The Last Full Measure
เข้าฉาย 1 ตุลาคม 2563
ผู้ชม : 9,695
ผู้กำกับ
: Todd Robinson
ความยาวหนัง
: 116.00
Text Size
หนัง The Last Full Measure 34 ปีหลังจากการตายของ William H. Pitsenbarger Jr. ทหารอากาศผู้ช่วยชีวิตเพื่อนทหารที่เขาไม่รู้จักกว่า 60 ชีวิต แต่เขากลับกลายเป็นวีรบุรุษที่โลกไม่รู้จัก ทำให้เหล่าเพื่อนทหารตามเรื่องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเขาได้รับเหรียญเกียรติยศสูงสุดของทหาร
Thirty-four years after his death, Airman William H. Pitsenbarger, Jr. (\"Pits\") is awarded the nation's highest military honor, for his actions on the battlefield.
[รีวิว] The Last Full Measure - วีรบุรุษโลกไม่จำ
--- 7/10 ---
หนังบอกเล่าพาร์ทเหตุการณ์ของวีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ได้ไม่ค่อยยิ่งใหญ่เท่าไหร่
แต่ยังคงซึ้งในบทพูดและการต่อสู้เพื่อวีรกรรมในครั้งนั้น
ฉากท้ายเรื่องนี่เกือบลุกขึ้นยืนปรบมือตามแล้ว
The Last Full Measure เป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงของวีรกรรมจากวีรบุรุษที่โลกลืม William H. Pitsenbarger ทหารอากาศที่ยอมสละชีวิตตนเองโรยตัวลงมาเพื่อช่วยชีวิตทหารราบกว่า 60 นายท่ามกลางสงครามเวียดนาม แต่วีรกรรมเขาก็ถูกลืมเลือน จนทำให้สหายร่วมรบและทหารที่รอดจากเหตุการณ์นั้นต่างใช้เวลาเกิน 30 ปี เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับวีรบุรุษผู้นี้ ด้วยการเสนอชื่อให้เขาได้รับเหรียญแห่งเกียรติยศชั้นสูงสุด
จริงๆ The Last Full Measure มาจากประโยคในสุนทรพจน์ Gettysburg Address ของประธานาธิบดี Abraham Lincoln ที่พูดไว้เพื่อสดุดีแก่ทหารที่เสียชีวิตในสมรภูมิ Gettyburg ใจความว่า
แปลประมาณว่า "...นั่นมาจากผู้วายชนม์อันทรงเกียรติทั้งหลายที่ยอมสละทุกอย่างสำหรับการจงรักภักดีอย่างเต็มภาคภูมิในวาระสุดท้ายของชีวิต"
หนังดำเนินเรื่องผ่านตัวละครสมมุตินามว่า Scott Huffman (Sebastian Stan) เจ้าหน้าที่ระดับกลางของเพนตากอน ที่ได้รับเรื่องให้ไปตามเรื่องราวการรายงานขอเลื่อนขั้นเหรียญกล้าหาญเป็นเหรียญแห่งเกียรติยศ ทำให้เขาต้องไปเจอกับเพื่อนทหารหาญทั้งหลาย ร้อยเรียงข้อมูล ตัดสลับกับการเล่าเหตุการณ์ในช่วงที่เกิดเหตุจริงๆ เลยทำให้ความน่าสนใจหนังเพิ่มขึ้นมา
แต่ในความน่าสนใจนั้นก็มีความน่าเบื่ออยู่เช่นกัน ด้วยความที่หนังคล้ายกับสารคดีไปสัมภาษณ์คน นั่งพูดๆ เล่าเหตุการณ์ ซ้ำไป วนไป วนมา ตามหาความจริง มันเลยกลายเป็นหนังเรื่อยๆ ไปสักหน่อย
ถึงแม้จะมีความ "ลับ" บางอย่างของเหตุการณ์จริงในครั้งนี้ที่ทำให้เหตุการณ์มันน่าเคลือบแคลงใจ และตัวเอกต้องเอาหน้าที่การงานเข้าแลก ไอ้ส่วนนี้แหละ ที่มันดูเหมือนจะมีอะไร แต่เอาเข้าจริงมันไม่ได้เห็นความเสี่ยงหรือจุดอันตรายจากเหตุการณ์นี้สักเท่าไหร่เลย เลยกลายเป็นอุปสรรคเล็กๆ ที่ผ่านมาและผ่านไป
ถึงแม้หนังจะตัดสลับเล่าเหตุการณ์ปัจจุบันกับเหตุการณ์ในสนามรบที่ผ่านมา 30 ปี แต่ในพาร์ทของสนามรบดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ น่าทึ่งหรือน่าประทับใจของการช่วยชีวิตของ William H. Pitsenbarger สักเท่าไหร่เลย รู้เพียงแต่ว่ามันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเท่านั้น พาร์ทนี้ถ้าทำออกมาดีๆ มันจะทำให้หนังอินมากกว่านี้เยอะ
ซึ่งจุดอินจริงๆ จากในหนังเรื่องนี้มาจากบทพูดต่างๆ ของตัวละครที่เกี่ยวข้องกับ William H. Pitsenbarger ทั้งนั้น ถึงแม้มันจะค่อนข้างเป็นคำคม จุก กระแทกใจ น่าประทับใจมากเกินจริงไปหน่อย แต่มันก็ทำให้เราได้ซาบซึ้งถึงวีรกรรมอันหาญกล้าของ William H. Pitsenbarger ได้ดีจริงๆ หลายฉากนี้น้ำตาคลอตามเลยทีเดียว
โดยเฉพาะฉากตอนท้ายเรื่องที่ประธานาธิบดีกล่าว เล่นเอาซึ้งจนเกือบน้ำตาไหล กินใจสุดๆ แถมยังเกือบทำให้เรายืนขึ้นในโรงเลยทีเดียว (อยากรู้ว่าทำไมต้องลองไปดูด้วยตัวเอง).
ทัพนักแสดงนี่เด่นๆ ดังๆ ทั้งนั้น แต่ที่โดดเด่นมากๆ คือ การแสดงของ William Hurt, Ed Harris และ Christopher Plummer ที่ฉากดราม่าทีไรแทบจะเล่นเอาเราน้ำตาคลอได้แทบทุกฉากเลย แต่การแสดงที่เฉยๆ จนน่าเสียดายคือการแสดงของ Sebastian Stan ในบท Scott Huffman และการแสดงของ Jeremy Irvine ในบท William H. Pitsenbarger
สรุปแล้ว The Last Full Measure คือหนังที่บอกเล่าวีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ที่โลกไม่เคยรู้ บอกเล่าการต่อสู้เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ฮีโร่ในสนามรบ บอกเล่าความจริงเบื้องหลังสงครามนั้น แต่บอกเล่าออกมาได้ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ มีความน่าเบื่ออยู่บ้าง แต่มันถูกประคับประคองด้วยบทพูดอันคมคาย ชวนซึ้ง และการแสดงอันยอดเยี่ยม
สรุปผลวิจารณ์หนัง