The Point Men - ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก
หนัง The Point Men หรือชื่อไทยว่า ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก เมื่อกลุ่มตาลีบันหัวรุ่นแรงจับนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีเป็นตัวประกันในอัฟกานิสถาน รัฐบาลเกาหลีใต้ส่งแจโฮ ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการทูตฝีมือดีที่สุดของประเทศไปรับมือสถานการณ์ เมื่อเขาไปถึงเขาขอความร่วมมือจากรัฐบาลอัฟกัน และใช้ทุกวิธีเพื่อให้ตัวประกันเป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่เป็นผล เมื่อแผนที่วางไว้พังไม่เป็นท่า ทำให้สถานการณ์บีบให้เขาต้องร่วมงานกับ แดซิก เจ้าหน้าที่พิเศษภาคสนามที่เชี่ยวชาญพื้นที่ตะวันออกกลาง เมื่อทั้งคู่ใกล้ถึงตัวตาลิบัน ตัวประกันคนแรกก็กลายเป็นศพ เมื่อไม่มีทางให้ถอย ทั้งคู่ต้องร่วมมือกันแข่งกับเวลาเพื่อให้ตัวประกันที่เหลือมีชีวิตรอดกลับบ้าน สร้างจากเหตุการณ์จริงของเหตุวิกฤตตัวประกันเกาหลีถูกคุมตัวในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2007 …………The Point Men นำแสดงโดยสองตัวพ่อแห่งวงการภาพยนตร์เกาหลี ฮยอนบิน (Rampant, Crash Landing on You) และ ฮวางจองมิน (The Wailing, Deliver Us from Evil, Ode to my Father)
South Koreans in the middle east are kidnapped. A Korean diplomat (Hwang Jung-Min) and NIS agent (Hyun-Bin) try to save them.
[รีวิว] THE POINT MEN - ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก
--- 6/10 ---
นี่ไม่ใช่หนังแอ็คชัน มันคือหนังเจรจาชิงตัวประกัน
ทั้งเรื่องไม่ค่อยมีอะไร มีดีแค่ฉากเจรจาท้ายเรื่องเท่านั้น
The Point Men - ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก เป็นหนังเกาหลีที่อิงมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในปี 2007 กับวิกฤตตัวประกันที่เกาหลีถูกคุมตัวในอัฟกานิสถาน เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อกลุ่มตาลีบันได้จับกลุ่มนักเผยแพร่ศาสนาของเกาหลี 23 คนเป็นตัวประกัน ทำให้ทางเกาหลีต้องส่งนักการทูตฝีมือดีเข้าเจรจาต่อลองปล่อยตัวประกัน เขาต้องร่วมมือกับเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองพิเศษ แข่งกับเวลาที่จะชี้เป็นชี้ตายชะตาชีวิตของตัวประกัน
นี่เป็นหนังเกาหลีที่มีกลิ่นอายความเป็นหนังฮอลลีวูดอยู่ไม่น้อยเลย เอาจริง ๆ เราไม่เคยดูหนังเกาหลีแนวนี้เลย นับว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่กับหนังเกาหลีแนวนี้พอสมควร ต้องบอกไว้ก่อนว่ามันไม่ใช่หนังแอ็คชันนะ คือมันก็มีแต่ถ้าเทียบกับทั้งเรื่องถือว่าน้อยมาก แถมมันไม่ใช่จุดที่หนังอยากจะชูด้วย เพราะแท้จริงแล้วมันคือหนังเจรจาชิงตัวประกัน ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกละม้ายคล้ายกับหนังอย่าง Beirut (2018) อยู่เหมือนกัน ความสนุกมันจริงไม่ใช่ว่าตัวหนังจะพาเราไประทึกตื่นเต้นกับฉากแอ็คชันแค่ไหน แต่เป็นการเจรจาต่อรองที่วัดกันที่คำพูด เล่ห์เหลี่ยม และกึ๋น
หนังเรื่องนี้ถือว่าดำเนินเรื่องได้รวดเร็วพอสมควร ตัวหนังพาไปรู้จักตัวละครแต่ละตัวอย่างรวดเร็ว แต่เรากลับสัมผัสไม่ถึงตัวละครเหล่านั้น เพราะด้วยความที่หนังไม่ได้ลงรายละเอียดตัวละครมากเท่าไหร่เนี่ยแหละ อีกอย่างเรารู้สึกว่าตัวละครของ ฮยอนบิน ในบทเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองพิเศษ คือบทมันไม่มีอะไรเท่าไหร่เลย นอกจากฉากบู๊ 1 ฉากถ้วน ก็ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของตัวละครนี้สักเท่าไหร่ เอาจริง ๆ บทบาทของ คังกียอง ที่รับบทเป็นล่ามยังจะมีสีสันและจำเป็นกับเรื่องราวมากกว่าอีก ที่เด่นจริง ๆ คือบทบาทของ ฮวังจองมิน ในบทนักการทูตที่คอยเจรจากับเหล่าตาลีบัน
ต้องชื่นชมทีมงานด้านการถ่ายทำด้วย ไม่รู้ว่าถ่ายทำในสถานที่จริงไหม แต่ก็สามารถถ่ายทอดเมืองท่ามกลางทะเลทรายออกมาได้ดูร้อนดีจริง ๆ อีกทั้งยังสามารถหานักแสดงชาวอาหรับมาแสดงก็แสดงได้ดีเลยทีเดียว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องราวตลอดทั้งเรื่องถึงแม้จะมีความยาวประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง กลับมีจังหวะที่ยืดยาวนาน และวกไปวนมาอยู่พอสมควร การกระทำของฝั่งตาลีบันก็ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ มาสนุกและลุ้นระทึกจริง ๆ ตอนฉากเจรจาช่วงท้ายเท่านั้น แต่การเจรจาก็ไม่ได้มีอะไรพลิกแพลงหรือเหนือความคาดหมายสักเท่าไหร่นะ มันน่าจะมีลูกล่อลูกชน โชว์กึ๋น หลอกล่อ ใช้คำพูดโน้มน้าวหรืออะไรได้ดีกว่านี้ในฉากอื่น ๆ คือถ้าไม่มีฉากเจรจาท้ายเรื่องนี้ช่วยไว้ หนังก็ค่อยจะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ที่สำคัญบทสรุปเรื่องราวหลายอย่างมันก็ไม่ได้มีภาพให้เราเห็นอย่างชัดเจนอีกด้วย
สรุปแล้ว The Point Men - ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลก ไม่ใช่หนังแอ็คชัน มันคือหนังเจรจาชิงตัวประกัน ที่สนุกและลุ้นเอาตอนช่วงท้ายของเรื่องเลย นอกเหนือจากนั้นก็มันก็ยังธรรมดาและไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่
สรุปผลวิจารณ์หนัง