Babylon - บาบิลอน
เข้าฉาย 19 มกราคม 2566
ผู้ชม : 5,680
ผู้กำกับ
: Damien Chazelle
ความยาวหนัง
: 190.00
Text Size
หนัง Babylon หรือชื่อไทยว่า บาบิลอน BABYLON บาบิลอน คือภาพยนตร์มหากาพย์ออริจินัล ผลงานกำกับโดย เดเมียน ชาเซลล์ ที่จะพาย้อนกลับไปลอสแองเจลิสในทศวรรษ 1920 ภาพยนตร์นำแสดงโดย แบรด พิตต์, มาร์โกต์ ร็อบบี้ และดิเอโก คาลวา ร่วมด้วย โจวาน อเดโพ, ลี จุน ลี และจีน สมาร์ท BABYLON นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความทะเยอทะยานเกินปกติและพฤติกรรมสุดเหวี่ยงเกินพิกัด และถ่ายทอดเรื่องราวยุครุ่งเรืองและการล่มสลายของหลากหลายตัวละครในช่วงยุคแห่งความเสื่อมโทรมและความเลวทรามช่วงฮอลลีวูดตอนต้น
Set in Hollywood during the transition from silent films to talkies, focusing on a mixture of historical and fictional characters.
[รีวิว] BABYLON
--- 9.7/10 ---
เปรียบดั่ง La La Land ในเวอร์ชันดาร์คกว่า
จดหมายรัก ที่ทั้งเชิดชู คารวะและก่นด่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์
ที่เต็มไปด้วยความบังเทิง สนุก สุดบ้าคลั่ง และดราม่าจับใจ
ต้องบอกว่าชอบผลงานของ Damien Chazelle มาโดยตลอด นับตั้งแต่เรื่องแรกที่ติดตามอย่าง Whiplash (2014) ก็ชื่นชอบในทุกเรื่องที่ทำ ทั้ง La La Land (2016), First Man (2018) หรืออย่างงานที่เจ้าตัวเขียนบทใน 10 Cloverfield Lane (2016) คือจังหวะการเล่าเรื่อง บท มันโดนใจเข้าเส้นเราตลอดเลย และเรื่องนี้อย่าง Babylon ถึงแม้กระแสจะไม่ค่อยดี แต่ก็ยังอยากติดตามเพราะชื่อของ Damien Chazelle เนี่ยแหละ แถมด้วยนักแสดงอย่าง Brad Pitt และ Margot Robbie ด้วย ซึ่งต้องบอกว่าไม่ผิดหวัง และเป็นหนังที่ชอบมาก ๆ ขอตัดสินเลยว่าเป็นหนังเปิดปีที่โคตรประทับใจและต้องติดลิสต์หนังประทับใจแห่งปีแน่นอน
Babylon เป็นเรื่องราวที่บอกเล่าถึง LA กับอุตสาหกรรมหนังในยุค 1920s ตั้งแต่หนังเงียบ ไปจนถึงหนังมีเสียง มันถูกบอกเล่าผ่านหลากหลายตัวละคร ที่ผูกโยงกันด้วย "ความฝัน" ในมหานครแห่งดารา ที่เราจะได้เห็นทั้งความบ้าคลั่งแห่งยุคสมัย และความจริงอันน่าเศร้าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ตลอดทั้งเรื่องมันกลิ่นอายบางอย่างที่ให้ความรู้สึกเหมือน "La La Land" อยู่เหมือนกันนะ เพราะพระเอกนางเอกต่างตามกลิ่นอันยั่วยวนและหอมหวานมาที่นครแห่งนี้เพื่อตามหา "ความฝัน" เพื่อที่จะได้ไปมีตัวตนอยู่ในอุตสาหกรรมหนังอันรุ่งเรือง ซึ่งที่มันทำให้รู้สึกแบบนั้นส่วนนึงอาจจะเพราะว่า La La Land คือไอเดียตั้งต้นของเรื่องนี้นี่แหละ เพราะ Damien Chazelle ได้เขียนบทเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ในปี 2009 ก่อนหน้า La La Land เสียอีก และก็ได้ไปนำเสนอกับผู้อำนวยการสร้าง จนเขาแนะนำให้ Chazelle ลองเขียนบทหนังมิวสิคัลดู และก็ออกมาเป็น La La Land นั่นแหละ
