The Whale - เหงา เท่า วาฬ
เข้าฉาย 16 กุมภาพันธ์ 2566
ผู้ชม : 3,860
ผู้กำกับ
: Darren Aronofsky
ความยาวหนัง
: 120.00
Text Size
หนัง The Whale หรือชื่อไทยว่า เหงา เท่า วาฬ ชาลี (เบรนแดน เฟรเซอร์) ครูสอนภาษาอังกฤษซึ่งป่วยเป็นโรคอ้วนขั้นรุนแรง และรู้ตัวเองดีว่า เวลาที่เหลือของเขา กำลังจะหมดลงในไม่ช้า ได้ใช้ความพยายามครั้งสุดท้ายของชีวิต เพื่อยุติรอยร้าว ของเขาและครอบครัว แต่หนทางมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อความระหองระแหงของครอบครัวที่ถูกเขาทิ้งไปเนิ่นนาน กลับกลายเป็นบาดแผลที่มิอาจรักษาได้ ความพยายามครั้งสุดท้ายของเขา จะเป็นผลหรือไม่ ขอเชิญคุณสำรวจสภาพจิตใจไปพร้อมกัน ใน “THE WHALE”
A reclusive English teacher attempts to reconnect with his estranged teenage daughter.
[รีวิว] THE WHALE - เหงา เท่า วาฬ
--- 7.6/10 ---
"คุณเคยรู้สึกไหมว่าผู้คนไม่สามารถไม่แคร์คนอื่นได้"
สุดยอดการแสดงอันไร้ที่ติของ Brendan Fraser
เขาควรค่าแก่ทุกรางวัลที่เข้าชิง
The Whale - เหงา เท่า วาฬ ดัดแปลงมาจากบทละครเวทีในชื่อเดียวกันของ Samuel D. Hunter ที่เรื่องราวก็อิงมาจากเรื่องราวหลวม ๆ ของตัวเองที่เขาเปิดเผยว่าเป็นเกย์ ที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย และต้องเผชิญหน้ากับอาการความผิดปกติจากการกินที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งบทหนังก็ได้เจ้าตัวมาเขียนบทให้ด้วย และกำกับโดย Darren Aronofsky
ตัวหนังว่าด้วยเรื่องราวของ Charlie ครูสอนภาษาอังกฤษผู้เป็นโรคอ้วนขั้นร้ายแรงอันสืบเนื่องมาจากผลกระทบของความสัมพันธ์ในชีวิต อาการเขาเริ่มย่ำแย่จนทำให้เขาอยากกลับไปสานสัมพันธ์กับลูกสาวที่เขาทอดทิ้งไปตั้งแต่ยังเล็ก
หากใครเคยติดตามผลงานของ Darren Aronofsky มาก็คงจะพอเข้าใจแนวทางในการทำหนังของเขา มีทั้งเข้าใจยากจัด ๆ ต้องตีลังกาดูอย่าง Mother! (2017) และเข้าใจแบบง่าย ๆ ตรงไปตรงมาอย่าง The Wrestler (2008) หรือหนังกลาง ๆ อย่าง Requiem for a Dream (2000) โดยส่วนตัวเรามองว่า The Whale - เหงา เท่า วาฬ จัดอยู่อย่างหลัง ที่ดูไม่ได้ยากขนาดนั้น ไม่ต้องมานั่งตีความขมวดคิ้วคิดปวดหัวอะไรขนาดนั้น เพราะมันยังบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมาอีกเช่นกัน
บอกตามตรงว่ามันไม่ใช่หนังที่สนุกเลย แต่มันก็ไม่ได้น่าเบื่อจนชวนหลับขนาดนั้น หนังถูกเล่าผ่านบทสนทนาต่าง ๆ ของตัวละคร เกิดขึ้นในห้องของตัวเอกเท่านั้น ราวกับนำละครเวทีมาร้อยเรียงต่อกัน ทุกสถานการณ์จะเล่าผ่านตัวละคร Charlie เป็นศูนย์กลาง และมีตัวละครสภาพแวดล้อมมาตามสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งบทสนทนาก็จะมีทั้งความดราม่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ เสียดสี และก็สอดแทรกมุกตลกเข้ามาเพื่อไม่ทำให้มันน่าเบื่อจนเกินไป
หนังมีความน่าสนใจในเรื่องราวที่บอกเล่าถึงการแคร์คนอื่น ความรู้สึกผิด ความละอายใจ ศาสนา คือด้วยเนื้อหามันดีในตัวมันเองอยู่แล้วเข้าใจได้ แต่ไม่รู้ทำไมเราไม่ค่อยรู้สึกร่วมกับสิ่งเหล่านั้นสักเท่าไหร่ อย่างศาสนามันก็จิกกัดได้ขำดีและก็วิพากษ์วิจารณ์ได้ดี แต่คือเราค่อนข้างเฉย ๆ กับบทที่นำเสนอ คือไม่ได้ประทับใจเรื่องราว และไม่ได้ซึ้งกินใจอะไรกับมันขนาดนั้น ที่สำคัญเรารู้สึกว่าหนังมันโคตรขยี้ ขยี้มาก ๆ จนบางทีแอบรู้สึกว่ามันมากไปมั้ยนะ...
แต่สิ่งที่เราชื่นชอบมาก ๆ และถือเป็นจุดแข็งในเรื่องนี้คือนักแสดง เริ่มตั้งแต่การแสดงของ Brendan Fraser โคตรสุดยอด ไร้ที่ติ ควรค่าแก่ทุกรางวัลที่เข้าชิงเลย คือปกติเราก็ไม่ได้ว้าวกับการแสดงของเขาในอดีตอะไรขนาดนั้น อย่างแบบ George of the Jungle (1997), Journey to the Center of the Eart (2008), Inkheart (2008) หรืออย่างแฟรนไชส์ The Mummy ก็เฉย ๆ ทั้งหมด แต่กับเรื่องนี้เขาพิสูจน์ให้เห็นเลยว่าเขาคือยอดนักแสดงจริง ๆ เขาสามารถถ่ายทอดบทบาทที่ตัวเองได้รับออกมาได้อย่างทรงพลังจนน่าขนลุก คือซีนดราม่าแต่ละซีนคือสุดมากจริง ๆ รวมถึงนักแสดงร่วมอย่าง Hong Chau ที่แสดงได้โคตรธรรมชาติเหมาะกับบทบาทสุด ๆ และที่ขาดไม่ได้คือ Sadie Sink ที่คาแรคเตอร๋ของเธออาจจะมีความคล้ายกับที่เธอแสดงใน Stranger Things แต่ในเรื่องนี้คือดุดัน ร้าย ขับอารมณ์มากกว่าเยอะ ยิ่งซีนตอนท้ายคือโอ้โห น้ำตาซึม
สรุปแล้ว The Whale - เหงา เท่า วาฬ เป็นหนังดราม่าที่ไม่ได้ดูยาก ไม่ได้สนุก แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อ จุดแข็งอยู่ที่ทีมนักแสดง โดยเฉพาะการแสดงของ Brendan Fraser คือที่สุดของหนังเรื่องนี้แล้ว
สรุปผลวิจารณ์หนัง