Gemini Man - เจมิไน แมน
หนัง Gemini Man หรือชื่อไทยว่า เจมิไน แมน Gemini Man ภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์สุดล้ำ นำแสดงโดย วิล สมิธ ซึ่งรับบทเป็น เฮนรี่ โบรแกน นักฆ่าฝีมือฉกาจซึ่งกลายเป็นเป้าหมายและถูกไล่ล่าโดยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับที่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของเขาได้ทุกครั้ง ภาพยนตร์กำกับโดย อั้งลี่ ผู้กำกับรางวัลออสการ์ ร่วมอำนวยการสร้างโดย เจอร์รี่ บรัคไฮเมอร์, เดวิด เอลลิสัน, ดานา โกลด์เบิร์ก และดอน แกรนเจอร์ ร่วมแสดงโดย แมรี่ เอลิซาเบธ วินสเตด, ไคลฟ์ โอเว่น และเบเนดิค หว่อง
An over-the-hill hitman faces off against a younger clone of himself.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
Gemini Man
หนังที่ขายการแสดงของ Will Smith และในไทยยังมีการฉายในระบบ 3D+ โดยฉายแบบเฟรมเรต 60 เฟรมต่อวินาที (จริงๆ ตัวหนังได้ถึง 120 แต่ประเทศไทยไม่มีโรงที่ฉายได้ขนาดนั้น) ซึ่งภาพสวยมาก สะกดสายตาตั้งแต่แรกจนจบเรื่องเลย ดูจบทำให้อยากจะซื้อทีวี 4K มาไว้ที่บ้าน ภาพชัดม๊ากกกก
สำหรับเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่อง ต้องบอกว่าพลอตเดิมๆ ไม่มีอะไรที่ทำให้รู้สึกแปลกกว่าเรื่องอื่นๆ จะมีดีก็ตรงฉากแอ็คชั่นที่ทำได้ดีมากๆ (โดยเฉพาะฉากไล่ล่าบนมอเตอร์ไซค์ ตื่นเต้นมากในฉากนั้น) สู้กันสนุก แถมฉายในระบบเฟรมเรตสูงทำให้การเคลื่อนไหวดูลื่นไหล และฉากสุดท้ายภาพสวยมากกกกกก!!! ย้ำว่าสวยมาก ไม่สามารถกระพริบตาในฉากนั้นได้เลย
การแสดงของ Will Smith ยังดีเหมือนเดิม ไม่ว่าเล่นบทไหนพี่แกก็สามารถแบกหนังเรื่องนั้นไว้ได้ ยอมรับว่าพี่แกเทพมากจริงๆ ในเรื่องนี่ Will Smith จะเล่นเป็นสองคน อีกคนนึงจะอยู่ในวัยรุ่ยโดยใช้ CG เข้าช่วย ต้องบอกว่าเนียนมาก ขนาดพยายามเพ่งก็แทบมองไม่ออก (แต่ฉากสุดท้ายดันหน้าลอยเฉย หรือตั้งใจก็ไม่รู้)
ขอพูดถึงในระบบ 3D+ ที่ฉายแบบเฟรมเรต 60 เฟรมต่อวินาที แค่เปิดเรื่องมา ภาพพุ่งเข้าหน้าจังๆ แถมภาพสวยมาก ลื่นไหลกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ใครจะดูหนังเรื่องนี้แนะนำให้ดูในระบบนี้เท่านั้นรับรองคุ้มค่าแน่นอนครับ แต่อาจมีเรื่องขัดใจ เนื่องจากตัวภาพจะไม่ใช่ Wide screen (พูดให้ง่ายคือภาพแคบกว่าภาพโฆษณาในโรงเยอะ) ตอนแรกผมก็ตกใจแต่ก็มีเรื่องเฟรมเรตสูงมาช่วยให้หนังดูโอเคมากๆ
ถ้าใครดูคำวิจารณ์ อาจจะดูเละๆ แต่สำหรับผมมันพอได้ดู หนังก้ไม่ได้แย่มาก มีหลายฉากที่สนุก ถึงแม้ว่าบางฉากมันน่าเบื่อจริง พลอตกลวงนิดๆ แต่ก็ได้ Will Smith มาช่วยแบกไว้ทั้งเรื่อง ยังไงถ้าดู 3D+ ก็คุ้มแน่นอนครับ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