อีกอย่างที่ทำให้นึกถึง La La Land คือดนตรีประกอบ มันจะมีอยู่เพลงนึง ที่มีความคล้าย City of Stars ถูกเปิดเป็นดนตรีประกอบบรรเลงอยู่ เพียงแต่ต่างกันที่มู้ด จังหวะ อารมณ์ ตัวโน้ตนิดหน่อย แต่ภาพรวมไม่รู้ทำไมเหมือนกันก็นึกถึงเพลง City of Stars ซึ่งพอพูดถึงเพลงและดนตรีประกอบต้องบอกเลยว่า Justin Hurwitz นี่โคตรเทพ อย่างเพลงที่บอกไปว่าเหมือน City of Stars ถ้าเล่นในจังหวะที่แตกต่างกัน ก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และดนตรีประกอบในแต่ละช่วงนี่โคตรดี โคตรเข้ากับอารมณ์และความรู้สึกในหนัง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคว้ารางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำไปได้ และคิดว่าเวทีออสการ์เจ้าตัวก็ไม่น่าพลาดแน่นอน
ในด้านการดำเนินเรื่อง ตัวหนังลำดับและจัดกราฟอารมณ์ได้เป็นอย่างดีและลงตัว หนังจะเริ่มต้นด้วยความบ้าคลั่งแบบหลุดโลก นำเสนอเหล้า ยา ปาร์ตี้ เซ็กซ์(แบบชัดเจน) ของเหล่าคนดังเป็นช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงได้ เพื่อถ่ายทอดวงการในยุคนั้นว่ามันเละเทะแค่ไหน ฉากนี้ทำออกมาได้หลุดโลกและบ้าคลั่งจริง ๆ แต่การถ่ายทำก็ยังยอดเยี่ยมทั้งการเคลื่อนกล้อง การลำดับเรื่องราวและเหตุการณ์ คือนำเสนอฉากปาร์ตี้ออกมาได้สุดเหวี่ยง มันส์ สนุก แต่ก็ยังดูรู้เรื่องและตามติดสถานการณ์ทุกตัวละครได้อย่างลื่นไหลไม่สะดุดเลย โอ้โหและพูดเลยว่าฉากนี้ Margot Robbie ทำให้เราอ้าปากค้างเหมือน Diego Calva ในหนังเลย คือมันมากล้นด้วยเสน่ห์ ทั้งสีหน้า ท่าทาง แววตา จนไม่อาจละสายตาและกระพริบตาได้เลย อึ้งแบบพูดไม่ออก กลืนน้ำลายเอื้อก ๆ เลยทีเดียว
หนังเล่าเรื่องสนุกมาก ไม่น่าเบื่อเลย ถึงแม้จะมีความยาว 3 ชั่วโมงนิด ๆ ก็ตาม เชื่อว่าบางช่วงโดนตัดออกโดยเฉพาะครึ่งหลัง แอบอยากให้มันยาวกว่านี้อีก ครึ่งเรื่องแรกเราจะได้เห็นความบ้าบออยู่เต็มไปหมด สอดแทรกด้วยมุกที่ขำออกมาแบบลั่นตลอดทางในการเล่าเรื่อง แต่ยิ่งดำเนินไปหนังก็เริ่มจริงจังขึ้นด้วยบทและจังหวะการเล่าที่แตกต่างจากครึ่งเรื่องแรกอย่างสิ้นเชิง บทเรื่องการเปลี่ยนผ่านซีนที่ Jean Smart พูดกับ Brad Pitt นี่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เหมือนเป็นการยอมรับและทำความเข้าใจวัฏจักรของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี พร้อม ๆ กันนั้นเราจะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ในอุตสาหกรรมยุคเปลี่ยนผ่านตั้งแต่หนังเงียบไปจนถึงยุคหนังมีเสียง ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบการทำงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวงการนี้ มันเป็นจดหมายรักและเครื่องเตือนความทรงจำให้กับวงการฮอลลีวู้ด ที่ไม่เพียงแต่เชิดชู คารวะ แต่ยังแอบด่าและจิกกัดวงการฮอลลีวู้ดในยุคนั้นด้วย
