Three Billboards Outside Ebbing, Missouri - 3 บิลบอร์ด ทวงแค้นไม่เลิก
หนัง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ภาพยนตร์เข้าชิงรางวัลถึง 6 สาขา ได้แก่ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (ฟรานเซส แม็คดอร์มานด์), สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (ซัม ร็อคเวลล์, วูดดี ฮาร์เรลสัน), สาขาดนตรีประกอบดั้งเดิมยอดเยี่ยม และสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม
เรื่องราวเกี่ยวกับผู้เป็นแม่ที่ลูกสาวของเธอถูกฆาตกรรม โดยที่ไม่สามารถหาตัวคนผิดมารับโทษได้ เธอจึงซื้อป้ายบิลบอร์ดสามป้ายในเมืองของเธอเพื่อหาตัวผู้กระทำผิด และนี่คือเรื่องราวความรักบริสุทธิ์ของผู้เป็นแม่ที่เรียกร้องหากระบวนการยุติธรรมให้ลูกอันเป็นที่รักของเธอ
A mother personally challenges the local authorities to solve her daughter's murder when they fail to catch the culprit.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
อู้หูว!!! มาเป็นเข่ง...
ประกาศไปแล้วเรียบร้อยสำหรับรางวัลออสการ์ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตกเป็นของ “The Shape of Water” ของลุงกีเยร์โม เดล โตโร (ขึ้นแท่นสามทหารเสือแมกซิกันเรียบร้อยแล้ว) ที่น่าสนใจคือเรื่องที่ตีคู่มีลุ้นมาแบบสูสีเลยคือเรื่อง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri (โอ่ย.... เขียนชื่อก็เหนื่อยแล้ว... แอบเม้าท์ตอนไปซื้อตั๋วบอกพนักงานขายว่าเรื่อง ‘ป้าสามป้าย’ ครับ เขาก็รู้เรื่องแฮะ ฮ่า! ฮ่า!) ที่สูสีแถมดูเหมือนจะเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยคือ โกยรางวัลมาจากหลายเวทีแล้ว แถมได้ Best Motion Picture สาขา ดราม่าจากลูกโลกทองคำด้วย คือหอบรางวัลมาเป็นเข่งไม่แพ้ “The Shape of Water” เลย... ทำให้เป็นที่สนใจของเด็กเดินตั๋วมากว่าเรื่องนี้มีอะไรที่ต้องตาหลายเวทีขนาดนี้....
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับอะไร?
เรื่องนี้เกี่ยวกับการทวงถามความยุติธรรมกับเจ้าหน้าที่รักษากฏหมาย คล้ายๆ คดีสามป้าขวานซิ่ง หรือคดีเสือดำในบ้านเราที่คุกรุ่นอยู่ในตอนนี้ เนื่องด้วยป้าที่เช่าพื้นที่ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่สามป้ายนอกเมืองมิซูรี่ เพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับลูกสาวเธอที่ถูกฆ่าข่มขืนเมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว จากเรื่องเป็นการยืนหยัดของพลเมืองคนหนึ่งต่อระบบความยุติธรรม ต่อกฏหมาย และต้องเผชิญกับการตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์จนไปถึงความปลอดภัยในชีวิตของหลายๆคนในชีวิตเธอ
เดินเรื่องอย่างหนักหน่วงและทรงพลังมาก!!!!
