0 Sicario%3A+Day+of+the+Soldado+-+%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%86%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94+2

Sicario: Day of the Soldado - ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2

เข้าฉาย 28 มิถุนายน 2561
ผู้ชม : 21,921
ผู้กำกับ : Stefano Sollima
ความยาวหนัง : 125.00
Text Size

หนัง Sicario Day of the Soldado หรือชื่อไทยว่า ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด 2 “Sicario, Day of the Soldado” ยังคงเล่าถึงการเดินหน้าปราบปรามกลุ่มค้ายาเสพติดที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก แต่ครั้งนี้สถานการณ์กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เนื่องจากกลุ่มค้ายาเสพติดได้พยายามส่งผู้ก่อการร้ายข้ามพรมแดนมายังสหรัฐฯ ดังนั้นเพื่อการรับมือต่อกร “แมตต์ เกรเวอร์” (จอช โบรลิน) หน่วยกองกำลังเฉพาะกิจของรัฐบาล จึงต้องร่วมมือกับนายทหารรับจ้าง “อเล็กฮานโดร” (เบเนซิโอ เดล โตโร) เพื่อฝ่าอันตรายทำภารกิจเดือดแห่งสงครามยาเสพติดครั้งใหญ่


The drug war on the US-Mexico border has escalated as the cartels have begun trafficking terrorists across the US border. To fight the war, federal agent Matt Graver re-teams with the mercurial Alejandro.

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

9 กรกฎาคม 2561 13:24:28

 

Sicario: Day of the Soldado | Stefano Sollima

หนังภาคต่อจาก Sicario ที่กลับมาพร้อมกับความดิบ เถื่อน และฉากกลยุทธ์ที่มีความถูกต้องอยู่สูง ทำให้หนังมีความไหลลื่น น่าสนใจ แม้จะมีการผลัดเปลี่ยนผู้กำกับ แต่ก็สานต่อกลิ่นอายของภาคต่อได้พอสมควร แม้จะขาดลูกกดดันที่ทำให้หายใจอึดอัด แต่กระบวนการลุ้นระทึกว่าจะเกิดอะไรขึ้นในทุกวินาทีหลังจากออกจากฐานครั้งที่ 2 ก็ทำให้หนังสมบูรณ์ในแบบของมัน

จริงๆ เพราะมันถูกสร้างเพื่อให้ไปพีคภาค 3 ทำให้ภาคนี้ไม่ได้รวบจบสมบูรณ์แบบภาคหนึ่ง และขาดกลิ่นอายที่เข้าไปสำรวจความรู้สึกแบบต่างโลกอย่างที่ภาค 1 ทำกับเคท ที่เหมือนได้เข้าไปในความมืดมิดของโลกมนุษย์ในเม็กซิโก

“โลกที่ฆาตกรต้องอำพรางศพหนีกฏหมาย กับโลกที่แขวนศพเอาไว้เตือนไม่ให้ทรยศ เป็นโลกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”

ภาคนี้เปิดฉากมาเป็นหนังสงครามเบื้องหลังเต็มรูปแบบ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ปิดเหมือนภาคหนึ่ง ก็เลยจัดเต็มตามกระบวนกลยุทธ์สงครามสไตล์หลังฉาก เป็นหนังสงครามกลางเมืองขนาดเล็กของอเมริกา ด้วยหน่วยงานลับเฉพาะที่จัดการตามประสงค์ของรัฐบาลแบบไหนก็ได้ แต่คราวนี้ผลกลับไม่ได้เป็นดั่งใจ และทำให้ความวุ่นวายแปลเปลี่ยนการสังหาร ทั้งนี้หนังเองก็ไม่ทิ้งการเข้าถึงคนเม็กซิโก ถ้าภาคเก่าคือเรื่องราวของตำรวจทรยศ ภาคนี้ก็คือเรื่องราวของผู้คนที่อาศัยอยู่ระหว่างเขตเท็กซัสและเม็กซิโก เป็นเรื่องราวของคนหนุ่มที่กลายเป็นมือปืน ที่เชื่อมโยงกับเรื่องด้วยการแอบข้ามเขตแดน

