล้วดันทรงพลังมาก น้ำตาแทบร่วงแล้วมันจะมีอีกหลายประเด็นในหนังที่ได้ฟิลแบบแรงบันดาลใจมากๆ มันจะฟิลแบบนี้..... ตอนต้นเรื่องเริ่มมา เปิดหัวมาด้วยตัวละครคิดแบบนี้ทำแบบนี้แล้วดำเนินไปเรื่อยๆ แล้วมันจะมีจังหวะคอนฟลิกท์มาหักแล้วเกิดเป็นแรงบันดาลใจสุดอิมแพคให้คนดู ซึ่ง คนดูไม่จำเป็นต้องรู้ดนตรีแจ๊ส หรือแม้กระทั่งรู้เรื่องดนตรีเลยก็อินไปกับหนังไม่ยาก รับประกันได้เลย
แล้วการคิดคาแรคเตอร์ อันนี้ต้องขอชมว่า ยอดเยี่ยมมาก เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องดนตรี แต่มันคือการให้เห็นชีวิตกับแนวคิดไปจนถึงการทำลายกำแพงของตัวเองและเติบโตหรือก้าวไปอีกขั้นนึงของคนๆนึง ซึ่งส่วนตัวให้ สิ่งนี้เป็นเมนหลักของหนัง และมันสุดยอดมากที่ทำให้กลมกลืนไปกับหนังได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติมาก
แนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ไปดูในโรงครับเรื่องนี้ ทั้งภาพและเสียง เรื่องราว มันต้องในโรงสักครั้ง ตั๋วไม่แพงด้วย
ส่วนตัวไปซ้ำแน่นอน
สรุปผลวิจารณ์หนัง
อีกหนึ่งภาพยนตร์สยองขวัญต้อนรับปี 2024 หลุมหลอน ซ่อนคำสาป ภาพยนตร์สยองขวัญจากญี่ปุ่น เรื่องราวของครองครัวของไอฮาระ นาโอตะ ที่ได้สูญเสียภรรยาไปอย่างกระทันหันและเกือบจะสูญเสียลูกชายไปในวันเดียวกัน แต่ทว่า ฮารูโตะลูกชายกลับได้ฟื้นมาจากความตายทั้งสองคนเสียใจกับการจากไปของมิยูกิผู้เป็นภรรยาและแม่ ของพวกเขาทั้งสอง กระทั่งฮารูโตะได้นำนิ้วมือของแม่ไปฝังและเริ่มท่องบทสวดบางอย่างที่ครั้งหนึ่งพ่อของเขา นาโอตะ เคยสอนให้ทำหลังจากที่ฝังหางของกิ้งก่าเอาไว้ และเชื่อว่ามันจะงอกออกมาเป็นตัวใหม่ และในครั้งนี้ฮารูโตะก็คาดหวังให้แม่ของเขานั้นกลับคืนมาจากการฝังนิ้วของแม่และสวดภาวนาให้แม่ได้กลับคืนมาเหมือนเดิม ทว่าสิ่งที่คืนกลับมา ดันไม่ใช่แม่ของเขาอีกต่อไป
ในเรื่องของการดำเนินเรื่องนั้นถือว่าไม่ช้าไม่เร็ว กำลังดีเลย ไม่เวิ่นเว้อ ด้วยความยาวเกือบสองชั่วโมง ส่วนตัวว่าดูเพลิน ๆ หนังรเื่องนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลย พล็อตก็น่าสนใจ มีความหักมุมเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ แต่จังหวะจั้มสแกร์สำหรับเราแล้วรู้สึกยังไม่ค่อยถึงเท่าไร เฉยไปหน่อย ด้วยลักษณะเมคอัพผีก็ไม่ได้น่ากลัวมาก แถมช่วงท้าย ๆ ส่วนตัวดันรู้สึกเหมือนคุณผีกลายเป็นซอมบี้ไปซะอย่างนั้น แฮร่ ๆ ๆ ตลอดเลย
