0 The+Revenant+-+%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B0+%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C+%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%94

The Revenant - เดอะ เรเวแนนท์ ต้องรอด

เข้าฉาย 4 กุมภาพันธ์ 2559
ผู้ชม : 30,276
ผู้กำกับ : Alejandro González Iñárritu (อเลฮานโดร กอนซาเลซ อินาริตู)
ความยาวหนัง : 160.00
Text Size

หนัง The Revenant หรือชื่อไทยว่า ต้องรอด ภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงเรื่อง The Revenant เดอะ เรเวแนนท์ ต้องรอด กำกับฯ และร่วมเขียนบทโดยผู้สร้างชื่อดังเจ้าของรางวัล Academy Award อเลฮังโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู (Birdman, Babel) กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการสำรวจป่าอเมริกาที่ไม่ถูกบันทึกลงแผนที่ นักสำรวจแห่งตำนาน ฮิวจ์ กลาส (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) ถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมและถูกเพื่อนร่วมทีม จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ (ทอม ฮาร์ดี้) ปล่อยทิ้งไว้ให้ตายเพียงลำพัง เขามีเพียงกำลังใจเป็นอาวุธในการต่อสู้ กลาสต้องทนต่อสภาพที่เหน็บหนาวอย่างรุนแรง เขาต้องหาทางรอดชีวิตและแก้แค้นฟิตซ์เจอรัลด์

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

14 กุมภาพันธ์ 2559 02:16:54

The Revenant / ต้องรอด เพื่อล้างแค้น VS ต้องรอด เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม​

                                  หนังว่าด้วยเรื่องราวที่จากเหตุการณ์จริง เล่าเรื่องราวของการเดินทาง ของ ฮิวจ์ กลาส (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) เดินทางสำรวจในดินแดนที่ยังไม่ได้เคยสำรวจ รวมกับลูกชายและทีมคณะคนอื่นๆ ต่อมา กลาสโดนหมีกริซลี่ทำร้ายกลายเป็นตัวถ่วง จนโดนเพื่อนร่วมเดินทางคนหนึ่ง จอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ (ทอม ฮาร์ดี้) ฆ่าลูกชายพร้อมกับฝังกลาสทั้งเป็น ทำให้กลาสเกิดความแค้นจนเป็นแรงผลักดันให้เขามีชีวิตอยู่ เพื่อตามล่าชายผู้ที่พรากสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

 

                                  ตัวบทหนัง ดำเนินเส้นเรื่องเดียวเลย คือ แค้น/ รอด/ ตามล่า ไม่มีพาร์ทจุดพลิกผัน หรือ หักมุม แน่นอนสิ่งที่จะช่วยพยุงตัวหนังที่เดินเรื่องเส้นเดียวให้ตลอดรอดฝั่งโดยคนดูไม่เบื่อหน่ายคือ ตัวนักแสดง ซึ่งแน่นอน นักแสดงเรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง แสดงได้ดีทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ซึ่งเรื่องนี้จัดเต็มทำอย่าง นอกเหนือจากการแสดงทางสีหน้า แววตา การพูด สวมบทบาท ฮิวจ์ กลาส ได้แทบหมดจด นอกเหนือจากนั้น ยัง ไว้ผมยาว หนวดเครารุงรังกินเนื้อดิบ คลานไปคลานมาคลุกดินคลุกหิมะ ไหนจะแก้ผ้ากลางหิมะที่อุณหภูมิต่ำสุดๆ และยังมีอีกคนที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ ทอม ฮาร์ดี้ ที่ถ่ายทอดการแสดงให้เห็น ถึงความอคติ ความร้ายกาจและ โหดเหี้ยม ของเขา สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่ แค่ กลาส คนเดียวที่ต้องรอด แต่เป็น ทาง ฟิตซ์เจอรัลด์ด้วย แค่ต่างกัน ต้องที่ กลาส ต้องรอดเพื่อมาล้างแค้น แต่ ฟิตซ์เจอรัลด์ ต้องรอดเพื่อชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

 

