0 %E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C+3+-+Khun+Pan+3

ขุนพันธ์ 3 - Khun Pan 3

เข้าฉาย 1 มีนาคม 2566
ผู้ชม : 36,946
ผู้กำกับ : ก้องเกียรติ โขมศิริ
ความยาวหนัง : 120.00
Text Size

หนัง Khun-Pan 3 หรือชื่อไทยว่า ขุนพันธ์ 3 สหมงคลฟิล์มฯ ออกประกาศหมายจับตายของสองเสือแห่งภาคกลาง เสือมเหศวร และ เสือดำ ที่เป็นคาแรกเตอร์เด่นในขุนพันธ์ภาค3นี้ โดย “เสือมเหศวร” จอมโจรร้อยหน้า รับบทโดยนักแสดงมากความสามารถ มาริโอ้ เมาเร่อ และ “เสือดำ” สุภาพบุรุษจอมโจร รับบทโดยหนุ่มมาดเท่ โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ เป็นการตอกย้ำถึงความเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ได้สองนักแสดงมากฝีมือมารับบทสองโจร ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังระส่ำระสายจากเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และครั้งนี้ก็ยังคงเป็นภารกิจสุดมันส์ของ “ขุนพันธ์” ที่รับบทโดย อนันดา เอเวอริงแฮม ต้องกลับมาล่าหัว “มหาโจร” อีกครั้ง โดยมีบ้านเมืองเป็นเดิมพัน ภารกิจสุดขลังของมือปราบคงกระพันจะทวีความมันส์ขึ้นจากภาคก่อนขนาดไหน ผู้ชมชาวไทยรอติดตาม พร้อมกัน 2 มีนาคม 2566 ในโรงภาพยนตร์

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

1 มีนาคม 2566 14:13:48

[รีวิว] ขุนพันธ์ 3
--- 7.8/10 ---
นี่คือหนังฮีโร่ไทยที่บ้าพลัง ใส่สุดมาก มันส์ เพลิน สนุก
มีทุกอย่างที่ควรมี ไปไกลกว่าที่คาดคิด จนเรียกเสียงเฮได้ลั่นโรง
ปิดไตรภาคได้งดงาม

ในยุคที่คนดูพากันด่าหนังไทยก่อนที่จะได้เริ่มดู มีปัญหานู่นนี่นั่นเรื่องรอบฉาย ขุนพันธ์ 3 คือหนึ่งในหนังที่เชื่อว่าใครหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอมาดู และเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการหนังไทยเลยก็ว่าได้ หลังจากได้เปิดจักรวาลไว้ตั้งแต่ภาคแรกในปี 2559 และภาคสองในปี 2561 เป็นหนังที่มีความทะเยอทะยาน มีความตั้งใจ และมีพลังในการสร้างโลกแฟนตาซี อิงประวัติศาสตร์ ที่เรียกได้ว่าเป็นหนังฮีโร่ได้อย่างเต็มปากเลย จนมันคลอดออกมาเป็นหนังปิดไตรภาคที่น่าชื่นชมสุด ๆ 

ขุนพันธ์ 3 คือหนังภาคต่อที่บอกเล่าเรื่องราวในช่วงที่ขุนพันธ์โดนเรียกตัวกลับมาปฏิบัติภารกิจ ต้องมาเผชิญหน้ากับเสือมเหศวรและเสือดำ แต่ท่านขุนอาคมเริ่มเสื่อม ความคงกระพันไม่ได้อยู่ถาวร จากผู้ล่าเขากำลังจะกลายเป็นผู้ถูกล่า

ถึงแม้หนังจะมีความยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ไม่น่าเบื่อเลย หนังเล่าเรื่องรวดเร็ว จังหวะหนังก็สนุก ต้องบอกว่านี่คือภาคปิดไตรภาคที่ใส่สุดจริง ๆ คือรับรู้ได้ถึงพลัง ความกล้า ความบ้าของผู้ทำเลย คือรังสรรค์ความแฟนตาซีโลกของขุนพันธ์ออกมาในรูปแบบหนังฮีโร่ พลังแบบอาคมไทย ๆ ที่ในภาคนี้เนื้อเรื่อง ภาพ วิธีการเล่ามีความเป็นหนังแบบพวกแก๊งสเตอร์อยู่ไม่น้อยเลย หนังจัดหนักจัดเต็มมาก โดยเฉพาะช่วงท้ายซีนแอ็คชันที่ยาวนาน และมันส์ เพลิน สนุกจริง ๆ คือมันมีทุกอย่างที่ควรจะมี รู้ว่าคนดูอยากได้อะไรก็เสิร์ฟให้ จับแนวทางตัวเองได้แล้วว่าควรจะออกมาทางไหน ผลคือมันเรียกเสียงเฮ เสียงปรบมือได้ทั้งโรง ราวกับ Avengers: Endgame ยังไงยังงั้น เต็มอิ่มแน่นอน มันจะมีหนังไทยสักกี่เรื่องที่สร้างปรากฏการณ์และทำแบบนี้ได้ 

หนังขุนพันธ์นี่มาพร้อมกับความเท่เสมอ ตั้งแต่ในภาคแรกละมันจะมีซีนเท่ ๆ ให้จำเสมอทุกภาค และในภาคนี้ก็มีซีนเท่ ๆ เต็มไปหมดเช่นกัน ทั้งซีนตัวขุนพันธ์เอง หรือแม้กระทั่งซีนของเหล่าเสือ คือมันจะมีจังหวะแบบ "เหยดดดด" แบบหลุดปากออกมา รวมถึงมีซีนปล่อยของเปิดตัวได้เท่กันทุกคนเลย คือมีซีนเด็ดของตัวเองให้จำกันทุกตัวละครหลักในหนังเลย 

นอกเหนือจากความมันส์กับความเท่แล้ว ตัวบทยังมีการสอดแทรกประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับความยุติธรรม กฏหมาย การเมือง คอรัปชั่น ที่เหตุการณ์ในเรื่องเกิดในยุคอดีต แต่ทำไม๊ทำไมดูแล้วรู้สึกเหมือนแอบแซะ แอบกัด แอบจิกปัจจุบันยังไงชอบกล

ทางด้านงาน CG ถือว่าทำได้ดีเลยนะ หลายฉากนี่น่าชื่นชม ยังกะพวกหนัง Hollywood คือมันจะมีบางฉากเท่านั้นแหละที่ลอย ๆ เห็นได้ชัด ๆ ก็อย่างพวกซีนจระเข้ หรือพวกซีนอภินิหารกระสุนต่าง ๆ เท่านั้นแหละ

ทางด้านนักแสดงก็ทำกันได้ดี คือเราติดภาพอนันดาในบทขุนพันธ์ตั้งแต่ภาคแรกแล้ว และเขาก็ทำได้ดีมาโดยตลอด คือตั้งแต่ภาคแรกอาจจะมีคิดว่า ขุนพันธ์ เป็นคนไทยขนาดนั้น ทำไมเป็นนักแสดงลูกครึ่งอย่างอนันดามารับบทนะ แต่พอได้ดูเราก็ไม่ติดอะไรเลย ยิ่งภาคนี้เป็นการการันตีว่าเขาเหมาะสมกับบทบาทนี้จริง ๆ ไม่มีใครที่จะเหมาะสมไปกว่าเขาอีกแล้ว พร้อมด้วยการก้าวเข้ามาจักรวาลขุนพันธ์ของสามนักแสดงใหม่อย่างคนแรก มาริโอ้ เมาเร่อ ในบทเสือมเหศวร ก็ไม่ได้รู้สึกขัดข้องกับบทบาทที่ได้รับแต่อย่างใด แล้วก็รับผิดชอบบทที่ตัวเองได้รับเป็นอย่างดี คือมันมีทั้งความเท่ และก็ไม่ได้ติดตลกด้วย ส่วนอีกคนคือ โตโน่ ภาคิน ที่มาในบทของเสือดำ ที่เคร่งขรึม ดุ ดิบ เถื่อน ก็สมคาแรคเตอร์ดี คือเอาจริง ๆ แอบสงสารเจ้าตัวนะ ที่แบบเป็นมีมภายนอกการแสดง จนทำให้แทบจะทุกฉากที่เขาปรากฏตัวในจอ คนดูก็จะหลุดขำออกมา คือเรามองว่าโตโน่เล่นได้สมบทบาทแล้ว และไม่เห็นมีตรงไหนที่น่าจะขำเลย แต่คนก็ติดภาพนั้นกันไปแล้ว เช่นเดียวกันกับที่เห็น เป้ อารักษ์ ในบทเสือใบครั้งแรก ในช่วงท้ายเครดิตของภาค 1 ก็รู้สึกว่าตลกและแอบสงสัยว่าจะเหมาะกับบทหรอ แต่พอได้เห็นการแสดงของเขาในภาคสองก็ไม่ขัดข้องใด ๆ เลย และคิดว่าเหมาะสมกับบทแล้ว รวมถึงเอม ภูมิภัทร ในบท ร้อยเอกทัตเทพ ที่เราเชื่อในฝีมือการแสดงของเอมอยู่แล้ว และการที่เขามารับบทนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริง ๆ ส่วนนักแสดงคนอื่น ๆ ในภาคนี้ก็ทำได้ดีไม่ได้มีตัวละครไหนรู้สึกขัดใจแต่อย่างใด 

ชมมาเยอะแล้ว มาพูดถึงข้อเสียกันบ้าง เพราะจริง ๆ เนื้อเรื่องมันก็มีช่องโหว่ของมันอยู่เยอะเหมือนกันนะ คือบางจุดของเรื่องมันเหมือนย่ำอยู่กับที่ เหตุการณ์มันซ้ำ คือมันรวบฉากได้อีก แต่เหมือนมันเล่าไปเล่ามา บางซีนก็ยังรู้สึกว่าหาทางลงง่ายไปหน่อย และบางซีนก็แบบห๊ะ! มันอะไรยังไงนะ อีกอย่างที่น่าเสียดายคือบทสรุปที่น่าจะสรุปให้ละเอียดกว่านี้หน่อยว่าใครทำอะไรที่ไหนยังไง 

อีกอย่างที่ถือว่าเป็นข้อเสียหลัก  ๆ คือเรื่องเสียง เรารู้สึกว่าหลายฉากฟังเสียงไม่รู้เรื่องเลย ไม่ใช่พวกฉากท่องคาถานะ ฉากพูดธรรมดานี่แหละ คือต้องอ่านซับภาษาอังกฤษช่วยเลย คือบางทีเสียงดนตรีมันดังกลับเสียงพูด เสียง sfx ต่าง ๆ มันกลบเสียงพูดจนฟังไม่รู้เลย อย่างที่บอกมันบาลานซ์เสียงต่าง ๆ ได้ไม่ดีเลย 

สรุปแล้ว ขุนพันธ์ 3 เป็นหนังไทยเรื่องนึงที่อวยและอยากแนะนำให้ไปดูมาก ๆ คือถึงมันจะมีบาดแผลอยู่เยอะ แต่มันก็เป็นหนังที่สนุกและสร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดูอย่างเราได้ไม่น้อยเลย ครบรส มันส์ แอ็คชันจัดเต็ม มีทุกอย่างที่คนคาดหวังให้มีและควรจะมีจริง ๆ มันไปไกลกว่าที่คาดคิดมาก ๆ จนเรียกเสียงเฮเสียงปรบมือได้ลั่นโรงเลยจริง ๆ สมกับภาคปิดไตรภาคแบบสุด ๆ

ปล. ไม่ชอบซีนจบเลย มันตลกเกินไป...ตั้งแต่การขายตรงแล้วก็ยันซีนปิดสุดท้ายเลย 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
9
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
7.8
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)