-หนังเปิดเรื่องได้น่าสนใจ การดำเนินเรื่องของหนังช่วงต้นๆ ไปถึงกลางทำออกมาได้ดี อาจจะตามสูตรหนังแอ๊คชันไปบ้างแต่ก็กลมกล่อมและสนุกดี
-อีกเรื่องที่ต้องชมคือฉากแอ๊คชันที่รู้สึกว่าทำออกมาได้เจ๋งและสนุกมาก
-ฉากแอ๊คชันที่ทำออกมาค่อนข้างดีกับระบบ HFR ถือว่าเข้ากันได้ดีทำให้ดูลื่นไหลและสนุกขึ้น
-ช่วงท้ายๆ เรื่อง พล็อตดิ่งเหวเลยแบบดิ่งไปเลย พล็อตโฮลและจุดขัดใจมากองรวมอยู่ตอนท้ายเลยนี่แหละ
=ส่วนตัวถือว่าหนังทำออกมาได้สนุกอยู่ ใครที่อยากไปดูเรื่องนี้แนะนำให้ลองไปดูแบบhfrเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี บทหนังในช่วงแรกถือว่าทำออกมาได้ดีสำหรับหนังแอ๊คชันแต่การคลี่คลายปมตอนท้ายนี่ห่วยบรมจริงๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
[รีวิว] Gemini Man
--- 6.5/10 ---
แอ็คชั่นกลางเรื่องคือดีย์ ส่วนเนื้อเรื่องคือปล่อยฟรีไปก็ได้
จริงๆ รู้สึกสนุกแค่ช่วง Will Smith ปะทะ Will Smith ครั้งแรกแค่นั้นแหละ
ถ้าจะว่ากันง่ายๆ Gemini Man คือหนังที่เกี่ยวข้องกับสายลับยอดฝีมือคนหนึ่งที่โดนตามล่าโดยสายลับอีกคนซึ่งเป็นร่างโคลนของเขาเอง มันคือ Will Smith ปะทะ Will Smith
เอาจริงๆ พล็อตมันซ้ำซาก เชย และจำเจมาก การที่เห็นดาราคนเดียวกัน เล่นเป็นวัยแก่กับวัยหนุ่มมาปะทะกันหรือคนๆ เดียวกันก็มีมาแล้ว ทั้ง Replicant (2001), The One (2001) หรือเอาเมื่อไม่นานมานี้เลยก็ Logan (2017) หรือจะย้อนกลับไปเป็นพล็อตที่ไล่ล่ากันเองอย่าง Looper (2012) ที่ถึงแม้จะไม่ได้ใช้นักแสดงเดียวกัน แต่เป็น Joeph Gordon-Levitt กับ Bruce Willis ก็มีเนื้อหาละม้ายคล้าย Gemini Man ใช่เล่น แต่ที่พอจะเรียกเราให้ไปดูได้คือชื่อนักแสดงนำอย่าง Will Smith ฉากแอ็คชั่น และไปดูความลื่นไหลในการถ่ายทำแบบ HFR นั่นแหละ
มาพูดถึงเนื้อเรื่องก่อน มันแทบจะไม่มีอะไรเลย เดาง่ายและเชยมากอย่างที่บอกไปข้างต้น มันไม่ว้าวแล้วอะ อีกทั้งหลายๆ อย่างในเนื้อเรื่องปูมาซะยิ่งใหญ่ แต่เลือกลงเอยแบบนั้นอะนะ ฉากจบนี่แบบ ห๊ะ? แค่เนี้ย? แล้วไอ้โปรเจ็ค Gemini Man ที่ว่านั่นแค่นี้จริงๆ หรอ บางอย่างก็คลี่คลายง่ายซะเหลือเกิน ไม่ใช่ว่าเชยเท่านั้นนะ มันยังเล่าเรื่องไม่สนุกอีกต่างหาก บางช่วงนี้ชวนหาวได้เลย ไม่มีจุดไคลแม็กใดๆ ทั้งสิ้น “จบเลยง่ายๆ ไปอย่างนั้น”
ทางด้านนักแสดงไม่รู้จะพูดถึงใครดีนอกจาก Will Smith เพราะแลดูตัวละครอื่นๆ ไม่จำเป็นเอาซะเลย ไม่รู้จะมีทำไมด้วยซ้ำ บางคนออกมาฉากสองฉากไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วก็หายไปบ้าง ตายไปบ้าง ย้อนกลับมาตัวแสดงนำอย่าง Will Smith นอกจากชื่อที่ดึงคนได้ การแสดงของเขาก็คือ Will Smith อะ ไม่ได้ดี ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้น่าจดจำ