                             มีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ คือ การกำกับภาพ ของ เอมมานูเอล ลูบิซกี้ ที่ถ่ายทำโดยใช้ แสง เงา จากธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งทำออกมาได้บรรยากาศที่ดิบ สมจริง และสวยงาม ไปในตัว งานภาพ Long shot ทำให้เห็น ฮิวจ์ กลาส ทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อเอาตัวรอด ท่ามกลางธรรมชาติที่พร้อมจะ คร่าชีวิต กลาส ได้ทุกเมื่อ

                            โดยรวม The Revenant ทำออกมาได้ดีทุกองค์ประกอบ การถ่ายทำ มุมกล้อง ภาพ เสียง และการแสดง ไม่แปลกใจเลยที่หนังจะได้เข้าชิงสาขาต่างๆในเวทีออสการ์ มากที่สุดในปีนี้ ส่วน ลีโอนาร์โด ปีนี้ จะสมหวังกับดารานำชายยอดเยี่ยมหรือไม่ ผมไม่ขอฟันธง ให้คณะกรรมการออสการ์ตัดสินละกัน อิอิ

                           ชีวิตแต่ละคน ล้วนมีหนทางของตัวเอง ต่างต่อสู้เพื่อความอยู่รอด คนที่แข็งแกร่งย่อมได้รับโอกาสที่จะอยู่โลกใบนี้ที่แสนโหดร้ายต่อไป เราไม่รู้หรอกว่า การที่เรารอดนั้นโชคดีหรือไม่ที่จะต้องคิดถึงสิ่งที่ตนทำลงไปในอดีต และมีความทรงจำที่เลวร้ายคอยหลอกหลอนเราไปชั่วชีวิต

Jurassic Boy / FB : ผีโรงหนัง

แวะมาได้ครับ : https://www.facebook.com/pheerongnang/

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
8.5
ฝีมือนักแสดง
9.5
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
8.3
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
16 กุมภาพันธ์ 2559 10:38:08
หนังเรื่องนี้พลังเยอะมาก ทั้งการดำเนินเรื่อง ทั้งการแสดงของตัวลีโอนาร์โด

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆ ครับ ชอบมากเลย
6 กุมภาพันธ์ 2559 01:29:25

The Revenant (Alejandro G. Iñárritu / USA / 2015)

ถ้าจะให้จับคู่หนังบนเวทีรางวัลออสการ์ Spotlight กับ The Bigshort ก็ดูเป็นหนังที่มีจุดร่วมกันในฐานะที่เป็นหนังออฟฟิศหลากตัวละครและเต็มไปด้วยบทสนทนา แถมยังเป็นคู่ตรงข้ามของความสมจริงและหลุดโลกจนดูเหมือนเป็นคู่แข่งกันและยังช่วยขับเน้นความโดดเด่นของกันและกันบนเวทีได้เยี่ยมยอดมากๆ ส่วน The Revenant มันก็เป็นหนังที่มองภาพเผินๆ แล้วก็อดจับคู่เทียบเคียงกับ Mad Max: Fury Road ของปู่ George Miller ไม่ได้ ด้วยความที่มันเป็นหนังที่เอามันส์บ้าดีเดือดกับฉากแอคชั่นลุ้นระทึกครึกโครมเหมือนๆ กันน่ะ และมีช่วงการดิ้นรนเดินทางเอาชีวิตรอดท่ามกลางมรสุมแลนด์สเคปกว้างใหญ่แวดล้อมด้วยความไม่น่าไว้วางใจและอันตรายจากแดนป่าคนเถื่อน ที่สุดท้ายแล้วตัวละครเอกก็จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มปฏิปักษ์คล้ายๆ กัน ต่างกันที่ Mad Max: Fury Road มันน่าตื่นตาด้วยการออกแบบฉากและตัวละครที่โดดเด่นสะดุดตามากๆ ในความแฟนตาซีของโลกดิสโทเปีย แต่กับเรื่องนี้มันจะอาศัยแรงดึงดูดจากทิวทัศน์ธรรมชาติและความสมจริงของการต่อสู้ของตัวละครในโลกสมจริงซึ่งมันก็ให้คนละความรู้สึกพิเศษ แต่ก็เด็ดดวงในทางการกำกับและการกำกับภาพพอกัน

