0 %E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99+-+Mon+Love+Sip+Meun

มนต์เลิฟสิบหมื่น - Mon Love Sip Meun

เข้าฉาย 23 กรกฎาคม 2558
ผู้ชม : 16,296
ผู้กำกับ : ปริภัณฑ์ วัชรานนท์
ความยาวหนัง : 100.00
Text Size

หนัง Mon-Love-10-Muen หรือชื่อไทยว่า มนต์เลิฟสิบหมื่น เรื่องราวความรักอลเวงครื้นเครงด้วยเสียงเพลงเริ่มต้นขึ้นเมื่อไอ้หนุ่มบ้านนาคนซื่อชื่อ “ไอ้คล้าว” (นิว-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต) ถึงคราวต้องเดินหน้าชนกับ “ทองก้อน” (ปั๋ง-ประกาศิต โบสุวรรณ) ว่าที่พ่อตาขาโหดที่ยอมยก “ทองกวาว” (แพรว-เฌอมาวีร์ สุวรรณภานุโชค) ลูกสาวคนสวยให้คล้าวก็ได้ แต่มีข้อแม้เดียวว่า “ข้าคิดค่าสินสอดสิบหมื่น!!!”คล้าวถึงกับผงะแทบหงายหลัง เขาจะหาเงินตั้งสิบหมื่นมาจากไหนกันและแล้วก็ได้เวลาออกโรงของ “ไก่สู้ฟัด” เพื่อนซี้พันธุ์ไก่ชนที่จะซัดไม่ถอยสอยไม่เลี้ยง ช่วยกำจัด “ไอ้เจิด” (ปูไข่-พงศ์สิรี บรรลือวงศ์) เสี้ยนหนามศัตรูหัวใจของพี่คล้าวอย่างสุดพลังไก่และยังมีหัวเรี่ยวหัวแรงอย่าง “ไอ้แว่น” (แจ๊ส ชวนชื่น) เพื่อนซี้พันธุ์กวน นักพากย์หนังลีลาสุดเกรียนเซียนตัวย่อที่มีลูกล่อลูกชนไม่แพ้ไก่ และกำลังอินเลิฟบอกรักฝากใจอยู่กับ “บุปผา” (บูม-ชญาภา พงศ์สุภาชาคริต) เพื่อนรักของทองกวาวสมทบด้วย “บุญเย็น” (สน-สนธยา ชิตมณี) บาร์เบอร์ช่างตัดแหลก รวมทั้งพลพรรคสุดเก๋า “วงบรรเลงบันลือ” ที่จะรวมหัวกันวางแผนหาทางช่วยเหลือไอ้คล้าวเพื่อนรักอย่างสุดพลังคนและทำให้ “มนต์เลิฟสิบหมื่น” ของ “พี่คล้าว-น้องทองกวาว” ได้สมรักสมรสกันจริงๆ ซักกะที

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

31 กรกฎาคม 2558 18:41:34

มนต์เลิฟสิบหมื่น (ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ / Thailand / 2015)

ถึงจะโอเคตั้งแต่แรกว่าพระเอกหน้าตาไม่เหมาะกับมนุษย์ในเขตเส้นละติจูดชนบทไทยก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะชื่อเรื่อง ‘มนต์เลิฟสิบหมื่น’ ก็บอกถึงการฟิวชั่นไทย-ไม่ไทยกับยุคสมัยอยู่แล้ว  แต่แปลกใจที่เคมีพระเอก-นางเอกไม่เข้ากันเท่าไหร่  ไม่เหมือนที่เคยดูใน MV เพลง ภูมิแพ้กรุงเทพ  อาจจะเป็นเพราะว่าฐานะตัวละครมันต่างกัน  นิว-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต ที่หน้าตาลูกครึ่งเป็นหนุ่มกรุงเทพใน MV เพลงดัง กับบทบาทหนุ่มบ้านนอกยากจนในหนังมันมีขอบเขตของความเชื่ออยู่  เราเชื่อว่านิวเป็นไอ้คล้าวที่รักกับทองกวาวแต่กลับไม่รู้สึกตามเท่าไหร่  ในขณะที่ทั้งเชื่อทั้งรู้สึกว่านิวเป็นหนุ่มจากกรุงเทพที่มาหลงรักสาวต่างจังหวัดใน MV ได้ไม่ยาก  ส่วน แพรว-เฌอมาวีร์ สุวรรณภานุโชค ในบททองกวาวสาวบ้านทุ่งก็ไม่ได้สาดเสน่ห์เล่นงานใจเราให้ตุ้มต่อมได้เหมือนที่เคยดูใน MV  นักแสดง+ตัวละครที่น่าสนใจที่สุดตกมาอยู่ที่ ปูไข่-พงศ์สิรี บรรลือวงศ์ ที่ส่วนตัวยังไม่เคยเห็นในบทบาทร้ายตลกดูโง่ๆ แบบนี้ (ล่าสุดก็บทเลวๆ ใน แผลเก่า ของ หม่อมน้อย) และน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นตัวละครในหนังเก่าๆ ก็ดูเข้าท่ากับหนังย้อนยุคสมัยแบบนี้ดี  และจังหวะการรับส่งบทตลกก็พอดีโดยเฉพาะฉากเต้นเพลงสิบหมื่นที่แย่งซีนชวนขำได้เป็นธรรมชาติ (ฉากที่เห็นๆ กันในตัวอย่างหนังนั่นแหละ)  ขณะที่ แจ๊ส ชวนชื่น นั้นเด่นเกินไปจนกลบ บูม-ชญาภา พงศ์สุภาชาคริต คู่แสดงของตัวเอง  ซึ่งก็คงผิดที่บูมเองด้วยที่ไม่โดดเด่นพอจะพ้นเงาตลกแย่งซีนของแจ๊สไปได้  จนรู้สึกว่าตัวละครบุปผาของบูมกลายเป็นตัวละครประกอบไปเลยทั้งที่ก็เป็นพระ-นางคู่รอง

