0 Sicario+-+%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%86%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94

Sicario - ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด

เข้าฉาย 8 ตุลาคม 2558
ผู้ชม : 12,944
ผู้กำกับ : Denis Villeneuve (เดนนิส วิลล์เนิฟ)
ความยาวหนัง : 121.00
Text Size

หนัง Sicario หรือชื่อไทยว่า ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด ''Sicario'' ภาพยนตร์ที่ นำเสนอเรื่องราวของตำรวจหญิง เคท มาร์ซี่ (เอมิลี่ บลันท์) เธอเข้าร่วม ภารกิจแกะรอยพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของเม็กซิโกที่สุดแสนอันตราย ร่วมทีมกับทหารรับจ้างหนุ่ม อเล็กฮานโดร(เบเนซิโอ เดล โตโร่) ภารกิจครั้งนี้นอกจากเธอจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นตายแล้ว เธอยังถูกทดสอบทางจริยธรรมและศีลธรรมจนไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกต่อไป


Sicario : After rising through the ranks of her male-dominated profession, idealistic FBI agent Kate Macer (Emily Blunt) receives a top assignment. Recruited by mysterious government official Matt Graver (Josh Brolin), Kate joins a task force for the escalating war against drugs. Led by the intense and shadowy Alejandro (Benicio Del Toro), the team travels back-and-forth across the U.S.-Mexican border, using one cartel boss (Bernardo Saracino) to flush out a bigger one (Julio Cesar Cedillo).

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

17 ตุลาคม 2558 02:44:13

Sicario (Denis Villeneuve / USA / 2015)

Denis Villeneuve ผู้กำกับเจ้าของเดียวกับ Polytechnique (Canada / 2009), Incendies (Canada / 2010) และหนังต่างสัญชาติสองเรื่องที่เข้าฉายในปีเดียวกันอย่าง Enemy (Canada, Spain / 2013) และ The Prisoners (USA / 2013) ที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยกันมากที่สุด  ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นหนังต่างสัญชาติแต่ยังต่างขั้วในวิธีการเล่าและเนื้อหาที่ไกลกันไปคนละทาง  แต่ผู้กำกับก็สามารถใช้ความเก่งกาจในด้านการกำกับทำให้หนังที่เรื่องราวซึ่งดูไม่ค่อยแปลกใหม่อย่างหนังสืบสวนสอบสวนหักมุม  พลิกแพลงให้มีมีมิติพิลึกพิลั่นและลึกลับโดดเด่นอย่างน่าจดจำ  ด้วยความแม่นยำในการเล่าเรื่องราวผ่านบรรยากาศอันไม่น่าไว้วางใจที่ค่อยๆ ไต่ระดับจนถึงขีดขั้นที่ต้องอ้าปากค้างกับวิชวลและวิสัยทัศน์ชั้นเยี่ยม  จากนั้นชื่อของ Denis Villeneurve ก็กลายเป็นผู้กำกับเบอร์แรกๆ ที่คอหนังคอยติดตามผลงานอย่างใจจดจ่อ

สำหรับ Sicario ได้ฉายเปิดตัวด้วยการเป็นหนึ่งในหนังที่เข้าชิงรางวัล Palm d'Or ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดใน 2015 Cannes Film Festival ในปีนี้  และมันไม่ใช่หนังแอคชั่นฟอร์มยักษ์หรือฟอร์มเยอะที่กระหน่ำยิงระเบิดป๊อปคอร์นกระจาย  แต่เป็นหนังอาชญากรรมระทึกขวัญเนื้อดีซึ่งผู้กำกับมือดีอย่าง Denis Villeneuve ก็สามารถสร้างบรรยากาศความหวาดระแวงได้ยอดเยี่ยมมากๆ  อีกเช่นเคยหรือถ้าจะใช้คำว่าน่าทึ่งก็ว่าได้  เริ่มตั้งแต่เสียงระเบิดรุนแรงครั้งแรกในฉากต้นเรื่องของหนังที่บ่งบอกถึงการเผชิญอันตรายในหน้าที่ของตัวละครนางเอกจนมาถึงการมาของตัวละครลึกลับและภารกิจลับที่ไม่น่าไว้ใจ  จากนั้นก็เริ่มสร้างความหวาดระแวงได้ตลอดเส้นทางที่หนังดำเนินเรื่องไปซึ่งให้  บรรยากาศราวกับเรากำลังอยู่ในสงครามกลางเมือง  แม้กระทั่งฉากกิจวัตรครอบครัวพ่อแม่ลูกตำรวจสายส่งยาเม็กซิกันที่ไม่มีปีมีขลุ่ยของความรุนแรง  แต่ก็สร้างความหวาดระแวงได้ท่วมท้นกับพื้นที่ของฉากภายในและนอกบ้าน

และฉากขบวนรถข้ามฝั่งเขตแดนที่พาใจหายใจแป้วได้ตลอดทางกับการเล่นกับพื้นที่กว้างและแคบของอาณาเขตเมือง  ถนนและตรอกซอกซอย  ผ่านสายตาตัวละครในสภาวการณ์ไม่ปกติ  ผู้กำกับควบคุมบรรยากาศไว้ได้อยู่หมัด  สถานการณ์ถูกขับเคลื่อนไปด้วยบทสนทนาที่ส่วนของบทหนังเองก็ค่อยๆ ล่อนเปลือกตัวละครออกให้เห็นเนื้อในใสสะอาดแต่สัมผัสได้ถึงเมล็ดพิษสงซึ่งซ่อนไว้ใต้ชั้นเนื้อนั่นได้อย่างแยบยล  ผ่านการแสดงที่แสดงออกให้เห็นการไม่ไว้วางใจกันและกันซึ่งดึงความรู้สึกตึงเครียดและอารมณ์ตระหนกตกใจออกมาอย่างได้ผล  แค่รถวิ่งเหยียบลูกระนาดทำให้เรารู้สึกเท่ากับรถเหยียบกับระเบิดได้  ความหวาดระแวงปกคลุมไปทุกพื้นที่ความรู้สึก  เสมือนเราตระหนักว่ากำลังอยู่ในอาณาเขตอาชญากรรมที่ผู้คนพร้อมจะสาดกระสุนขว้างระเบิดใส่กันได้ตลอดเวลา  จนพามาถึงจังหวะที่ต้องกราดยิงกันก็ยังคาดไม่ถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง  และที่โดดเด่นที่สุดด้านวิชวลคือฉากบุกทลายอุโมงค์ขนลำเลียงยาที่ให้คนดูเห็นผ่านมุมมองภาพจากกล้องจับความร้อนและเป็นภาพแทนสายตาของตัวละคร  มันให้ความรู้สึกลุ้นไปกับสถาการณ์อย่างท่วมท้นทั้งความกดดันความหวาดระแวงที่ถาโถมเข้ามาด้วยบรรยากาศ  จัดได้ว่าเป็นฉากแอคชั่นสั่นประสาทที่มีเสน่ห์แปลกตามากๆ อีกฉากหนึ่งในโลกของหนังแนวเดียวกัน

เรื่องราวดำเนินไปด้วยการป้อนข้อมูลให้คนดูรู้ความเป็นไปเท่าที่นางเอกรู้  โดนหลอกเท่าที่นางเอกโดน  ให้ความรู้สึกร่วมเสมือนกับเราเป็นคนที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากท่ามกลางสภาวะกระอักกระอ่วนเช่นเดียวกับนางเอก  และนี่คือหนึ่งในบทบาทและการแสดงที่ดีที่สุดของ Emily Blunt  เช่นเดียวกันกับ  Benicio del Toro ซึ่งถึงแม้ทั้งสองนักแสดงจะไม่ได้เข้าซีนเชือดเฉือนกันแบบจัดเต็มตลอดเรื่อง  แต่เพียงไม่กี่ฉากที่ปะกันบนจอนั้นก็ยอดเยี่ยมและน่าจดจำสุดๆ  แถมยังมี Josh Brolin นักแสดงฝีมือเก๋ามาเสริมทัพในบทตัวละครที่กำกึ่งในความไม่น่าไว้วางใจซึ่งสร้างความหวาดระแวงคูณสองเข้าไปอีก

อาชญากรรมไม่เคยเว้นชีวิตใคร  ไม่ว่าจะพ่อที่มีเมียมีลูก  ผู้รักษาสันติราษฎร์หรือใครก็ตามที่เข้ามาพัวพันก็เท่ากับว่าได้แขวนชีวิตตัวเองและคนใกล้ชิดไว้กับวัฏจักรความรุนแรงเหล่านี้  การอ้างความบริสุทธิ์ของลูกเมียไม่มีความหมาย  ซึ่งบทหนังก็แอบหยอดเบื้องลึกความรู้สึกตัวละครนี้ไว้ได้อย่างมีรสนิยมและถ่ายทอดผู้ที่เคยถูกกระทำจนกลายมาเป็นความแค้นอย่างเข้าอกเข้าใจ  ปืนและความรุนแรงไม่ได้เลวร้ายหรือน่ากลัวด้วยตัวของมันเองได้  เมื่ออยู่ในมือของคนที่คลั่งแค้นจึงเกิดนองเลือด  กลับกันเมื่ออยู่ในมือของผู้มีจริยธรรมแยกแยะเหตุและผลได้จึงไม่เกิดจากเหตุบันดาลโทสะโดยง่าย  ปืนจึงสมควรลั่นใส่กบาลเฉพาะคนที่สมควรตายเท่านั้น  ในท่าทีตัวละครที่มีความคิดประมาณว่า ‘มึงไม่โดนอย่างกูมึงไม่รู้หรอกว่ากูรู้สึกยังไง’ นั้น  หนังได้สำรวจขีดขั้นความสาแก่ใจจากการแก้แค้นบนความยุติธรรมที่ย้อนแย้งกับชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้อย่างรุนแรงในฉากการแก้แค้นอาหารมื้อสุดท้าย  จนนำมาสู่ช็อตพิพากษาในตอนท้ายที่ซ่อนความหมายใต้บรรทัดได้อย่างชาญฉลาดและทรงพลัง  และที่แน่ๆ เรื่องราวอาชญากรรมการค้ายามันขยายขอบเขตความเป็นไปได้ของมุมมองความเลวร้าย  ความฉกาจ  และความซับซ้อนของกระบวนการอาชญากรรมในหัวเราไปไกลเลยทีเดียว

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7.5
การดำเนินเรื่อง
8.5
ดนตรีประกอบ
10
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
8.8
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)