ในด้านของนักแสดงต้องบอกเลยว่าถึงมาก แต่ละคร แสดงแบบจัดเต็มทุกอารมณ์ โดยเฉพาะซีนที่ต้องหวาดกลัวก็คือนางเอกเราไม่ห่วงสวยแล้ว ถึงมาก ตาเหลือกกันเก่งทุกคนเลย ทั้งคนทั้งผี 55 ข้าม ๆ ถือว่านักแสดงเรื่องนี้เค้าเก่งจริงเราเชื่อเลยว่ากลัวจัด ๆ กลัวกันจริงๆ อย่างฉากในลิฟท์ก็เล่นเอาหลอนเลยนึกว่าจะมีอะไร แต่ก็ผ่านมาเฉยๆ ไม่มีอะไรเลยหลอกกันแนบเนียน
โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าภาพยนตร์หลุมหลอนซ่อนคำสาป ถือเป็นภาพยนตร์สยองขวัญจากญี่ปุ่นที่สามารถดูได้เพลิน ๆ เนื้อหาดำเนินไปไม่ช้าไม่เร็ว กำลังดี แต่ว่ารวม ๆ แล้วสำหรับหนังสยองขวัญนี่ว่าหลอนไม่มากเท่าไร จนถึงไม่ค่อยหลอนเลยแหละ แต่ยอมใจนักแสดงจัดเต็มกันจริง ๆ และตัวพล็อตก็น่าสนใจมีหักมุมด้วย ชอบมาก
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ลิฟท์ซ่อนผี หรือ Elevator Game หนังสยองขวัญที่มีเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่ทำรายการล่าท้าผีที่เข้ามาลองดีเล่นเกมในลิฟท์แห่งหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีหญิงสาวชั้นห้า และเมื่อทำสำเร็จลิฟท์จะพาเราไปยังมิติโลกคู่ขนานได้ ว่ากันว่ามีคนที่มาลองดีได้หายตัวไปกันหลายราย
ว่ากันที่เรื่องการดำเนินเรื่องส่วนตัวรู้สึกช่วงแรกจะเนือย ๆ เนิบ ๆ น่าเบื่อไปหน่อย ส่วนตัวโฟกัสไปไม่นานก็รู้สึกง่วงขึ้นมาหน่อยละ ต้องพยายามตั้งสตินิดนึง ตัวเนื้อหาถือว่าน่าสนใจพอประมาณ ส่วนตัวมองว่าใครที่ต้องการหาหนังสยองขวัญดูแก้เซ็งเรื่องนี้ก็พอดูได้แหละ เพลิน ๆ ด้านงานภาพก็ถือว่าเฉย ๆ ไม่ได้น่าสนใจเป็นพิเศษเท่าไร จังหวะหลอก ตุ้งแช่ก็ถือว่าทำได้ดี ชวนลุ้นตามอยู่บ้าง ถือว่าโอเคพอสมควรเลยแต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากเท่าไร เมคอัพตัวผีก็ไม่น่ากลัวสมเป็นผีเท่าไร ส่วนตัวว่าเหมือนฆาตกรใส่หน้ากากมากกว่า ไม่ค่อยดึงดูดเท่าไร
ในส่วนของเอฟเฟคกราฟฟิคก็ไม่ได้มีความหวือหวาอะไร เล่นแสงนิดหน่อย พอหอมปากหอมคอ ดีหน่อยที่เรื่องนี้ฉากมืดก็ไม่ได้มืดมากจนไม่เห็นรายละเอียดอะไรเลยเหมือนหลาย ๆ เรื่องทีผ่านมา ซาวด์ประกอบชวนลุ้นดีเป็นบางฉาก ส่วนตัวชอบการดำเนินเรื่องช่วงสุดท้ายนะ พอจะคาดเดาได้แต่ก็เกินคาดนิดหน่อยเหมือนกัน ในส่วนของการแสดงนี่รู้สึกไม่ค่อยอินเลยกับสักตัวละคร บทไม่ส่ง ความอินไม่ได้เท่าที่ควร เป็นหนังสยองที่ส่วนตัวไม่รู้สึกสยองตามเท่าไร
โดนส่วนตัวแล้วต้องขอบอกเลยว่าส่วนตัวอาจจะแอบตั้งความหวังไว้นิดหน่อยตอนเห็นโปสเตอร์ แต่ถ้าได้ดูแล้วบอกได้คำเดียวเลยว่า ไม่คาดหวัง เราก็จะไม่ผิดหวัง ด้วยความที่ตัวพล็อตที่เคยถูกนำมาทำเป็นซีรีย์ครั้งหนึ่งของเกาหลี (ซึ่งส่วนตัวชอบฉบับซีรีย์มากกว่า) การทำให้น่าสนใจ หรือไม่ทำให้เบื่อนั้นอาจจะยาก เพราะรูปแบบอะไรก็เหมือนกัน ส่วนตัวเลยเริ่มรู้สึกเบื่อตั้งแต่ช่วงที่หนังพาเข้ามายังเนื้อเรื่องหลักจนถึงช่วงเกือบจบ มีดึงขึ้นมาให้ลุ้นตามได้นิดนึงแล้วก็จบไปแบบนั้นเลย ส่วนตัวคงเลือกไม่ดูซ้ำแน่นอน เพราะการดำเนินเรื่องค่อนข้างน่าเบื่อเลยทีเดียว