การเล่นมุกไม่สนยุคสมัยในเรื่องนี้ทำให้นึกถึง พี่มาก..พระโขนง (บรรจง ปิสัญธนกุล / 2013) แต่ในพี่มากฯจะมีจังหวะเข้าออกของมุกและการจัดวางมุกที่ลื่นไหลกว่ามาก  ไม่เหมือนกับเรื่องนี้ที่ไหลหลากอย่างกับน้ำป่าหน้าฝนจนน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงอยากเล่นอะไรก็เล่นไม่สนตรรกะใดๆ ยิ่งกว่า  การที่คนทำให้ค่ามุกตลกคาเฟ่ในการอุ้มหนังทั้งเรื่อง มันไม่ได้เลวร้ายเลยจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับหนังทั้งเรื่องที่ยิ่งพยายามเสิร์ฟกลับยิ่งทำให้มุกตลกคาเฟ่ดูไร้ราคา เป็นหนังที่ใช้มุกตลกได้ฟุ่มเฟือยมากที่สุด เสียงเอ็ฟเฟ็กต์เกลื่อนที่สุด และสกอร์เพลงรกที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ทำให้หนังสนุกได้อยู่บ้าง หมายความอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าหากไม่มีมุกตลก เสียงเอ็ฟเฟ็กต์ หรือสกอร์เพลงไว้เกลื่อนกลาดขนาดนี้ บางทีหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องก็คงไม่มีอะไรให้สนุกเลย  โมเดลที่คิดมาประมาณว่า ‘มันต้องขำสักมุกแหละน่า’ หรือ ‘มันต้องขำทุกมุกนั่นแหละ’ กลับทำลายความน่าจดจำในส่วนที่ควรจะต้องขำไปเสียหมด ในมุมบวกก็กำลังจะบอกว่าความเกลื่อนกลาดของส่วนประกอบพวกนี้มันน่าสนใจดี และเผลอๆ อาจจะเป็นความน่าสนใจเดียวจากหนังทั้งเรื่องให้เราได้ขบคิดกับมัน

ส่วนตัวแล้วเราเอ็นจอยกับมุกอักษรย่อ  มุกตีนไก่กดไลค์  มุกตัวละครประหลาดเต้นแย่งซีนเทือกนี้นะเพราะเข้าใจได้ว่าหนังวางตำแหน่งตัวเองไว้ตรงไหน  แต่พอมันเริ่มเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็ไม่เหลือเค้าความหลักแหลมของหนังตลกที่ฉลาดเล่าฉลาดเลือกให้ตลกได้  ไม่ใช่การยัดเยียดเทกระจาดมาทุกนาที  ขำบ้างไม่ขำบ้าง  การเอานักพากย์หนังมาเล่นก็น่าจะขยี้ให้ตลกได้เบอร์ใหญ่มากกว่านี้  แล้วพอนึกถึงตลกร้านหมูกระทะมันก็แทบจะไม่ต่างกัน  ถ้าทรีตเป็นหนังนักเรียนนักศึกษาทำส่งประกวดคงจะสนุกกับหนังกว่านี้มากหรืออาจจะถึงขั้นสนุกมากๆ ไปเลย  แต่พอเราทรีตเป็นหนังฉายโรงเก็บเงินคนดูเป็นร้อยสองร้อยบาทมันไม่มีความไม่ชำนาญในการใช้เครื่องมือและวิธีการทางภาพยนตร์มาเป็นข้ออ้าง  และความใสซื่อในแบบหนังนักเรียนก็ใช้ไม่ได้ผลกับการพล่ามอะไรมากมายของหนังที่ผู้ใหญ่ผลิตผ่านกระบวนการอย่างมืออาชีพออกมาฉายโรง  มันยังดีกว่านี้ได้เช่นเดียวกับที่เราอยากจะให้หนังไทยทุกเรื่องมันดีขึ้น  แต่อย่างน้อยตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ ‘มนต์เลิฟสิบหมื่น’ ก็ยังไม่ใช่หนังที่แย่ที่สุดสำหรับเรา  ที่ดีมากไปกว่านั้นเรายังสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากหนังเรื่องนี้  และสำหรับใครที่ชอบหนังตลกแนวนี้หลังจากที่ได้ดูตัวอย่างหนังแล้วก็ไม่ต้องชั่งใจที่จะซื้อตั๋วเข้าไปดู  เพราะสุดท้ายมันก็ตลกใครตลกมันอยู่ดี...

ปล.ชอบฉากเพลงสิบหมื่นนะ..สนุกดี และพี่กล้าเล่นมุกไก่ต่างๆ นานามากโดยไม่แคร์วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์เลย..ชอบนะนับถือ ชอบแค่นี้แหละ แต่ถ้าเป็นซิทคอมทีวีจะชอบกว่านี้มาก

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
5.5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
4.5
ฝีมือนักแสดง
6.5
กราฟฟิก
5.5
คะแนนเฉลี่ย
5.6
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)