เล่าเรื่องดีมาก ทั้งเนื้อเรื่องที่ชวนติดตามมากๆ ดูง่ายกว่า Manchester by The Sea ประมาณนึง มีความดราม่าไปสุด การกระทำของตัวละครที่สมเหตุสมผล และชวนหัวทิ่มหัวตำมาตลอดเรื่อง หนังพาไปอย่างเด็ดเดี่ยว สิ้นหวัง (รู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังสุดๆเลย) และปลายเปิดให้คิดต่อ ชวนคิดต่อมากๆ ชวนตั้งคำถามถึงสังคมมากๆ รวมถึงตัวเราเองในสังคม และสิ่งที่เราทำมากๆ
การแสดงสมราคาตุ๊กตาทอง
เรื่องนี้ป้าเอาอยู่มากอ่ะ... คือหนังเรื่องนี้ได้ดีเพราะป้าเลย หนังเรื่องนี้นำแสดงโดย ‘Frances McDormand’ เด็กเดินตั๋วรู้จักป้าครั้งแรกจากเรื่อง “Burn After Reading” บทสาวทำงานฟิตเนสที่ต้องการทำศัลยกรรม (จนวายป่วงไปทั้งเรื่องเลย...) เรื่องนี้ป้ามาดขรึมมาก ป้าพาเราตื่นเต้น ทึ่งตะลึงงันกับสิ่งที่ป้าทำและจะทำมาก ป้าเป็นตัวแทนของความคิดเล็กๆ ที่หมดศรัทธาในความยุติธรรมที่ได้รับในสังคม เป็นยืนหยัดเพื่อตัวป้าอย่างผงาดในสังคม ป้าเรียกร้องพื้นที่ให้ลูกสาวจนเรารับรู้ได้ ป้าเล่นได้แพงสมราคานักแสดงนำหญิงออสการ์ปีนี้มาก นอกจากนี้มีได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายอีกรางวัลอีกรางวัลด้วย เอาจริงแทบทุกตัวละครช่างดีไซน์มาดีมาก และนักแสดงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแทบทุกคนเลย
แต่พอได้ดูก็ชวนคิดต่อนะว่าทำไมถึงไม่ได้ออสการ์ อาจเป็นเพราะไม่ใช่การสร้างจากเรื่องจริงหรือเปล่า? (เรื่องนี้เป็น Original Screenplay เด้อ) หรือการที่ตั้งคำถามปลายเปิด หรือประเด็นไม่ใหม่พอ หรืออะไร??? ฝากทุกท่านที่ไปดูมาคุยกันนะครับ
- เด็กเดินตั๋ว -
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Three Billboards Outside Ebbing, Missouri " 3 บิลบอร์ด ทวงแค้นไม่เลิก "
115 min | Crime/Drama | Directed by Martin McDonagh
เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ?
หนังพูดถึง มิลเดร็ด (Frances McDormand) แม่ผู้สูญเสียลูกไปกับคดีฆ่าข่มขืน ซึ่งแม้ว่าคดีจะอยู่ในกระบวนการยุติธรรมแต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็ดูเหมือนไม่มีทีท่าที่จะจับคนร้ายมาลงผิดได้เลย จนกระทั่งวันนึง มิลเดร็ดขับรถผ่านป้ายบิลบอร์ด เก่า ๆ ที่ชานเมืองเอบบิ้ง มิสซูรี่ เธอจึงเกิดไอเดีย เช่าป้ายบิลบอร์ดและลง ads ประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมขึ้น ทำให้คดีของลูกสาวเธอกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง แต่ทว่าฝ่ายตำรวจเองก็มีสารวัตร วิลเลอบี ที่เป็นที่รักของชาวเมือง ทำให้เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่มิลเดร็ดคิด ...
ความรู้สึกแรกหลังดูจบ ..