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ก็ถือได้ว่าเป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีกับงานของจิบลิสำหรับ The boy and the Heron จากค่ายจิบลิที่ห่างหายไปนาน งานภาพตามสไตล์จิบลิ เนื้อเรื่องจากอ.ฮายะโอะ มิยาซะกิ และเพลงประกอบจาก อ. โจ ฮิซะชิ ถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าถามว่ามันสนุกไหม? ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ รู้สึกว่าการเดินเรื่องนั้นเป็นไปอย่างช้าๆ บางทีช้าเกินไปมีหาวบ้าง ลายเส้นเนื้อเรื่องต่างๆ มันชัดเจนว่าเป็นสไตล์เขาละ แต่เนื้อเรื่องนี้ยอมรับเลยว่าในแง่ความรู้สึกกับตัวหนังมันยังเบาบางไม่ได้โดนเด่นขนาดมากระแทกใจเท่า เจ้าหญิงโมโนะโนะเกะ หรือ สปิริตอะเวย์ (อันนี้ส่วนตัวนะ) แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นงานที่ค่อนข้างเทพอยู่ดี ก็ในระดับที่สมกับเป็นฮายะโอะแหละ ซิกเนเจอร์ของการต่อต้านสงครามและยึดมั่นเรื่องสันติภาพ เรื่องของชีวิต ยังคงสอดใสมาในเรื่องราวได้อย่างชวนให้คิดตาม แม้ว่าอาจจะมีหลายๆจุดที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ เช่นฉากประตูทอง ดูแล้วไม่ค่อยเก็ทแต่มันมีความหมายอะไรแอบแฝงอยู่แหละ ตามสูตร ตัวหนังมีกลิ่นของการ์ตูนหลายๆเรื่องของจิบลิ การทำซีนต่างๆ แล้วก็การเชิดชูพลังหญิง ซึ่งจะมีอยู่แทบทุกเรื่องของอ.ฮายะโอะ ก็เรียกได้ว่าประทับใจเหมือนเดิม ด้านงานภาพนั้นคงเส้นคงวา แต่อาจจะมีเทคนิคอะไรเพิ่มเติมจากในอดีตให้น่าตื่นตาขึ้น ซึ่งก็ตามยุคสมัย แต่ต้องบอกว่า การออกแบบฉากในเรื่องนี้คือ ตัวส่วนชอบมากมีดูอลังการไปหมด เอาจริงๆชอบกว่าเนื้อเรื่องอีก เนื้อเรื่องมันก็โอเค แต่เนิบๆ แต่สิ่งที่ตรึงใจไว้กับหนัง ต้องยอมให้งานออกแบบฉากจริงๆ โคตรสวย
ด้านงานเพลงของอ.โจ ฮิซะชิ เรื่องนี้รู้สึกมันไม่ได้โดนเด่นขนาดนั้น ถามว่าตีมชัดไหมก็โอเครนะ แต่มันไม่ได้กระแทกในเท่าเรื่องที่ผ่านๆมา ถ้าไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ มีดีระดับอาจารย์ทำให้เด็กๆมันดูแหละ แล้วก็รู้สึกได้ความรู้ขึ้นจากการฟังเพลงประกอบอันนี้ด้วย แต่ถ้าถามว่า ชอบขนาดไหน รู้สึกชอบงานเก่าๆมากกว่า
สรุปรวมๆ คือมันดีและต้องเข้าไปดูในโรงเท่านั้น
สรุปผลวิจารณ์หนัง