สิ่งที่เราชอบที่สุดคือฉากแอ็คชั่นครั้งแรกระหว่าง Will Smith วัยแก่และวัยหนุ่ม มันส์มาก นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดของทั้งเรื่องละ ฉากแอ็คชั่นอื่นๆ นี่ดูจืดชืดไปเลย แต่เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นเยอะขนาดนั้นหรอกนะ 555
ทางด้านภาพแบบ HFR นี่ดูไปดูมาก็แปลกๆ เหมือนกันนะ หรือเราแค่ไม่ชินไม่รู้ การออกหมัดซัดกัน การเคลื่อนที่ ทุกอย่างมันดูไหลลื่นชัดเจนมาก บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าดีหรือไม่ดี 5555 ลองไปดูกันเองดีกว่า
มีส่วนนึงที่เรารู้สึกตลกและแปลกมากคือหน้า Will Smith วัยหนุ่มเนี่ยแหละ คือฉากอื่นๆ มันก็เนียนนะ แต่ฉากท้ายเรื่องตลกมาก ตลกจริงๆ ตลกแบบอธิบายไม่ถูก สีหน้าแปลกไปเลยอะ
สรุป Gemini Man เป็นหนังแอ็คชั่นไซฟาย ที่พวกเอฟเฟค ซีจีก็สวยดี ภาพแบบ HFR ก็ลื่นไหล แต่เนื้อเรื่องเชยธรรมดา จนเฉยๆ มาก เรารู้สึกสนุกแค่ช่วง Will Smith เจอ Will Smith ครั้งแรกเท่านั้นแหละ 555
Gemini Man อลังการเทคโนโลยี ที่ฉาบด้วยความโบราณของการดำเนินเรื่อง
ดูเหมือนว่าผู้กำกับชาวเอเชียอย่าง อัง ลี่ ดีกรีออสการ์ หลังๆ มาเหมือนจะหลงระเริงไปกับเทคโนโลยี่การถ่ายทำแบบ High Frame Rate แบบ 120 Fps (120 เฟรมต่อวินาที) ซึ่งในขณะที่หนังทั่วไปจะมีเพียง 24 เฟรมต่อวินาทีเท่านั้น โดยเรื่องแรกที่ผู้กำกับคนนี้ได้มีการถ่ายทำ นั้นก็คือเรื่อง Billy Lynn's Long Halftime Walk 2016 ซึ่งด้วยความที่แกสนใจแต่เทคนิคการนำเสนอมากกว่าตัวบท ทำให้โดนนักวิจารณ์สวดยับเหมือนกัน จนมาถึงเรื่องนี้
Gemini Man เรื่องราวว่าด้วยเฮนรี่ โบรแกน มือปืนขั้นเทพได้ถูกตามล่าโดยมือสังหารที่หน้าตาเหมือนเขา และเขาต้องสืบหาให้ได้ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื่องหลัง เอาเป็นว่าเล่าแค่นี้ก็รู้พล๊อตแทบจะทั้งเรื่องแล้ว จะมีเซอไพร์ (หรือเปล่า) แต่ส่วนตัวผมเอง ในด้านเนื้อเรื่องนั้นค่อนข้างธรรมดามาก มีดีที่ฉากแอคชั่นจริงๆ ซึ่งฉากแอคชั่นนั้นสไตล์ก็ออกมาแนวๆ หนังฮ่องกง ค่อนข้างไม่หวือหวาและน่าสนใจเท่าไหร่
เรียกได้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้สำหรับผมแล้วนั้นคือเทคนิคการถ่ายทำ HFR 3D จริง (ที่ตอนนี้ใช่ชื่อเป็นทางการว่า 3D+ with HFR) ภาพที่เห็นคือสมูทมากยิ่งเวลาฉากไล่ล่าภาพเคลื่อนไหวเร็วๆ การถ่ายทำในระบบนี้ทำให้ความเบลอของภาพลดลงจนเห็นได้ชัด (เหมือนเวลาไปเดินดูคลิปที่เปิดโชว์ในโซนขายทีวีแบบนั้นเลย) ถ้าในตัวหนังผมให้ 5/10 แต่ถ้าให้คะแนนเทคนิคภาพ ผมให้ 9/10 ไปเลยสำหรับเรื่องนี้
สรุปผลวิจารณ์หนัง