แต่ดูเหมือน The Revenant จะมีชัยบนเวทีนำไปไกลมากกว่าในตอนนี้ ทั้งที่จริงแล้ว Mad Max: Fury Road มีบทที่มีทั้งชั้นเชิงของเรื่องราว ตัวละคร และถ่ายทอดประเด็นกับความรุนแรงได้กลมกลึงมากกว่า ส่วน The Revenant กลายเป็นหนังที่ภาพโดดเด่นนำหน้ากว่าเนื้อหนังไปมากกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับความรู้สึกในขั้นต้นแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นหนังที่เกิดจากต้นวัตถุดิบมันสมองที่งอมงาม ผ่านมือผู้ผลิตที่มีแรงใจดื่มด่ำกลวิธีทางภาพยนตร์อย่างหอบกระหายจนได้ภาพผิวพรรณภายนอกแสนพิเศษก่อนจะขับถ่ายออกมาเป็นเนื้อเรื่องกองไว้ในจุดเดียวให้ได้เห็น ซึ่งถูกส่วนโดดเด่นทางภาพยนตร์อื่นบดบังจนคนดูมองข้ามตัวเรื่อง แต่ก็ยังเชื่อว่ามีประเด็นแอบซ่อนอยู่มากไปกว่าที่ตาเห็น แต่หัวสมองตอนนี้ยังไม่ไหวจะชำแหละและไม่มีความรู้เชื่อมโยงเรื่องความเชื่อสรรพสัตว์ดำรัสพระเจ้าที่จะเอามาใช้แคะแกะกรองได้ ส่วนที่เราสนุกไปกับหนังก็เลยไม่ใช่ส่วนของเนื้อเรื่องเสียเกินครึ่ง ทั้งหมดนี้ไม่ได้กล่าวโทษถึงความบกพร่องของหนังเพราะควมตั้งใจของคนทำคงมีเท่านี้ และหนังก็ตั้งต้นยึดเค้าโครงเดิมจากเรื่องจริงซึ่งขยับเติมแต่งไม่ได้มากเท่ากับอีกเรื่องที่หยิบมาเทียบ

และกลายเป็นว่าความเพลิดเพลินหลักๆ อีกอย่างนอกจากภาพที่เห็นบนจอมันเกิดจากคำถามที่เกิดขึ้นมาแทบทั้งเรื่องว่าถ่ายขนาดนี้นี่ต้องกี่เทคกันวะ? แล้วพวกมึงไม่หนาวไม่ป่วยไข้กันทั่วทั้งกองเหรอ? และถ้ามีฉากไหนที่เผลอวางตัวเองไปอินกับตัวของพระเอก Leonardo DiCaprio ก็ไม่ใช่เพราะฉากอารมณ์ความโกรธแค้นโศกเศร้าอาลัยลูกชายที่เป็นเรื่องหลัก(ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่เชื่อตั้งแต่แรกว่ามันเป็นพ่อลูกกันจริงๆ จนเกิดความสงสัยอยู่ตลอดว่ามันเป็นพ่อลูกกันจริงๆ มั้ย? ก็หน้าตาราศีไม่ยักกะมีเค้าโครงกันเลย) เพราะถึงเฮียลีโอแกจะเล่นไล่ขยายระดับอารมณ์ทนทุกข์เจ็บปวดหนักเบาได้ถึงขีดขั้นขนาดไหน แต่เมื่อหนังผลักอารมณ์ตัวละครให้สุดไปทางเดียวเกินไปทำให้การแสดงมันขาดความซับซ้อนตามไปด้วย ด้วยเนื้อเรื่องแล้วการที่หนังจะเสิร์ฟแต่อารมณ์ทางนี้ก็ไม่ได้ผิดตรรกะมนุษย์จนแบนแต๊ดแต๋หรอก แค่เราไม่อินกับตัวละครที่มันไม่ได้ทำให้พล็อตแก้แค้นที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ในเรื่องนี้ให้มีมิติดีงามมากขึ้นได้เท่านั้นเอง แต่จะอินกับความเจ็บปวดจากบาดแผลและความหนาวเย็นทุกข์ทรมานจากหิมะมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเรากลับไม่ได้รู้สึกลุ้นว่าพระเอกมันจะรอดมั้ยวะ มันจะแก้แค้นสำเร็จป่าวนะ เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าหนังต้องพาพระเอกให้รอดเพื่อถึงฉากจบจนได้ ก็รอลุ้นแต่ว่าหนังจะกล้าพอให้พระเอกมันเสียขาเสียแขนบ้างรึป่าว..แต่ก็ไม่มี ไอ้พวกฉากเสี่ยงตายหนีตายต่างๆ ก็เลยลดทอนความน่าลุ้นให้รอดลงไปโดยปริยาย อย่างที่มีคนว่าฉากคลำหลักเชือกไปซ่อนศพกลางพายุหิมะใน The Hateful Eight ที่ไม่ได้เน้นเป็นส่วนสำคัญของเรื่องอะไรเลยยังให้บรรยากาศที่ลุ้นระทึกได้มากกว่าเยอะ