แต่ผู้กำกับคนนี้ยังทำไม่ถึงภาคเก่าน่ะนะ เดนนิสผู้กำกับภาคแรกได้วางเพลง วางองค์ประกอบเอาไว้ได้อย่างทรงพลัง แถมบทเองก็พาเข้าไปสู่โลกแห่งความมืด ความดิบ ความเถื่อนได้อย่างงดงาม เป็นการวางบทที่ค่อยๆเผยทุกอย่างไปทีล่ะเปราะ ใช้ความเงียบงัน เพลงโทนต่ำกดดันอย่างต่อเนื่อง พร้อมๆกับเคทที่ตกลงในบ่วงความจริงที่มืดมิดแบบสุดๆ จนทำให้เข้าชิงออสการ์สาขาเพลงประกอบ และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้

ถึงจะเป็นแบบนั้นภาคนี้ก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน นอกจากจะสานต่อมาตรฐานของภาค 1 ไว้ได้ หลายๆอย่างถูกปูเอาไว้ภาคสุดท้าย ซึ่งน่าจะเป็นเอาคืน “คนที่ทำให้ทีมของเกรเวอร์บาดเจ็บ” ซึ่งน่าจะเป็นการต่อสู้กันด้วยการเมืองภายใน และเม็กซิโก ทำให้หนังน่าสนใจๆมากในฐานะภาคต่อ และสะพานไปสู่ตอนจบของตัวละครทุกคน

สำหรับแฟนๆ Sicario คงรู้อยู่แล้วว่าหนังไม่ได้เอื้อให้แอคชั่น จริงๆแอคชั่นของ Sicario ค่อนข้างไปทางเครียด มีออกมาน้อย แต่ทรงพลังและสมจริงอย่างน่ากลัว ด้วยความที่หนังขายความกดดันในสงครามแบบสมจริง ทั้งในแง่กลยุทธ์ และแง่จิตใจ ทำให้หนังมีเสน่ห์ในแบบของมันเช่นเดิม ถ้าเปิดใจ จมดิ่งไปกับเสียงปืนเงียบๆ หนังก็สนุกมากๆเลยล่ะ

ภาคต่อดูแน่นอน ได้ข่าวว่าภาคต่อ Emily Brunt จะกลับมา แม้ภาคนี้จะไม่มีเคท แต่ตัวละครในเรื่องก็เล่นโคตรดี เครียดและโคตรเท่ ก็ลองดูล่ะกันว่าภาคหน้า การเอาคืนจะสนุกแค่ไหนกัน

และอย่าลืมล่ะกันว่า "ไม่มีควา่มลับในเม็กซิโก"

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
9
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
9.5
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
9.1
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
5 กรกฎาคม 2561 01:37:56

Sicario: Day of the Soldado (Stefano Sollima | USA | 2018)

หลังจากที่ Denis Villeneuve ได้ทิ้งลวดลายการกำกับเอาไว้อย่างงดงามใน Sicario (2015) ผสานกับงานกำกับภาพของ Roger Deakins ที่ให้อารมณ์และบรรยากาศเมืองแห่งอาชญากรรมเลื่องชื่อได้อย่างน่าขนลุก พอมาถึง Sicario: Day of the Soldado (2018) ซึ่งเป็นเหมือนเรื่องขยายจากเรื่องก่อนหน้ากับกลายมาเป็นหน้าที่ของ Stefano Sollima ผู้กำกับอิตาลีที่เคยกำกับหนังมาเฟียระทึกขวัญอย่าง Suburra (2015) มาแล้ว และครั้งนี้เขาก็สามารถพิสูจน์ฝีมือในฐานะที่ก้าวเท้าเข้ามาสู่ฮอลลีวูดได้อย่างไม่น้อยหน้า