สายบู๊ล้างผลาญ เอาคืนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่บังอาจมารบกวนความสงบในชีวิตของ”เขา”อย่างสาสมและสุดมันส์ต้องเรื่องนี้เลย Beekeeper นรกเรียกพ่อ ผลงานของผู้กำกับ Suicide Squad และ Fury ซึ่งหลังจากที่ได้รับชมภาพยนตร์แอคชั่นสุดมันส์อย่าง Beekeeper นรกเรียกพ่อ ที่ได้เจสัน สเตแธมมารับบทนำบู๊ล้างผลาญ พูดน้อยต่อยหนักจัดเต็มจนสะใจ ไม่พูดมากเจ็บคอ ลุกขึ้นมาต่อยกันเลยดีกว่ามา!! 55
ต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องที่เราดูแล้วอินจัดจนใจเต้นเพราะมันส์เหนือความคาดหมายจากที่คิดไว้จริง ๆ การดำเนินเรื่องก็ไม่ช้าจนเกินไป ออกจะเข้าเรื่องเร็ว กระชับ และเข้าใจง่ายมาก ๆ ดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรง ๆ ไม่ต้องคิดตกผลึกอะไรมากมาย เราปล่อยจอย ปล่อยอารมณ์ไปตามเนื้อหาได้สบาย ๆ เลย จังหวะการตัดต่อก็ทำออกมาได้ลงตัวกลมกล่อมสมกับเป็นภาพยนตร์แอคชันที่เน้นคิวบู๊มันส์ ๆ ตัวบทก็ลื่นไหล ต่อมุขกันโบ๊ะบ๊ะ
ในส่วนของเรื่องกราฟฟิก เอฟเฟคอะไรก็ถือว่าโอเค แบบถ้าไม่ใส่ใจนักจะไม่สังเกตหรอก ถือว่าปล่อยผ่านไปก็ได้ไม่มีปัญหา ไม่มีผลกระทบกับอรรถรสในการรับชมเลย เพลงประกอบเข้ากับเรื่องมาก ส่งอารมณ์ให้รู้สึกลุ้น มันส์ไปกับตัวภาพยนตร์ด้วย ถ้าถามว่าไปดูเพราะไบแอสนักแสดงอีกไหม ก็ส่วนหนึ่ง แม้จะมีความซ้ำซากตามแบบฉบับหนังสูตรสำเร็จตายตัวที่เราจะสามารถเดาทางได้ง่าย แต่เป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้เรารู้สึกสนุก และเอาเราอยู่หมัดจริง ๆ ฉากบู๊ก็ โหด ดิบ เถื่อนสาแก่ใจมาก คนพิการพี่แกก็ไม่เว้น555
ส่วนตัวบอกได้เลยว่าก่อนไปดูไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะสนุกขนาดนี้ คิดว่าจะเป็นหนังบู๊แอคชั่น ล้างแค้นทั่ว ๆ ไป แต่พอได้ดูจริง ๆ แล้วคือสนุกเกินเบอร์มากกว่าที่คิดไว้ ตัวบทก็ใส่มุขโบ๊ะบ๊ะ ฮา ๆ มาเรื่อย ๆ เสริมด้วยเพลง และซาวด์เอฟเฟคเร้าใจ ตัวนักแสดงก็แสดงได้ตามมาตรฐานที่ผ่านมา คนเดียวเอาอยู่หมัดแทบทั้งเรื่อง แก๊งตัวร้ายก็ปูมาตรง ๆ เลยว่ากลัวจริงแต่ก็สู้สุดใจ ใครชอบแนวแอคชั่น บู๊มันส์ ๆ มาดูเอาเพลินๆ ก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
สรุปผลวิจารณ์หนัง
เชื่อว่าหลายๆคนคงจะได้เห็นตัวอย่างหนัง E-Sarn Zombie กันมาบ้าง แล้วก็น่าจะมีหลายๆคิดเหมือนกันว่า เออ นี่มันหนังเหี้ยอะไรวะนี่555 แม่งโคตรเลอะเทอะ ฟิลแบบคนตังเหลือๆแล้วไม่มีที่เก็บเลยเอามาทำหนังยังไงอย่างงั้นอะ เละแน่นอน
พอได้ได้ดูปุ๊บ เออ มันก็ฟิลนั้นจริงๆแหละ555 แต่ประเด็นคือ มันไม่ได้เละขนาดนั้นเว้ยคุณ ......