หน้าหนังดูจริงจัง เข้มข้น และจับประเด็นที่หนักมาก แต่ทว่าพอได้ชมแล้วจะรู้สึกผ่อนคลายและไม่กดดันอย่างที่คาด เพราะตัวหนังสอดแทรกไปด้วยมุกตลกมากมาย ซึ่งมันได้ผลมาก ได้ขำแต่ก็ได้รู้สึกหดหู่กับสังคมและสิ่งที่มิลเดร็ดต้องเผชิญ ความรู้สึกมันหน่วงกันอยู่ระหว่างสองสิ่งนี้ อีกทั้งตัวหนังยังดูง่ายกว่าที่คิดไว้มาก ดูเพลินและสนุกไปกับการเอาใจช่วย รวมไปถึงตั้งคำถามถึงสิ่งที่มิลเดร็ดทำ ด้วยมุมมองของตัวผู้ชม ซึ่งความยอดเยี่ยมของหนังก็คือการที่มันสามารถรีเลทและออกมาได้หลายหน้าหลายทางหลายความรู้สึกมากขึ้นอยู่กับมุมมองว่าผู้ชมมองแบบไหน
สิ่งที่น่าชื่นชม
แม้ว่าหนังจะมีการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม จับประเด็นที่น่าสนใจ ใช้ภาพ ใช้เพลงได้อย่างดีงาม แต่จุดที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นการแสดงของนักแสดงนำในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Frances McDormand หรือแม้แต่ Sam Rockwell ซึ่งทำได้ยอดเยี่ยมมาก ในกรณีตัวละครของ ร็อคเวลล์ นั้นถือเป็นกรณีที่น่าศึกษามาก เพราะตัวละครนี้เป็นตัวละครที่มีการพัฒนาตั้งแต่ต้นเรื่องไปจนถึงท้ายเรื่องได้อย่างน่าสนใจ ต้องชื่นชมทั้งนักแสดงที่ถ่ายทอดการพัฒนานี้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
สรุป
Three Billboard Outside Ebbing, Missouri เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่ครบถ้วนไปด้วยคุณภาพ เสียดสีสังคม ดูไม่ยาก และดูเพลินกว่าที่คาด แถมยังมีการแสดงและซีนที่น่าจดจำมากมาย คู่ควรกับการเข้าชิงและรางวัลที่ได้รับ และคู่ควรแก่การรับชมในโรงภาพยนตร์อีกด้วยครับ
Three Billboards Outside Ebbing, Missouri | Martin McDonagh
นี่เป็นหนังในดวงใจของผมในระดับที่ติดอันดับท๊อป 5 ของตัวเองเลย สนุกมาก อินสุดๆ มันหนักหน่วง มันบ้าคลั่ง และมันก็งดงาม เราจะได้สัมผัสการเปลี่ยนผ่าน การให้อภัย และการเติบโตของตัวละครในระดับลึกด่ำกว่าหนังเรื่องไหนๆ รวมไปถึงความสมจริงสมจังแบบที่ทำให้เราเจ็บจุกเหมือนถูกแทง ในแต่ล่ะบทมันคือความลงตัวระหว่างความรุนแรงและชีวิตที่เล่าออกมาเฉียบคม ตัวละครทุกตัวเป็นสีเทา กลมเกลาเหมือนมนุษย์ปกติ เป็นสีเทาที่อบอุ่นและเลือดเย็นไปพร้อมๆ กัน ส่วนตัวแล้วให้เป็นหนังยอดเยี่ยมของออสการ์ปีนี้เลย ถึงจะพลาดให้กับ Shape of Water แต่ Three Billboards เองก็ไปคว้ารางวัลมาหลากหลายมากแล้วล่ะ
Three Billboards เป็นหนังเกี่ยวกับการท้าทายอำนาจของรัฐ ในรูปแบบของการเอาคืนจากมิลเดร็ด แม่ผู้สูญเสียลูกสาวไปกับการข่มขืนและฆ่า โดยที่ตำรวจไม่สามารถแม้แต่จะหาผู้ต้องสงสัยได้เลย มิลเดร็ดไม่สามารถรับการจากไปโดยไม่ได้รับความยุติธรรมแบบนี้ นางเลยโทษว่าเป็นความผิดของตำรวจ จากนั้นก็เริ่มท้าทายตำรวจด้วยการตั้งป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ 3 ป้ายบนถนนชนบทที่แทบไม่มีใครขับผ่าน กลายเป็นข่าว แพร่ออกไปทั่วรัฐจนตำรวจท้องถิ่นไม่อาจนิ่งเฉยได้ ซึ่งมันไปเร่งให้อาการมะเร็งในร่างของนายอำเภอไปเร็วยิ่งขึ้น เหล่าคนที่เคารพนับถือนายอำเถอคนนี้ก็เริ่มไม่พอใจ แล้วเรื่องราวการเอาคืนไปมาระหว่างกันก็เริ่มต้นขึ้น คลืบคลานไปช้าๆ ตามการเล่าเรื่องที่ฉับไว แฝงด้วยมุกตลกผ่อนเบาไม่ให้เนื้อเรื่องหนักเกินไป