(สปอยล์แอคชั่นนิดหน่อย) สุดท้ายก็ยังไม่มั่นใจว่าถ้าไม่ได้ดูโรง Imax แล้วภาพที่เห็นบนจอมันจะทำงานกับเราขนาดนี้มั้ยวะ แต่ที่ชอบมากคือการครีเอทฉาก อย่าง ควักพุงม้า และอีกหลายๆ ฉากการเอาตัวรอด ซึ่งสนุกกับการที่ต้องเห็นเฮียแกทำโน่นนี่แบบทุ่มเทกายใจไม่ห่วงสังขารอันตรายแบบสุดๆ คือสนุกในความรู้สึกแบบเอาตัวเราเองไปอยู่ในเซ็ตตอนที่ถ่ายทำด้วยน่ะแล้วเห็นความพยายามที่แกทำว่าดินเข้าปาก กินของสดโน่นนี่แล้วหลังคัตจะเป็นยังไง มันปนขำทะแม่งๆ ดี และที่ชอบและต้องชมโดยไม่ต้องสงสัยเลยคือฉากแอคชั่นทั้งหลายที่หวาดเสียวดูเพลินมากๆ โดยเฉพาะฉากเซ็ตอัพลองเทคและฉากไคลแม็กซ์สู้กันตัวต่อตัวที่เดือดพล่านท่ามกลางหิมะหนาวเย็นนั่นน่ะ ชอบจังหวะช็อตนิ้วขาดมากๆ ที่มาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว แต่ก็เสียดายช็อตมีดปักกลางมือพระเอกที่ทะลุจนเลือดท่วมแล้ว เฮียลีโอแกยังใช้มือนั้นลากขาพี่ Tom Hardy (พี่ทอมแกเล่นดีมากเหมือนกันนะ) กลับมาแทงได้แบบไม่สั่นเทาอะไรเลยนี่เริ่มไม่เชื่อละ ไม่ละเอียดเลยอ่ะเฮีย งั้นเชียร์ Michael Fassbender ไม่ก็ Eddie Redmayne ให้ได้อีกตัวดีกว่า จังหวะนั้นความคิดมันก็ย้อนกลับไปฉากที่ชอบที่สุดถ้าวัดระดับความอินเศร้า ไม่ใช่ฉากที่เฮียลีโอแกลงทุนทุรนทุรายหรือถ่ายทอดความอาลัยอาวรณ์คิดถึงลูกเมียที่พาให้เศร้า แต่เพราะการแสดงที่ถ่ายทอดความโกรธพุ่งพล่านเพื่อปกป้องลูกจากผู้รุกรานอาณาเขตของแม่หมีกริซลี่ได้สมจริงน่าเกรงกลัวมากๆ ขณะเดียวกันก็ทำให้เชื่อในความรักความเป็นห่วงที่แม่หมีมีให้ลูกหมี จนถึงตอนที่ถูกยิงเลือดไหลนองนี่มันน่าเห็นใจจริงๆ ทั้งด้วยน้ำเสียงที่ครวญครางและแววตาที่ผสานความเจ็บปวดและอาลัยอาวรณ์ได้เศร้าสมจริงมากๆ ลูกๆ หมีตอนที่วิ่งมาดูแม่ล้มพับนอนตายก็ดูเวทนาน่าสงสารจับใจ ที่เขียนๆ ดูตอแหลมาเนี่ยพูดจริงๆ ว่าภายในฉากเดียวในมุมความรู้สึกของแม่หมีนั้นมันเศร้ายิ่งกว่าตอนเฮียลีโอแกเห็นลูกชายโดนฆ่าตายแล้วโกรธตัวสั่นยิงฟันตาเหลือกอีกแหนะ งั้นขอประกาศมอบออสการ์ส่วนตัวหนึ่งเดียวให้แม่หมีแทนเฮียลีโอเลยละกัน