ถึงแม้จะไม่โดดเด่นเท่าฝีไม้ลายมือของ Denis Villeneuve แต่ Stefano Sollima ในฐานะผู้กำกับก็สามารถประคองหนังให้คละคลุ้งกลิ่นความระทึกได้อย่างสมบูรณ์  โดยเฉพาะบทหนังที่สามารถต่อยอดจากต้นเรื่องไปได้ไกลมากขึ้น  ซึ่งนำพาคนดูไปสำรวจถึงเหลี่ยมเล่ห์อื่นๆ ของทั้งตัวละครเดิมในมุมอุ่นๆ และตัวละครใหม่ต่างที่มาได้อย่างน่าติดตาม ได้เห็นทั้งเส้นทางการเติบโตมาเป็นอาชญากรของเด็กหนุ่มวัยรุ่น ทั้งเส้นเรื่องภารกิจที่นำพาไปสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศขององค์กรรัฐ และประเด็นความละเอียดอ่อนที่เกี่ยวโยงกับความเป็นความตาย  มนุษยธรรม หน้าที่ และอุดมการณ์ส่วนบุคคล ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถ่ายทอดออกมาอย่างดุเดือดเลือดเย็น

เมื่อจะปกป้องรัฐก็ต้องกำจัดคนที่รู้เห็นสิ่งที่รัฐกระทำพลาด แต่ดูเหมือนทุกสิ่งอย่างยิ่งจะบานปลายและหาทางออกไม่เจอ สุดท้ายต่างฝ่ายก็ต่างใช้ความรุนแรงพรากความเป็นมนุษย์ของกันและกันไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น ชอบที่หนังพาเรื่องราวและตัวละครไปถึงจุดที่คาดไม่ถึงและน่าติดตามต่อไปมากๆ ว่าความแค้นครั้งนี้มันจะอุบัติความดิบเถื่อนอะไรขึ้นมาได้อีก โดยเฉพาะไอ้ตัวละครเด็กวัยรุ่นที่ดูจะคาดเดาได้ไม่ง่ายเลย ภาคต่อไปนี่เราน่าจะได้เห็นการเอาคืนของคนดิบๆ ที่กลายมาเป็นฮีโร่กลายๆ และกำลังจะกลายเป็นนักฆ่าตัวจริงอีกครั้ง และการต้องรับมือของอีกฝั่งจะมีอุบายหลอกล่อหรือจะรุกสู้สาดกระสุนกันมันขนาดไหน โคตรรอยากจะดูตอนนี้เลย!!!

เออ..ขอชมนักแสดงบ้างหน่อยดีกว่าว่า น้อง Isbela Moner ดีๆๆ พอดีๆ Elijah Rodriguez ก็แคสต์มาเล่นได้น่าสนใจ เป็นตัวละครที่อยากรู้พื้นหลังชีวิตมากๆ แต่คนที่ละสายตาไม่ได้เพราะความเท่โคตรๆ คือ Benicio del Toro กับ Josh Brolin นักแสดงนำทั้งสองที่โคตรจะเท่!!!

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
8.5
ดนตรีประกอบ
8.5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
8.4
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
26 มิถุนายน 2561 11:19:36

Sicario: Days of the Soldado
--- 9/10 ---

“คงความดิบจากภาคแรก เสริมด้วยความแมสในภาคต่อ”

ภาคต่อของหนังแอคชั่น-ทริลเลอร์ ที่โคตรดิบ และโคตรเรียล กับฉากแอคชั่นที่ไม่ได้มีเยอะ แต่ประทับใจแทบทุกฉาก บวกด้วยความสุขุมของ Benicio Del Toro ที่ภาคแรกได้เสียงวิจารณ์ในแง่บวกอย่างล้นหลาม จากฝีมือผู้กำกับ Denis Villeneuve และในภาคต่อนี้ได้เปลี่ยนคนคุมบังเหียนเป็น Stefano Sollima ที่ไม่คุ้นเคยกับชื่อเขาเลยสักนิด - -” และแวปแรกที่ได้ดูตัวอย่างเราก็นึกว่ามันจะกลายเป็น “หนังแอ็คชั่น” เต็มตัวไปซะแล้ว แต่ผู้กำกับคนนี้ก็ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นหนังที่ Less is more “แอ็คชั่นน้อย แต่เข้าเป้าเต็มๆ” คงความดิบจากภาคแรก แต่เข้าถึงง่ายกว่า เข้าใจง่ายกว่า และแมสกว่าภาคแรกพอสมควร 