เอาจริงๆผมดูไปยิ้มไปแทบทั้งเรื่องอะ ยิ้มให้กับความอิหยังวะของหนังด้วย แต่ไอที่ฮาๆมันดันมีมาเหมือนกันไง ผิดจากที่คาดไว้ตอนดูตัวอย่าง ว่าแม่ง แป๊กทั้งเรื่องแน่ๆ สปอยแบบไม่ปิดเลยละกัน ถือว่าล่อให้ไปดู เขาจะมีแบบว่าเอาศิลปินอิสานคาเมโร่มานิดๆหน่อยๆ 1 ในนั่น คือ โจอี้ ภูวศิษฐ์ แล้วไอฉากนั่น ใครไม่ฮา ผม ฮานะ555 มันจะเป็นไม่ใช่มุกตับ แต่เป็นมุกโง่ๆฝรั่งๆ แต่แบบใส่มาค่อนข้างเนียนกับหนังและอีกหลายๆมุกที่ใส่มาแบบ เออดีนะ เนียนไปกับเนื้อเรื่อง ดูตลกดี
เอาจริงๆ ตัวเนื้อเรื่องมันเมากาวแหละ แต่ในแง่หนัง คือ มันเดินหน้านะ เนื้อเรื่องมันค่อนข้างเดินหน้ามีที่มาที่ไปในแบบของมัน ไม่ได้ไปแบบมั่วซั่ว มันเลยเพลินไปกับหนังได้
เสียดาย
คือ หนังมันดูโปรดักชั่น งานภาพ แบบละครทุนต่ำไป น่าจะไปลงกับนักแสดงเยอะ การดำเนินเรื่อง งานภาพ มันดูไม่จริงจังเกินไป บทมีติดเล่นเยอะไป แล้วขาดความเป็นตัวเองเกิน แต่ตรงงานภาพ แอบรู้สึกถึงกิมมิกบางอย่าง ดอกจันทร์ไว้ตรงนี้
ตัวหนังไปไม่สุดสักทาง แต่ไอตรงที่มันไปไม่สุด มันคือ มาเวย์ด้วย การเมืองด้วย ความรักด้วย ถึงจะไม่สุดแต่มันมีแก่นสาร(เฉยเลยวะ) ก็ผิดจากที่คอดไว้ตอนดูเทเลอร์อยู่นะ ก็เข้าใจว่าทำขายคนไทยก็คงไม่อยากทำอะไรซีเรียสๆ ย่อยยาก เดี๋ยวขายไม่ได้ เทเลอร์มาไงก็ต้องไปแบบนั้น แต่ถ้าเทเลอร์มากรากแบบนั้น แล้วหนังจริงทำจริงจังแบบตลบคนดู ก็ไม่ติดนะ เพราะเท่าที่ดู เนื้อเรื่อง มันดีนะ คือมันไม่ไร้แก่นสารไปมั่วๆ ฟิลแบบมือถือดีๆสักเครื่องแล้วเอาไปใส่เคสกากตดอะไรแบบนั่นอะ ใส้ในมันมาถูกทางแล้ว
มาตรงที่ติดดอกจันทร์ไว้คือ โทนภาพตลอดทั้งเรื่องมันจะสดใสตามสไตล์หนังตลกใช่ปะ แต่พอตอนจบท้ายเรื่องเลย ชอตพระเอกกับนางเอก เออเขาเปลี่ยนโทนภาพวะ แล้วมันจริงจังจัดๆขึ้นมาทันที แบบเหมือนจะมีภาคต่อ แต่รอบนี้ไม่เอาฮาแล้วอะไรแบบนั้น ถ้ามีมาก็ดูอะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
plus, most importantly, regarding providing every
one of the ideas in a single blog post. In case we had known of your
website a year ago, we would have been kept from the unnecessary measures we
were choosing. Thanks to you. toys for adults
Reacher ภาคซีรี่ย์ ทำดีมากๆ มี 8ตอน
