Elvis - เอลวิส
หนัง Elvis หรือชื่อไทยว่า เอลวิส จากผู้สร้างภาพยนตร์วิสัยทัศน์ไกลผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ บาซ เลอร์แมนน์ สู่ภาพยนตร์ดราม่า “Elvis” จาก Warner Bros. Pictures นำแสดงโดย ออสติน บัตเลอร์ และเจ้าของรางวัลออสการ์ ทอม แฮงค์ส ภาพยนตร์จะพาไปสำรวจชีวิตและดนตรีของ เอลวิส เพรสลีย์ (บัตเลอร์) ผ่านมิติความสัมพันธ์แสนซับซ้อนกับผู้จัดการนิสัยลึกลับ ผู้พัน ทอม ปาร์คเกอร์ (แฮงค์ส) เรื่องราวจะเจาะลึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่าง เพรสลีย์ และปาร์คเกอร์ ตลอดเวลา 20 ปี ตั้งแต่ เพรสลีย์ เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังไปจนถึงตอนที่มีแฟนคลับล้นหลามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่ามกลางพื้นเพเบื้องหลังของวัฒนธรรมที่กำลังพัฒนาและการสูญเสียความไร้เดียงสาในอเมริกา ในขณะเดียวกันก็มีอีกหนึ่งบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลต่อชีวิตของ เอลวิส อย่างมาก นั่นก็คือ พริสซิลลา เพรสลีย์ (โอลิเวีย เดอยองจ์)
A look at the life of the legendary rock and roll star, Elvis Presley.
[รีวิว] ELVIS - เอลวิส
--- 8.8/10 ---
หนังชีวประวัติ King of Rock n' Roll ที่จัดจ้าน รวดเร็ว สนุก ไม่น่าเบื่อ
เพลิดเพลินกับเพลงฮิตและการแสดงของ Elvis อย่างจัดเต็ม
ผ่านการแสดงของ Austin Butler ที่โคตรมีเสน่ห์
รวมถึงการแสดงของ Tom Hanks ก็เข้าขั้นยอดเยี่ยม
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักชายที่ชื่อ Elvis Presley ถึงไม่เคยฟังเพลง ก็ต้องเคยเห็นหน้า ถึงไม่เคยเห็นหน้า ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขาคนนี้ เขาคือราชาเพลง Rock n' Roll ที่ครองใจผู้คนทั่วโลก เป็นดั่งวัฒนธรรม ภาพจำใบหน้าอันหล่อเหลา การแสดงอันทรงพลังและเป็นเอกลักษณ์ทุกครั้ง แต่น่าเสียดายที่เขาจากโลกไปด้วยวัยเพียง 42 ปี
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของ Baz Luhrmann ที่เคยฝากผลงานเอาไว้ใน Romeo + Juliet (1996), Moulin Rouge! (2001), The Great Gatsby (2013) ซึ่งหนังไม่ได้เลือกถ่ายทอดเรื่องราวของฝั่ง Elvis เสียทีเดียว เพราะหนังเลือกที่จะเล่าผ่านมุมมองของผู้จัดของส่วนตัวของ Elvis อย่าง Tom Parker ชายผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นปลิงดูดเลือดดูดเงินใช้งาน Elvis เยี่ยงทาส และถูกกล่าวหาว่าเขานี่แหละที่เป็นคน "ฆ่า Elvis" และหนังเริ่มต้นได้อย่างน่าสนใจจากคำแก้ต่างของ Parker ว่า "ผมไม่ได้ฆ่า Elvis ผมนี่แหละเป็นคนสร้าง Elvis ถ้าไม่มีผมก็ไม่มี Elvis"