ในภาคนี้ยังคงเป็นเรื่องราวแนวแอคชั่น-ทริลเลอร์ ที่ยังคงมีกลิ่นอายของภาคแรกอย่างคละคลุ้งเต็มไปหมด เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแก๊งค้ายาในเม็กซิโกกับการจัดการไม่สนวิธีของอเมริกา ที่ฝากฝังไว้กับ Matt Graver (Josh Brolin) ทหารรับจ้างมากประสบการณ์จากภาคแรก ให้ทำภารกิจที่ทางรัฐบาลอเมริกาจะไม่ขอออกหน้ารับใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อกฏไม่จำเป็น เขาจึงต้องเชิญ Alejandro (Benicio Del Toro) มาเพื่อเคียงข้างร่วมปฏิบัติการภารกิจโค่นล้มเจ้าพ่อแก๊งค้ายาในเม็กซิโกคราวนี้

หนังยังคงความดิบกับฉากแอ็คชั่นดูสมจริงเสียเหลือเกิน ด้วยความที่ฉากแอ็คชั่นในเรื่องอื่นๆ ต้องมีอารัมภบท เอื้อนเอ่ยกันถึงเพื่อนที่บาดเจ็บ หรือไม่ก็ทั้งสองฝ่ายยิงบทพูดใส่กัน ที่บางเรื่องเผลอๆ มากกว่ากระสุนเสียอีก แต่ในเรื่องนี้ทั้งบรรยากาศการปะทะกัน เสียงปืน เสียกระสุนทะลุร่าง เลือด และการตัดสินใจในเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนทำออกมาได้ยอดเยี่ยมสุดๆ เรายังคงได้เห็นบทพูดกับการแสดงเท่ๆ ของ Benicio Del Toro ในบทบาทของ Alejandro อยู่ ถึงแม้ว่าในภาคนี้ความสุขุม ความเฉียบขาด และความเป็น “นักฆ่า” ของเขาอาจลดน้อยลงไป หนังเลือกที่จะเปิดเผยอดีต ความลับ และด้านที่อ่อนโยนของตัวละครตัวนี้ออกมามากขึ้น แต่ตัวละครตัวนั้นก็ยังมีตัวช่วยชูโรงอย่าง Josh Brolin ในบท Matt Graver ที่ดูเฉียบขาด น่าเกรงขาม และดูเป็นตัวอันตรายอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าการตัดสินใจหลายๆ อย่างในภาคนี้ ทำให้เขาใกล้เคียงคำว่า “นักฆ่า” ขึ้นมากกว่าภาคแรกเยอะเลย การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างช้าๆ และเต็มไปด้วยปมให้คนดูสงสัย ยิ่งจุดไคลแม็กท้ายเรื่องยังทำให้เราตึงเครียดได้ไม่ต่างจากภาคแรก และเราก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าภาคต่อไปต้องทำออกมาได้ดีแน่ๆ

มาพูดถึงสิ่งที่น่าเสียดายกันบ้างในภาคนี้ หนึ่งคือตัวของ Alejandro ที่ภาคแรกเค้าดูไม่เป็นมิตรสุดๆ ลึกลับ และเต็มไปด้วยรังสีอำมหิตของ “นักฆ่า” อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ภาคนี้สิ่งเหล่านั้นกลับโดนลดทอนลงมา บวกกับการตัดสินใจอันน่าประหลาดใจของเขาเกี่ยวกับลูกสาวเจ้าพ่อแก๊งค้ายา และประเด็นเรื่องที่ปะทะกับรัฐบาลเม็กซิโกที่หายไปดื้อๆ เสียอย่างงั้น สิ่งเหล่านั้นทำให้เกิดคำถามมากมายเต็มไปหมด

สรุปโดยรวมแล้วภาคนี้ไม่แพ้ภาคแรกเลย ถึงแม้จะมีบางอย่างดรอปลงไปบ้าง แต่ก็ยังน่าติดตาม เหมือนทำภาคนี้เพื่อปูทางไปภาคต่อได้อย่างน่าสนใจและน่าติดตาม

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9.5
การดำเนินเรื่อง
9
ดนตรีประกอบ
8.5
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)