รีชเชอร์ ยอดคนสืบระห่ำ เมื่ออดีตสารวัตรทหาร แจ็ค รีชเชอร์ได้ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ เขาได้ตกไปอยู่ท่ามกลางแผนร้ายที่เกี่ยวพันกับตำรวจจอมคดโกง นักธุรกิจที่มีเงื่อนงำ และนักการเมืองคิดไม่ซื่อ เขามีเพียงสติปัญญาเป็นอาวุธ และเขาต้องหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในมาร์เกรฟ รัฐจอร์เจีย รีชเชอร์ ซีซันแรกนั้นสร้างมาจากหนังสือขายดีระดับนานาชาติ เดอะ คิลลิง ฟลอร์ โดย ลี ไชลด์ เข้าไปดูหนังออนไลน์ฟรีที่ FM2PLAY ซีรี่ย์บู๊แอคชั่นสุดมันส์ เมื่ออดีตสารวัตรทหาร แจ็ค รีชเชอร์ได้ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ เขาได้ตกไปอยู่ท่ามกลางแผนร้ายที่เกี่ยวพันกับตำรวจจอมคดโกง
สรุปผลวิจารณ์หนัง
หลังจากที่เลื่อนฉายไปแล้ว 1 ครั้งก็ได้กลับมาฉายก่อนเทศกาลส่งท้ายปีกับ All Fun and Games ปลุกเกมนรก กับเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในซาเลมที่บังเอิญได้พบกับกริชและไดอารี่ปริศนาจนต้องพบกับเรื่องราวสุดสยองนองเลือดในที่สุด
จริง ๆ ต้องบอกเลยว่าไปดูเพราะไบแอสตัวนักแสดงล้วน ๆ เลยทั้ง เอซา บัตเตอร์ฟีลด์ (จากซีรีย์ Sex Education) และนาตาเลีย ไดเยอร์ (จากซีรีย์ The Stranger Things) ทั้งสองรับบทเป็นสองพี่น้องครอบครัวเฟลทเชอร์ บิลลี่ เฟลชเชอร์ (รับบทโดยนาตาเลีย) และมาร์คัส เฟลทเชอร์ (รับบทโดยเอซา) จากเรื่องราวที่ทั้งสองต้องรับหน้าที่ดูแลน้องชายคนเล็กตอนที่คุณแม่ออกไปทำงานตอนกลางคืน โดยที่ไม่รู้เลยว่าน้องได้ทำการอัญเชิญปีศาจร้ายจากกริชอาถรรพ์มาเรียบร้อยแล้ว และบังคับให้ทั้งหมดเล่นไปตามเกมของปีศาจ ส่วนตัวคิดว่าเนื้อหาค่อนข้างดำเนินไปอย่างน่าเบื่อและจบได้แบบง่ายเกินกว่าที่คิด ค่อนข้างที่จะคาดไม่ถึงเลยทีเดียว แต่ตัวหนังได้นำเอาบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดมาไว้ที่ตอนต้นเรื่องจนไม่ต้องลุ้นอะไรอีก ลุ้นแค่ว่าในระหว่างทางตัวละครต่าง ๆ ต้องพบเจออะไรบ้างก็แค่นั้น
ถ้าว่าเรื่องภาพ กราฟฟิกอะไรต่าง ๆ รู้สึกเหมือนไปดูหนังทุนต่ำ มุมภาพเดิม ๆ ที่เจอได้ในหนังสยองทั่วไป แต่ส่วนตัวชอบตอนจังหวะไล่ฆ่าช่วงเกมซ่อนแอบกับเกมไล่จับไฟฉาย มีจังหวะที่ให้ลุ้นตามดีแต่เดาง่ายไปมาก ๆ เหมือนพอถึงช่วงกลาง ๆ เรื่องก็เริ่มเร่งให้จบไป และบทก็ค่อนข้างไม่มีอะไรเลย ไม่มีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจ มีแค่พี่น้องทะเลาะกันประชดกันไปมา ตอนแก้ปมก็เป็นอะไรที่ง่ายเกินแบบมาก ๆ พอตัดจบก็ได้แต่คิดในใจว่า “อิหยังวะนั่น” เสียดายมาก เพราะแอบคาดหวังเอาไว้สูงอยู่เพราะความไบแอสนักแสดงแบบส่วนตัวล้วน ๆ เลย