ถึงแม้หนังจะยาวประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่มันผ่านไปรวดเร็วมากและไม่น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย หากใครติดตามงานของ Baz Luhrmann มาก่อน จะรู้ว่ามี pacing ในการเล่าเรื่องที่รวดเร็ว และเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้น ในช่วงแรกหนังเล่าเรื่องเร็วมาก กระชับสุด ๆ จึงทำให้ช่วงแรกของหนังคนดูอย่างเราไม่ทันได้อิน ได้ซึมซับอารมณ์ของตัวละครและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยมันก็ผ่านไปเสียแล้ว แต่เข้าใจถึงจุดประสงค์ว่าต้องการเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของ Elvis และ Tom Parker จึงจำเป็นต้องเร่งเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกันต่อไป แต่ก็แอบเสียดายว่าแอบเห็นแง่มุมความรู้สึกในแต่ละช่วงชีวิตของ Elvis มากกว่านี้ ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เราได้เห็นเรื่องราวของธุรกิจดนตรี การตกลงธุรกิจ การเอารัดเอาเปรียบ ผลประโยชน์ ถึงแม้จะไม่ได้ลึก แต่มันก็เป็นแง่มุมที่น่าสนใจเช่นกัน
ในแต่ละช่วงของหนังเราจะเห็น Mood และ Tone ที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างชัดเจน ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม วิธีการเล่า มันจะช้าลง มีซีนอารมณ์มากขึ้น มีบทเพลงของ Elvis คอยขับเคลื่อนเรื่องราวได้อย่างเข้ากัน และที่สำคัญ ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นการแสดงอันทรงพลังของ Elvis ที่ดูแล้วจัดจ้าน ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม และยอดเยี่ยมจริง ๆ ต้องชมทั้งทีมงานและ Austin Butler ที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ อาจจะไม่ได้ขนลุกเท่าคอนเสิร์ต Live Aid ที่วง Queen แสดงอย่างในหนัง Bohemian Rhapsody (2018) แต่ทรงพลังในแบบที่ Elvis ควรจะเป็น ยิ่งความเหมือนในการแสดงของ Elvis นี่โคตรเหมือนเลย ทั้งฉากในรายการ Comeback Special ปี 1968 หรือการแสดงใน International Hotel ที่ Vegas ในปี 1969 ที่ถ่ายทอดออกมาได้ไร้ที่ติจริง ๆ
อย่างที่บอกไปว่าการแสดงของ Austin Butler ที่มารับบท Elvis Presley ต้องบอกว่าทีมงานคัดเลือกตัวมาได้เหมาะสมมาก ๆ ถึงแม้หน้าตาอาจจะไม่ได้เหมือนจนว้าวขนาดนั้น แต่เสน่ห์ของ Austin Butler ต้องบอกว่าล้นเหลือจริง ๆ ทั้งการพูดสำเนียงคนใต้ การมอง สีหน้าท่าทาง นี่โคตร Elvis เลย และดูเจ้าตัวทำการบ้านมาดีมาก ๆ แถมยังสามารถร้องเพลงของ Elvis ได้อย่างดีมาก ๆ อีกด้วย เจ้าตัวถึงกับโทรหา Rami Malek ที่เคยรับบท Freddie Mercury ใน Bohemian Rhapsody (2018) ปรึกษาว่าควรเตรียมตัวยังไงกับการเคลื่อนไหวให้เหมือนกับบทที่ได้รับ รวมถึงการแสดงของ Tom Hanks ในบท Tom Parker ก็แสดงออกมาได้ดีกว่าที่คิดเสียอีก ไม่เคยเห็นเขารับบทตัวละครเทา ๆ อะไรแบบนี้เหมือนกัน
สรุปแล้ว Elvis เป็นหนังชีวประวัติที่ไม่ได้น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราวอย่างรวดเร็ว มีบทเพลงและการแสดงให้เพลิดเพลินตลอดทั้งเรื่องผ่านการแสดงของ Austin Butler แต่ด้วยความรวดเร็วของเรื่องราวอาจทำให้เกิดความไม่อินหรือไม่ซึมซับกับอารมณ์ในบางฉาก อาจทำให้อยากรู้เรื่องราวหลายอย่างละเอียดกว่านี้ แต่หากใครชื่นชอบ Elvis อยู่แล้วก็ควรมาดู หากใครไม่รู้จัก หลังดูเรื่องนี้จบอาจไปหาเพลงของเขาฟังหรือหาการแสดงของเขาดูเลยก็ว่าได้ แล้วคุณจะไม่แปลกใจว่าทำไมทั่วโลกถึงคลั่งไคล้ชายคนนี้
สรุปผลวิจารณ์หนัง