- And the Oscar goes to the memorable grizzlies’ mom.
- RIP
- For the bear?
- No, for DiCaprio ;D

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7.5
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
8.3
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
1 กุมภาพันธ์ 2559 12:43:17

The Revenant จงอย่ายอมแพ้ตราบที่ยังมีลมหายใจ
ถือเป็นเรื่องแปลกสำหรับบ้านเราที่หนังดราม่า การันตีด้วยการเข้าชิงรางวัลออสการ์มากที่สุดถึง 12 สาขา ได้มีการนำมาฉายในโรง IMAX บ้านเราด้วย ซึ่งตัวหนังแอดมินขอไม่พูดอะไรมากอีกเช่นเคย เพราะทุกคนคงเคยดูตัวอย่างบ้างแล้ว ซึ่งคงจะทราบพล๊อตหนังคร่าวๆ แล้วว่าเป็นยังไง แอดมินบอกได้แค่ ถึงเนื้อหามันจะไม่มีอะไรมาก แต่แอคติ้งของเฮียลีโอจะสะกดคนดูให้เอาใจช่วยแกตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเลยทีเดียว แอดมินแอบหวังให้เฮียแกได้ออสการ์ไปครองซักทีนะในปีนี้ ‪#‎เปิดโหมดสงสารแกเต็มที่‬


งานด้าน IMAX ถือเป็นอะไรที่โคตรจะพีคมาก เรื่องแรกคือ ภาพ ใครจะไปคิดว่า หนังดราม่าแบบนี้จะมีการถ่ายภาพที่ให้ภาพออกมามีคุณภาพมากกว่านี้ ถ้าใครเคยชม Gravity ในโรง IMAX คงจำได้ว่า เรื่องนี้ภาพคมชัดและภาพใสเวอร์จนขนลุก The Revenant ก็เช่นกัน งานด้านภาพโดนเด่นมาก คมมาก จัดแสงถ่ายออกมาสวยมาก สมแล้วที่เข้าชิงรางวัลออสการ์


ส่วนด้านเสียง หลายคนอาจจะสงสัยว่า หนังเรื่องนี้มีแต่ดราม่า ด้านเสียงจะไม่มีอะไรให้จดจำ แต่เปล่าเลย งานด้านเสียงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพเลยทีเดียว เสียงมีการมิกซ์ซาวด์ออกมาได้ชัดเจน คมชัด ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในป่า แล้วได้ยินเสียงป่า เสียงต้นไม้ ลั่น เอี๊ยดอ๊าด สมจริง ฉากพายุหิมะ ฉากที่เฮียลีโอแกต้องลุยๆเพื่อเอาชีวิตรอด IMAX จัดเต็มกับเสียงมาก

สรุปแล้ว ใครเป็นคอหนังรางวัล หรือหนังดราม่า แทนที่ปกติจะได้ชมหนังแนวๆ นี้ในโรงปกติ แอดมินขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาชมหนังรางวัลในระบบ IMAX ซักครั้ง แล้วคุณจะหลงรักในตัวหนังมากกว่าที่เคยชม และทิ้งท้ายว่าใครที่ดูจบแล้วระวังหิว "ลาบเลือด" ด้วยนะครับ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
9.5
กราฟฟิก
9.5
คะแนนเฉลี่ย
9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)