เราจะได้เห็นความแค้น และการเอาคืนของแต่ล่ะฝั่งได้แก่ฟากมิลเดร็ด กับฟากตำรวจไปเรื่อยๆ ในระดับที่ค่อยๆรุนแรงไปตามองค์ของหนัง เช่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ เล่นงานเพื่อนของอีกฝ่าย แอบทำเรื่องผิดกฏหมาย ทำร้ายร่างกาย เผาป้าย เผาสถานีตำรวจ และการโยนคนจากตึก ปรากฏการณ์ความแค้นเหล่านั้นมันเค้นความรู้สึกหนักๆจากหนังออกมาตลอดเวลา จนเราได้เห็นข้อมูลและนิสัยของตัวละครแต่ล่ะตัวผ่านความเจ็บปวดจากการถูกดูหมิ่น ถูกทำร้าย และถูกเอาคืนได้อย่างแนบเนียนและสะเทือนใจ มันไม่เหมือนหนังล้างแค้นปกติ มันเป็นมากกว่าความสะใจ เพราะมันคือการทำร้ายกันระหว่างคนที่เจ็บปวด พวกเขาไม่ได้อยากทำร้ายกันหรอก แต่ต่างคนก็ถูกทำร้ายจากระบบ ไม่ว่าจะระบบรัฐ หรือระบบสังคมแบบต่างๆ จนต้องหันมาทำร้ายกัน ที่ทำให้เกิดการต่อสู้ที่ไม่จบสิ้นแบบนี้
เราจะได้เห็นครอบครัวของแต่ล่ะตัวละครที่อยู่ในวาระการเอาคืนในแต่ล่ะรูปแบบ ไม่ว่าจะฟากมิลเดร็ด สภาพของผู้คนที่ต้องรับมือกับการจากไปอย่างกะทันหันจากการฆาตกรรม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะโทษตัวเอง ไม่ว่าจะฟากพ่อ แม่ หรือน้องชายของเหยื่อ ที่ติดอยู่กับคำว่า “ถ้าไม่ล่ะก็...” ฟากของนายอำเภอแสนอบอุ่นที่ใครๆ ก็รัก และอยู่ในรัฐที่การเหยียดผิวเป็นเรื่องปกติ ที่ต้องเผชิญหน้ากับเพื่อนที่ไว้ใจไม่ค่อยได้ หรือกับคดีที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถไขออกอย่างคดีของลูกสาวมิลเดร็ดนี้ ภาวะการกดทับดิกซอนจากแม่ที่ทำให้ชีวิตของเขาพัง เหยียดผู้คน และอารมณ์ร้อน หรือการเชื่อมั่นในมนุษย์ของนายอำเภอเองที่เรียกได้ว่ามันคือพลังของเรื่องนี้เลย ซึ่งผู้กำกับเก็บทุกรายละเอียดของตัวละครทั้งหมด และสร้างออกมาได้สมจริงสุดๆ มีความเหยียดเพศที่สาม ความเหยียดผิว คละคลุ้งอยู่ในทุกบทสนทนา ฝังลึกลงในแต่ล่ะตัวละคร ความสมจริงของมันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นการต่อต้านแบบยัดเยียดเลย มันเป็นธรรมชาติ เหมือนเราได้เห็นชีวิตของคนปกติที่มีความคิดรูปแบบจริงๆ ที่เราจะสัมผัสได้ในคนทั่วไป แถมยังกล้าเข้าไปสำรวจคนผิวขาวเหยียดผิวที่หนังเรื่องอื่นไม่ค่อยจะแตะเท่าไหร่ หรือส่วนมากจะเป็นตัวร้าย แต่เรื่องนี้หนังทำให้เขาเองก็มีจิตใจเฉกเช่นคนปกติ มีความเห็นแก่ตัวเอง เห็นแก่ผู้อื่น เขาเองก็เป็นมนุษย์ มีความชั่วร้ายดีแตกต่างกันไป หนังเล่นกับการตัดสินผู้คนแบบนี้ตลอดเลย เช่น เมียใหม่ของผัวเก่ามิลเดร็ดเองที่ถูกสร้างให้เห็นว่า “โง่” แต่พอมาถึงจุดๆ หนึ่งเราจะได้เห็นกระบวนการความคิดที่ซื่อและดีงามพอส่งตรงมาจากจิตใจ ที่เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องไปอีกขั้วหนึ่งเลย ซึ่งกระบวนการกระจกสะท้อนนี้แหละที่ทำให้หนังมันไปไกลกว่าหนังล้างแค้น หรือหนังท้าทายรัฐ โดยถือเป็นหัวใจของการเดินเรื่องเลยก็ว่าได้ เราจะได้เห็นการเดินเรื่องแบบนี้ในทุกตัวละคร โดยเฉพาะฉากท้ายๆ ที่ตัวละครสำคัญๆ เริ่มต้นที่จะเห็น “อีกด้าน” ของตัวเอง