แต่ละตัวละครเหมือนเป็นตัวแทนบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวงการฮอลลีวู้ดในช่วงยุคนั้น Margot Robbie ในบท Nellie LaRoy ที่เปรียบเหมือนผู้หญิงตามฝันการเป็นดารา มีความสามารถ ยอมทำทุกอย่าง แต่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงอย่างว่า โดนกดขี่จากผู้ชาย เป็นแค่เหยื่ออารมณ์ของวงการ, Diego Calva ในบท Manny Torres คนนอกที่มีความฝันอยากเป็นคนสำคัญ อยากเป็นส่วนนึงในอุตสาหกรรมภาพยนตร์, Brad Pitt ในบท Jack Conrad ตัวแทนนักแสดงสุดโด่งดังจุดหนังเงียบ แต่จุดเปลี่ยนผ่านก็ทำให้เขาต้องยอมรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, Jean Smart ในบท Elinor St. John ในบทนักข่าวผู้อยู่คู่วงการมานาน, Li Jun Li ในบท Lady Fay Zhu ที่มีบทบาทสำคัญในช่วงหนังเงียบ เป็นหญิงรักเพศเดียวกัน ก็ไม่ถูกยอมรับในสังคม และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ละคนมีเส้นเรื่อง มีประเด็น มีเรื่องราว ที่เกี่ยวพันและเชื่อมโยงกัน แต่ด้วยความที่ตัวละครเยอะ มันก็ไม่สามารถที่จะให้เวลากับบางตัวละครได้นานกว่านี้ จนแอบน่าเสียดาย และบางเรื่องราวก็หาทางออกง่าย ๆ คลี่คลายจนง่ายเกินไป
การแสดงของแต่ละคนไร้ที่ติจริง ๆ อย่างที่บอกไปว่า Margot Robbie คือสะกดสายตาสุด ๆ คือละสายตาไม่ได้ หยุดมองไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถแสดงซีนอารมณ์ต่าง ๆ ออกมาได้เป็นอย่างดีไม่แพ้กัน ทางด้าน Brad Pitt ก็ยังคงความหล่อเท่แบบมีอายุ ที่ยังคงความมีเสน่ห์ จนบางทีแอบรู้สึกว่าเฮียแกแอบนึกถึงตัวเองหรือเปล่านะเวลาแสดงบทบาทนี้ เพราะซีนอารมณ์แกเล่นถึงจริง ๆ และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ Diego Calva ในบท Manny Torres ที่มีการพัฒนาตัวละครที่ชัดเจนมาก ๆ ตัวนึงในเรื่อง เอาอยู่ทุกซีน ทุกบทบาทที่ได้รับ เป็นการแสดงท่ามกลางดาวได้อย่างน่าชื่นชมสุด ๆ ไม่แปลกใจอีกเหมือนกันว่าทำไมทั้งสามคนมีชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ และก็ขออวยให้ได้เข้าชิงออสการ์ด้วยเช่นกัน
สรุปแล้ว Babylon ยังคงเป็นผลงานจาก Damien Chazelle ที่เราชื่นชอบไม่ต่างจากเรื่องอื่นเลย เป็นหนังที่สนุก บันเทิง เล่าเรื่องดี จังหวะดี ขยี้ถูกจุด เป็นหนังที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงด้วยความเข้าใจ และรู้สึกจริง ๆ ว่าเหมือนเจ้าตัวทำผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาด้วยความที่ตัวเองเป็นคนรักหนังจริง ๆ ทั้งคารวะ ตอกย้ำ และชื่นชม ยิ่งช่วงท้ายนี่เหมือนจะแทนใจตัวเองยังไงยังงั้นเลย เชื่อว่าคนที่ชื่นชอบศึกษาวงการนี้น่าจะชอบเรื่องนี้ และในฐานะหนังเรื่องนึง มันก็เป็นหนังสนุกที่ควรค่าแก่การดูเช่นกัน
สรุปผลวิจารณ์หนัง