โดยรวมถือว่าเป็นหนังสยองที่เราค่อนข้างผิดหวังทีเดียว บรรยากาศในเรื่องอะไรก้ใช้ได้ การแสดงของเอซาและนาตาเลียก็ถือว่าแบกพอสมควรแต่ไม่ไหวเพราะบทไม่ส่ง ถ้าถามว่าไปดูฉากไล่ฆ่าเอามันส์ได้มั้ย มันก็ได้แหละแต่ไม่ถึงใจ ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น มีตุ้งแช่บ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ส่วนตัวเคยดูหนังจากค่ายนี้มาบ้างก็พอเข้าใจในแนวทางของค่ายอยู่ ค่าย A24 จะขึ้นชื่อเรื่องทำหนังที่ใช้ทุนไม่มาก แต่บางเรื่องนี่ได้กำไรแบบเอาไปสร้างตึกได้ อะไรประมาณนั้น
เรื่องนี้ Dream Scenario เอาจริงๆ รู้สึกยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ อาจจะด้วยความอินดี้นี่แหละ แต่ถามว่าเข้าใจตัวหนังไหม? หนังไม่ได้ทำมาซับซ้อนนะครับ ดูเข้าใจได้ไม่ยาก สนุกบ้างนิดหน่อย มีมุกฮาๆ มาให้เราได้ขยับท้องกันตลอด แต่ที่บอกมันไม่โดนคือ ตัวเนื้อเรื่อง ความดราม่ามันทำมาได้ตรงจุดแล้วนะ แต่ความกระแทก มันยังอัดหน้าไม่สุด มันดึงให้รันทดได้มากกว่านี้ หรือก็คือ มันน่าจะ Impact กับคนดูได้มากกว่านี้ แบบว่า จะเล่นความสัมพันธ์ครอบครัวก็ไม่สุด จะชีวิตรันทดก็ไม่สุด จะเศร้าก็ไม่สุด จะไคลแม๊กซ์ก็ไม่สุด จะเล่นเรื่องความฝันก็ไม่ได้รู้สึกอินกับเรื่องความฝันอะไร ไม่สุดสักทาง 555
ตัวแมสเสจที่เขาจะสื่อมันค่อนข้างชัดเจนนะ แต่วิธีการที่เขานำเสนอมันดูแล้วเบาบางไปหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกเลยนะ เรื่องการเสียดสีสังคมอะไรพวกนี้ เขาสื่อออกมาดีแล้ว แต่มันหนักหน่วงได้มากกว่านี้ มันไม่เหมือน ซือเจ๊ ทะลุมิติ ที่ทุกอย่างในหนังมันดูหนักหน่วง อย่างตอนที่ผัวซือเจ๊ตัวธรรมดา ออกมาพูดตอนไคล์แม๊กซ์ อันนั้นเล่นน้ำตาซึมเลย คือตัวละครทุกตัวดูมีบทบาทแล้วไปกับหนัง แล้วพาคนดูไปด้วย พอเรื่องนี้มันเลยกลายเป็นนิโคลัส เคจ ค่อนข้างแบกหนังเลยทีเดียว555 มาพูดถึงนิโคลัสเคจ เอาจริงๆด้วยเนื้อเรื่อง ตัวหนังมันควรเหยียบนิโคลัสไว้แบบรุมกระทืบ ซึ่งเขาก็พยายามทำอย่างนั้นแหละ แต่สิ่งที่ออกมาคือ นิโคลัส โคตรใหญ่ คือใหญ่กว่าหนัง ไม่รู้อธิบายยังไง แต่รู้สึกแบบนั้น น่าจะสรุปได้ว่าหนังมันสู้การแสดงของนิโคลัสไม่ไหว มันเลยกลายเป็นนิโคลัสดูโดดๆ แล้วหนังก็ไม่ได้พาใครไปจุดสุดยอดของการรับชมเลย แต่เอาเป็นว่า ขอชมนิโคลัส เคจ จริงๆ เหมาะสมแล้วที่เป็นรุ่นใหญ่ในวงการ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
หนังก็โอเคนะ
Terrifier 3 ภาพยนตร์สยองสุดโหด การกลับมาอีกครั้งของเจ้าตัวตลกอำมหิต Art the Clown ที่ในครั้งนี้นั้นกลับมาพร้อมกับชุดซานต้าสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยเลือด มันพร้อมที่จะเชือดทุกอย่างที่ขวางหน้าแบบไม่มียั้ง!! ด้วยเนื้อหาสุดโหดแบบจัดหนักจัดเต็มกับเรท 20+ ที่ต้องตรวจบัตรประจำตัวก่อนรับชมภาพยนตร์กันเลยทีเดียว