หนังพาไปดูความงดงามของคนน่ารังเกียจ พาไปดูผู้คนที่ถูกตัดสินและทิ้งไว้ในความมืดมิด ที่ไม่ใช่แค่ด้านของคนผิวสีดำ ผู้หญิงเท่านั้น แต่มันไปถึงคนผิวขาวเหยียดผิวที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในวงการ
สุดท้ายพวกเขาก็คือมนุษย์ไม่ต่างกับเราๆ
ช่วงที่พีคที่สุดของเรื่อง ที่เล่นงานความรู้สึกอย่างรุนแรง เหมือนหมัดฮุคที่ค่อยๆ คลี่คลายเรื่องราวทั้งหมดออกอย่างช้าๆ คือจังหวะให้น้ำส้มของเรด เวลบี้ ฉากนั้นเป็นอะไรที่สะเทือนใจมากๆ เพราะมันเป็นการให้อภัยที่งดงามมากหลังจากการเอาแค้นที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นมาในเรื่อง
ที่สุดแล้วแกนกลางของหนัง คือ การแก้แค้นที่ไม่ว่าจะเป็นยังไงมันก็จะดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และสุดท้ายก็ไม่มีอะไรถูกแก้ไขได้เลย มีแต่การทำร้ายกันมากขึ้นๆ หนังพาเราไปพบกับฉากสะเทือนอารมณ์ของการให้อภัย การก้าวผ่านสิ่งที่ตัวเองยึดติดมาโดยตลอดของตัวละครแต่ล่ะตัวในเรื่อง และการอยู่กับมันต่อไป อาจยังคงเหยียดชนชาติเหมือนเดิม เลวเหมือนเดิม แต่คราวนี้พวกเขามีเครื่องมือใหม่แล้ว
ฉากจบของหนังจึงเป็นอะไรที่แตกต่างกับตอนต้นเรื่องมาก และชีวิตก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ ไม่มีอะไรสมใจอยากไปจนหมด ชีวิตคือเรื่องลุกล้มคลุกคลาน มอบบททดสอบมากมายเพื่อให้เราก้าวผ่านอะไรบางอย่าง และมีแต่เราเท่านั้นที่จะต้องดำรงชีวิตต่อไปในทุกๆวัน การให้อภัยในหนังเรื่องนี้จึงทรงพลังสุดขีด เพราะคนที่ให้อภัยเป็นคนแรก ก็คือคนสุดท้ายที่ถูกทำร้ายมากที่สุด ดังนั้นในตอนจบ ทั้งดิกซอนและมิลเดร็ดที่หันกลับมาคืนดีกัน ออกเดินทางไปตามผู้ต้องสงสัยที่พ้นผิดด้วยปืนลูกซอง ต่างก็ไม่แน่ใจว่าพอไปถึงที่หมายแล้วจะฆ่ากันหรือไม่ นั่นเพราะชีวิตทั้งสองเปลี่ยนไปจนหมดสิ้นแล้ว เป็นคนสุดท้ายที่รับเอาความเจ็บป่วยของมนุษย์ ของรัฐ(ทหาร) และของสังคมเอาไว้ทั้งหมดด้วยการเงียบงัน
Three Billboards Outside Ebbing, Missouri เป็นหนังที่สมบูรณ์แบบที่สุดเรื่องหนึ่งเลย บทภาพยนตร์สมจริงกดดันหนักหน่วงได้ทุกการเล่า มีเนื้อเรื่องที่สะเทือนใจได้ในทุกนาที การแสดงก็ยอดเยี่ยม เก็บละเอียดทุกเม็ด เทความบ้าคลั่ง ความเครียด อารมณ์ใส่กันแบบสุดๆ แสดงกันในระดับถึงแก่น โหดเหี้ยม เลือดเย็น อบอุ่นในเวลาเดียวกัน เพลงอาจไม่เด่นมาก แต่การตัดต่อนี่เฉียบคมและมีเสน่ห์เลย
เป็นหนังในดวงใจครับ ทรงพลังมากๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง