Sicario - ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด
หนัง Sicario หรือชื่อไทยว่า ทีมพิฆาตทะลุแดนเดือด ''Sicario'' ภาพยนตร์ที่ นำเสนอเรื่องราวของตำรวจหญิง เคท มาร์ซี่ (เอมิลี่ บลันท์) เธอเข้าร่วม ภารกิจแกะรอยพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของเม็กซิโกที่สุดแสนอันตราย ร่วมทีมกับทหารรับจ้างหนุ่ม อเล็กฮานโดร(เบเนซิโอ เดล โตโร่) ภารกิจครั้งนี้นอกจากเธอจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นตายแล้ว เธอยังถูกทดสอบทางจริยธรรมและศีลธรรมจนไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกต่อไป
Sicario : After rising through the ranks of her male-dominated profession, idealistic FBI agent Kate Macer (Emily Blunt) receives a top assignment. Recruited by mysterious government official Matt Graver (Josh Brolin), Kate joins a task force for the escalating war against drugs. Led by the intense and shadowy Alejandro (Benicio Del Toro), the team travels back-and-forth across the U.S.-Mexican border, using one cartel boss (Bernardo Saracino) to flush out a bigger one (Julio Cesar Cedillo).
Sicario (Denis Villeneuve / USA / 2015)
Denis Villeneuve ผู้กำกับเจ้าของเดียวกับ Polytechnique (Canada / 2009), Incendies (Canada / 2010) และหนังต่างสัญชาติสองเรื่องที่เข้าฉายในปีเดียวกันอย่าง Enemy (Canada, Spain / 2013) และ The Prisoners (USA / 2013) ที่คนไทยน่าจะคุ้นเคยกันมากที่สุด ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นหนังต่างสัญชาติแต่ยังต่างขั้วในวิธีการเล่าและเนื้อหาที่ไกลกันไปคนละทาง แต่ผู้กำกับก็สามารถใช้ความเก่งกาจในด้านการกำกับทำให้หนังที่เรื่องราวซึ่งดูไม่ค่อยแปลกใหม่อย่างหนังสืบสวนสอบสวนหักมุม พลิกแพลงให้มีมีมิติพิลึกพิลั่นและลึกลับโดดเด่นอย่างน่าจดจำ ด้วยความแม่นยำในการเล่าเรื่องราวผ่านบรรยากาศอันไม่น่าไว้วางใจที่ค่อยๆ ไต่ระดับจนถึงขีดขั้นที่ต้องอ้าปากค้างกับวิชวลและวิสัยทัศน์ชั้นเยี่ยม จากนั้นชื่อของ Denis Villeneurve ก็กลายเป็นผู้กำกับเบอร์แรกๆ ที่คอหนังคอยติดตามผลงานอย่างใจจดจ่อ
สำหรับ Sicario ได้ฉายเปิดตัวด้วยการเป็นหนึ่งในหนังที่เข้าชิงรางวัล Palm d'Or ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดใน 2015 Cannes Film Festival ในปีนี้ และมันไม่ใช่หนังแอคชั่นฟอร์มยักษ์หรือฟอร์มเยอะที่กระหน่ำยิงระเบิดป๊อปคอร์นกระจาย แต่เป็นหนังอาชญากรรมระทึกขวัญเนื้อดีซึ่งผู้กำกับมือดีอย่าง Denis Villeneuve ก็สามารถสร้างบรรยากาศความหวาดระแวงได้ยอดเยี่ยมมากๆ อีกเช่นเคยหรือถ้าจะใช้คำว่าน่าทึ่งก็ว่าได้ เริ่มตั้งแต่เสียงระเบิดรุนแรงครั้งแรกในฉากต้นเรื่องของหนังที่บ่งบอกถึงการเผชิญอันตรายในหน้าที่ของตัวละครนางเอกจนมาถึงการมาของตัวละครลึกลับและภารกิจลับที่ไม่น่าไว้ใจ จากนั้นก็เริ่มสร้างความหวาดระแวงได้ตลอดเส้นทางที่หนังดำเนินเรื่องไปซึ่งให้ บรรยากาศราวกับเรากำลังอยู่ในสงครามกลางเมือง แม้กระทั่งฉากกิจวัตรครอบครัวพ่อแม่ลูกตำรวจสายส่งยาเม็กซิกันที่ไม่มีปีมีขลุ่ยของความรุนแรง แต่ก็สร้างความหวาดระแวงได้ท่วมท้นกับพื้นที่ของฉากภายในและนอกบ้าน
และฉากขบวนรถข้ามฝั่งเขตแดนที่พาใจหายใจแป้วได้ตลอดทางกับการเล่นกับพื้นที่กว้างและแคบของอาณาเขตเมือง ถนนและตรอกซอกซอย ผ่านสายตาตัวละครในสภาวการณ์ไม่ปกติ ผู้กำกับควบคุมบรรยากาศไว้ได้อยู่หมัด สถานการณ์ถูกขับเคลื่อนไปด้วยบทสนทนาที่ส่วนของบทหนังเองก็ค่อยๆ ล่อนเปลือกตัวละครออกให้เห็นเนื้อในใสสะอาดแต่สัมผัสได้ถึงเมล็ดพิษสงซึ่งซ่อนไว้ใต้ชั้นเนื้อนั่นได้อย่างแยบยล ผ่านการแสดงที่แสดงออกให้เห็นการไม่ไว้วางใจกันและกันซึ่งดึงความรู้สึกตึงเครียดและอารมณ์ตระหนกตกใจออกมาอย่างได้ผล แค่รถวิ่งเหยียบลูกระนาดทำให้เรารู้สึกเท่ากับรถเหยียบกับระเบิดได้ ความหวาดระแวงปกคลุมไปทุกพื้นที่ความรู้สึก เสมือนเราตระหนักว่ากำลังอยู่ในอาณาเขตอาชญากรรมที่ผู้คนพร้อมจะสาดกระสุนขว้างระเบิดใส่กันได้ตลอดเวลา จนพามาถึงจังหวะที่ต้องกราดยิงกันก็ยังคาดไม่ถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และที่โดดเด่นที่สุดด้านวิชวลคือฉากบุกทลายอุโมงค์ขนลำเลียงยาที่ให้คนดูเห็นผ่านมุมมองภาพจากกล้องจับความร้อนและเป็นภาพแทนสายตาของตัวละคร มันให้ความรู้สึกลุ้นไปกับสถาการณ์อย่างท่วมท้นทั้งความกดดันความหวาดระแวงที่ถาโถมเข้ามาด้วยบรรยากาศ จัดได้ว่าเป็นฉากแอคชั่นสั่นประสาทที่มีเสน่ห์แปลกตามากๆ อีกฉากหนึ่งในโลกของหนังแนวเดียวกัน
เรื่องราวดำเนินไปด้วยการป้อนข้อมูลให้คนดูรู้ความเป็นไปเท่าที่นางเอกรู้ โดนหลอกเท่าที่นางเอกโดน ให้ความรู้สึกร่วมเสมือนกับเราเป็นคนที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากท่ามกลางสภาวะกระอักกระอ่วนเช่นเดียวกับนางเอก และนี่คือหนึ่งในบทบาทและการแสดงที่ดีที่สุดของ Emily Blunt เช่นเดียวกันกับ Benicio del Toro ซึ่งถึงแม้ทั้งสองนักแสดงจะไม่ได้เข้าซีนเชือดเฉือนกันแบบจัดเต็มตลอดเรื่อง แต่เพียงไม่กี่ฉากที่ปะกันบนจอนั้นก็ยอดเยี่ยมและน่าจดจำสุดๆ แถมยังมี Josh Brolin นักแสดงฝีมือเก๋ามาเสริมทัพในบทตัวละครที่กำกึ่งในความไม่น่าไว้วางใจซึ่งสร้างความหวาดระแวงคูณสองเข้าไปอีก
อาชญากรรมไม่เคยเว้นชีวิตใคร ไม่ว่าจะพ่อที่มีเมียมีลูก ผู้รักษาสันติราษฎร์หรือใครก็ตามที่เข้ามาพัวพันก็เท่ากับว่าได้แขวนชีวิตตัวเองและคนใกล้ชิดไว้กับวัฏจักรความรุนแรงเหล่านี้ การอ้างความบริสุทธิ์ของลูกเมียไม่มีความหมาย ซึ่งบทหนังก็แอบหยอดเบื้องลึกความรู้สึกตัวละครนี้ไว้ได้อย่างมีรสนิยมและถ่ายทอดผู้ที่เคยถูกกระทำจนกลายมาเป็นความแค้นอย่างเข้าอกเข้าใจ ปืนและความรุนแรงไม่ได้เลวร้ายหรือน่ากลัวด้วยตัวของมันเองได้ เมื่ออยู่ในมือของคนที่คลั่งแค้นจึงเกิดนองเลือด กลับกันเมื่ออยู่ในมือของผู้มีจริยธรรมแยกแยะเหตุและผลได้จึงไม่เกิดจากเหตุบันดาลโทสะโดยง่าย ปืนจึงสมควรลั่นใส่กบาลเฉพาะคนที่สมควรตายเท่านั้น ในท่าทีตัวละครที่มีความคิดประมาณว่า ‘มึงไม่โดนอย่างกูมึงไม่รู้หรอกว่ากูรู้สึกยังไง’ นั้น หนังได้สำรวจขีดขั้นความสาแก่ใจจากการแก้แค้นบนความยุติธรรมที่ย้อนแย้งกับชีวิตผู้บริสุทธิ์ได้อย่างรุนแรงในฉากการแก้แค้นอาหารมื้อสุดท้าย จนนำมาสู่ช็อตพิพากษาในตอนท้ายที่ซ่อนความหมายใต้บรรทัดได้อย่างชาญฉลาดและทรงพลัง และที่แน่ๆ เรื่องราวอาชญากรรมการค้ายามันขยายขอบเขตความเป็นไปได้ของมุมมองความเลวร้าย ความฉกาจ และความซับซ้อนของกระบวนการอาชญากรรมในหัวเราไปไกลเลยทีเดียว
สรุปผลวิจารณ์หนัง