Pawn Sacrifice - เดิมพันชาติ รุกฆาตโลก
เข้าฉาย 24 กันยายน 2558
ผู้ชม : 7,267
ผู้กำกับ
: Edward Zwick (เอ็ดเวิร์ด ซวิค)
ความยาวหนัง
: 114.00
Text Size
หนัง Pawn Sacrifice หรือชื่อไทยว่า เดิมพันชาติ รุกฆาตโลก เรื่องราวเกี่ยวกับเซียนหมากรุกชาวอเมริกันผู้โด่งดังอย่าง บ็อบบี้ ฟิสเชอร์ (โทบี้ แม็กไกวร์ จากหนังชุด Spider-Man) ในช่วงเวลาที่เขาต้องเตรียมตัวเพื่อเข้าแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งสำคัญกับคู่แข่งชาวรัสเซียระดับตำนานอย่าง บอริส สแปสกี้นอกจาก 'โทบี้ แม็กไกวร์' ภาพยนตร์ยังยกระดับด้วยการได้เหล่านักแสดงคุณภาพอย่าง 'ลีฟ ชรีเบอร์' มารับบทเป็น บอริส สแปสกี้ ร่วมด้วย 'ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด' (Blue Jasmine,An Education) และ 'ลิลลี่ เรพ' (American Horror Story) ภาพยนตร์เป็นผลงานการกำกับโดย 'เอ็ดเวิร์ด ซวิค' ผู้กำกับระดับแนวหน้าอีกคนหนึ่งของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด เจ้าของผลงานอย่าง Blood Diamond และ The Last Samurai อีกด้วย!
Pawn Sacrifice (Edward Zwick / USA / 2014)
นานแล้วนะที่ไม่ได้เห็น Tobey Maguire ปล่อยของกับบทเสียสติบ้าคลั่งแบบนี้ ล่าสุดก็ตอน Brothers (Jim Sheridan / USA / 2009) ถึงในเรื่องนี้แรงบ้าจะอ่อนกว่าบทผัวที่เมียได้กับน้องชายอยู่เยอะแต่ตัวละครที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์นี้ก็มีมิติที่น่าสนใจพอควรให้ได้โชว์ของ กับบทของ Bobby Fischer นักหมากรุกในตำนานประวัติศาสตร์สงครามเย็นผู้ทะเยอทะยานที่จะเอาชนะคู่แข่งแชมป์โลกชาวรัสเซีย Boris Spassky (Liev Shrieber) เพื่อขึ้นแท่นแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดให้ได้ แต่ทว่าเขาได้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของประเทศ การต่อสู้กับอีโก้และความประสาทแดกของตัวละครทำให้ Tobey Maguire ได้โชว์ของอยู่บ้าง ถึงบทหนังจะไม่ได้เอื้อให้โชว์ของขนาดที่จะให้ได้ฟินกับการแสดงแบบนอนตายกันไปข้างหนึ่งจนกลายเป็นมาสเตอร์พีซน่าจดจำอะไรขนาดนั้น แต่อดีตสไปเดอร์แมนก็ถ่ายทอดบทบาทออกมาได้มีชีวิตดี แถมยังเป็นบทที่อายุน้อยกว่าตัวเองมากแต่คนดูก็คงไม่แปลกใจอะไรก่อนจะพบว่าเฮียแกอายุ 40 แล้ว เพราะเฮียแกหน้าเด็กมากจริงๆ
ในส่วนของบทหนังและการกำกับไม่หวือหวาอะไรมากมาย ดูเรียบๆ ธรรมชาติซึ่งสามารถใส่ของและตัดแต่งเติมได้มากกว่านี้และให้ดีกว่านี้ได้ เห็นได้ชัดคือกราฟฟิกทิศทางหมากบนกระดานที่เอามาใช้เล่าความนึกคิดของพระเอกในช่วงแรกๆ แล้วหลังจากนั้นก็หายไปเลยและกลายเป็นจุดหวือหวาที่ไม่เข้าพวก แต่พอไม่มีมันก็ดีในมุมที่มันให้ความรู้สึกในบรรยากาศสมจริง คือถ้าไปอยู่ในมือของคนทำคนอื่นพาร์ตแข่งหมากรุกอาจจะถูกทรีตให้สนุกสนานหรูหราน่าตื่นตาตื่นใจด้วยช็อตด้วยการตัดต่อด้วยจังหวะการพลิกแพลงของบทที่มากกว่ากราฟฟิกที่เห็นนี้ก็ได้ หรือพาร์ตอาการทางจิตของพระเอกอาจจะถูกผลักให้ใหญ่ให้ชัดมากกว่านี้ แต่สำหรับ Edward Zwick ผู้กำกับหนังดังอย่าง Legends of the Fall (1994), Glory (1989), The Last Samurai (2004), Blood Diamond (2006), Defiance (2008) และ Love & Other Drugs (2010) เขาเลือกที่จะสังเกตและจับจ้องตัวละครจากสายตาภายนอกให้ได้ค่อยๆ ซึมลึกเข้าไปข้างใน สร้างตัวละครที่คาด ไม่ถึงเดาไม่ได้และคนดูก็ค่อยๆ เกิดความหวาดหวั่น สงสัย และเกลียดชังสลับกับความสงสารจนเข้าใจตัวละครได้ในท้ายที่สุด อย่างฉากที่พระเอกหนีนักข่าวจากสนามบินและโทรหาพี่สาวนั้นมันหดหู่มากๆ ความเห็นอกเห็นใจนักหมากรุกที่สติสัมปัชชัญญะเริ่มบกพร่องมันพรั่งพรูในระดับที่เสียน้ำตาได้ง่ายๆ
ความดีงามอีกอย่างหนึ่งคือในส่วนของตัวละครที่ตามโครงสร้างแล้วดูเหมือนจะเป็นตัวร้ายอย่าง Boris Spassky (Liev Shrieber) ผู้กำกับก็เลือกที่จะไม่ตัดสินตัวละครให้ดูเป็นปฏิปักษ์กันสุดขั้วเหมือนหนังหลายเรื่องมักจะมองตัวละครฝั่งตรงข้ามแบบ Stereotype จนไม่เหลือความกลมกลึงของความเป็นมนุษย์ ซึ่งลุงผู้กำกับแกก็มองในมุมที่ตัวละครคู่แข่งทั้งสองตัวเป็นเซียนหมากรุกคนหนึ่งที่มีหมากรุกเป็นชีวิตจิตใจและก็มาเจอกันเพื่อแข่งหมากรุกให้ชนะ ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติแต่เพื่อพิสูจน์ความเก่งกาจและรักษาศักดิ์ศรีของตัวเขาเอง ไม่ได้มองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองวายร้ายที่ต้องมาสาดสงครามใส่กันซึ่งมันดีมากๆ ทำให้หนังที่มีฉากหลังเป็นประวัติศาสตร์สงครามที่ชัยชนะของประเทศมันส่งกลิ่นความทนงรักชาติอยู่ตลอดเวลากลับกลายเป็นคานดีดตีกลับชาตินิยมอเมริกันในตอนท้ายให้ฉุกคิดได้อย่างนุ่มเนียน กระแสชาตินิยมที่ไม่ได้เกิดมาจากคนที่ทำเพื่อชาติแต่เพื่อตัวเขาเองล้วนๆ มันจิกกัดให้เจ็บแปลบไปได้สองทาง
คือไม่ใช่แค่ความเป็นชาตินิยมที่ถูกตีกลับอย่างเดียว Bobby Fischer ที่เป็นตัวแทนของคนที่ทะเยอทะยานจนหมกมุ่นเพื่อเอาชนะนั้นถูกอัดแรงยิ่งกว่าด้วยสภาวะหมาหัวเน่าอันเลวร้าย และน่าเจ็บช้ำ รัฐอุ้มชูคนที่ทำประโยชน์ให้รัฐ แต่เมื่อในวันหนึ่งทำความเสียหายต่อรัฐ บุญคุณที่ผ่านมาเป็นโมฆะและถูกจัดการตามกลไกกฎหมาย จุดนี้ไม่ได้จะฟันธงว่าหนัง(ซึ่งสร้างจากเรื่องจริง)กำลังชี้ให้เห็นว่ารัฐหักหลังนะ แต่ที่น่าเศร้าไปมากกว่านั้นคือในมุมของแชมป์หมากรุกระดับโลกผู้สร้างชื่อและความสุขแก่มวลมหาประชาชนแห่งสหรัฐกลับมีจุดจบที่น่าเศร้าจากหน้ามือเป็นหลังตีนในตอนท้าย ความยุติธรรมที่ถูกกฎหมายตัดสินกลายมาเป็นความอยุติธรรมกลายๆ ความฝันในชัยชนะที่เคยทำได้สำเร็จไม่มีประโยชน์ที่จะร้องขอลีมูซีน หรือน้ำส้มคั้นของโปรดในบ้านเกิดเมืองนอนอีกต่อไป ทิ้งไว้แต่ความทรงจำอันดีงามระหว่างหญิงขายตัวในคืนเปิดซิง
อดีตแชมป์โลกหมากรุกในยุคสงครามเย็นกลายเป็นอัจฉริยะสติพร่อง กลายเป็นคนเร่ร่อนทั้งที่ความฝันในเด็กในวันนั้นมันสำเร็จแล้วแท้ๆ แต่ในความหม่นเศร้าในท้ายเรื่องมันยังคงงดงามและยิ่งงดงามมากๆ เมื่อลองมองในมุมที่ว่าความฝันที่สำเร็จของผู้ใหญ่คนหนึ่งมันก็ยังเป็นความฝันที่สำเร็จของเด็กคนหนึ่งที่มุ่งมั่นจนเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้เช่นเดียวกัน และเมื่อเรามองเห็นรอยยิ้มของเด็กชาย Bobby Fischer ผุดแฝงขึ้นมาที่มุมปากและสายตาที่ไม่ยี่หระของเขาในวันที่เขาได้รับชัยชนะ
สรุปผลวิจารณ์หนัง