ต้องขอบอกเลยว่า โหดสมคำร่ำลือจริง ๆ กับภาพยนตร์ชุด Terifier 3 กับเนื้อหาที่เป็นภาคต่อจาก Terrifier 2 ด้วยการดำเนินเรื่องด้วยตัวละครนำเดิมอย่างสาวน้อย เซียนน่า (รับบทโดย ลอเรน ลาเวร่า) แม้การกลับมาในครั้งนี้ของเธอนั้นจะเต็มไปด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าเจ้าตัวตลกสุดอำมหิต Art the Clown จะกลับมาเอาชีวิตเธอและน้องชายอีกครั้ง ซึ่งมันก็กลับมาจริง ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย มันจะไม่ปล่อยให้เหยื่อรายไหนหลุดรอดไปได้อย่างแน่นอน
เราไม่ต้องคาดหวังกับการดำเนินเรื่องใด ๆ เลยก็ว่าได้เพราะ Terrifier 3 นั้นจัดหนัก จัดเต็มความโหด สยอง ให้เราแบบไม่สนอะไรใด ๆ สาดมาแบบไม่มีกั๊กทั้งสิ้น เป็นที่สุดของภาพยนตร์สยองขวัญ ฆาตกรรม ที่เจ้าตัวฆาตกรมีความบ้าบิ่นไม่มีชิ้นดี การครีเอทฉากฆาตกรรมสุดจะบรรยายจริง ๆ ใครที่ชอบแนว ๆ นี้ขอบอกเลยว่าไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะตัวหนังได้จัดหนักความโหด ความสยอง ความกดดันให้เราตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบกันเลยทีเดียว แม้จะมีบางจังหวะที่แผ่วไปบ้าง แต่ไม่นานก็กลับมาได้ เหมือนให้พักหายใจแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นแหละ
ในด้านการแสดงนั้น นักแสดงแต่ละครก็คือจัดเต็มกันไม่ยั้ง สยองทะลุเมคอัพออกมาเลย โดยเฉพาะตัวตลกสุดอำมหิตอย่าง Art the Clown แม้จะใช้การสื่อสารแบบละครใบ้ยุคเก่า ก็เป็นการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ดูทะเล้น แต่แฝงไปด้วยความโหด ความน่าขนลุกขนพอง เวลาที่น้าแกจ้องอย่างจะกินเลือดกินเนื้อคือเราก็เชื่อได้อย่างสนิทใจจนลึก ๆ ในใจแอบกลัวจะเก็บเอาไปฝันอยู่หลายครั้งกันเลยทีเดียวแม้จะมีการแอบใส่มุกตลกเข้ามาแบบโต้ง ๆ ก็ไม่อาจกลบความสยองตรงหน้าลงได้เลย เล่นเอาต้องเบือนหน้าหนีไปหลายรอบจริง ๆ
โดยรวมแล้วภาพยนตร์ Terrifier 3 นั้นเ ป็นภาพยนตร์สยองขวัญ สั่นประสาทที่สร้างสรรค์มาเพื่อการสนองนีดล้วน ๆ เราไม่ต้องไปคาดเดาเนื้อเรื่องอะไรให้มากมาย ไม่ต้องตีความความหมายอะไรให้ปปวดหัว แค่ปล่อยใจจอย ๆ ไปกับความสยอง โหด ความกดดันต่าง ๆ ที่ตัวหนังได้ทำการเสิร์ฟมาให้เราแบบไม่มีกั้กกันได้เต็มที่จริง ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง