Child 44 - อำมหิตซ่อนโลก
เข้าฉาย 16 เมษายน 2558
ผู้ชม : 5,474
ผู้กำกับ
: Daniel Espinosa
ความยาวหนัง
: ไม่ระบุ
Text Size
ในปี 1953 ยุคที่สหภาพโซเวียตยังเรืองอำนาจด้วยผู้นำอย่าง โจเซฟ สตาลิน ได้มีการจัดตั้งนโยบายปลอดอาชญากรรม เพื่อเป็นการประกาศแก่ชาวโลกว่า โซเวียตนั้นใสสะอาด เป็นที่ซึ่งเหมาะกับการใช้ชีวิตอันแสนสงบสุข เลโอ เดมิดอฟ (ทอม ฮาร์ดี้ จาก The Dark Knight rise) เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เคร่งครัดและเชื่อมั่นในกฎระเบียบของระบอบสังคมนิยม ยอมหักไม่ยอมงอ เขาไม่เคยตั้งคำถามต่อนโยบายของผู้นำประเทศ เขาจับกุมทุกคนตามคำสั่งเสมือนว่าอุดมการณ์คือเส้นเลือดใหญ่ที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตเขา แต่แล้ววันหนึ่งความเชื่อของเขาก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อเขาบังเอิญเข้ามารับรู้ถึงเหตุฆาตกรรมของเด็กรายหนึ่ง แต่กลับถูกสั่งให้มองข้ามเหตุการณ์นั้นไป เพราะพรรคเชื่อว่าไม่มีวันเกิดการฆาตกรรมขึ้นในระบอบสังคมนี้ และทุกอย่างที่เขาเชื่อมั่นก็พังทลายลงหมดสิ้น เมื่อเขาต้องเผชิญกับภาพผู้บริสุทธิ์มากมายถูกฆ่าโดยมีเงื่อนงำ พร้อมทั้งยังได้รับคำสั่งให้จับกุม ภรรยา (นูมิ ราเพซ) ตัวเองในข้อหาฆาตกรรม เลโอจึงเริ่มค้นหาความจริงที่ว่า "สุดท้ายภรรยาของเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ หรือระบอบสังคมนิยมต่างหากที่เป็นฆาตกร"
แม้หน้าหนังและชื่อเสียงของมันจะโดดเด่นในด้านการเป็นหนังสือรหัสคดีชั้นเยี่ยมที่มีพื้นหลังเป็นบรรยากาศการเมืองระบบการปกครองของโซเวียต ซึ่งความเป็นเรื่องราวสืบสวนซ่อนปมล้อคู่ไปกับการตีแผ่เสียดสีอำนาจปกครองกดขี่เสรีภาพแบบโซเวียตได้อย่างแหลมคม
แต่พอมาเล่าในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ หนังเหมือนเน้นเล่าบริบททางการเมืองเป็นตัวหลักอย่างเข้มข้นมากกว่าที่จะใช้เส้นความบันเทิงแบบรหัสคดีเป็นเส้นหลัก ทำให้ความกลมกล่อมระหว่างสาระและอรรถรสเสียไปไม่น้อยทีเดียวโดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นคอรหัสคดีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามหากตัดความสัมพันธ์ของต้นเรื่องไป Child44 เวอร์ชั่นภาพยนตร์เองก็มีจังหวะการเล่าเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยการเล่าสไตล์จริงจังเคร่งขรึม แต่สนุกไปด้วยเส้นเรื่องที่ดำเนินไปข้างหน้าตลอดเวลาอย่างเรียบง่าย เส้นเรื่องที่หนังทำได้ดีมากๆ คือเส้นความสัมพันธ์ของตัวละครที่เซ็ทอัพและพัฒนาไปอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกนางเอก ที่เป็นตัวแทนของแก่นเรื่องได้อย่างงดงามหลักแหลม
โดยสรุปแล้ว Child44 อาจไม่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่คาดหวังในการนำมันไปเปรียบเทียบกับหนังสือต้นฉบับ ดังที่กล่าวไปว่าหนังเลือกเทน้ำหนักลงมาทางบริบททางการเมืองเสียจนเส้นสืบสวนสอบสวนเป็นแค่ไม้ประดับไปเสียเท่านั้นเอง อาจเรียกได้ว่าเรื่องได้สูญเสียบุคลิกของมันลงไปไม่ใช่น้อย แต่โดยรวมแล้วมันก็เป็นหนังที่สนุกในทางที่มันเป็น และยังคงไว้ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการปกครองที่น่าสนใจ
สรุปผลวิจารณ์หนัง