มาห์ - Mah
เข้าฉาย 30 ตุลาคม 2563
ผู้ชม : 4,264
ผู้กำกับ
: เลิศฤทธิ์ จั่นสัญจัย
ความยาวหนัง
: 97.00
Text Size
หนัง Mah หรือชื่อไทยว่า มาห์ มาห์ ภาพยนตร์ไซไฟ-สยองขวัญ ในตำนาน กำลังจะกลับมาขึ้นจอใหญ่อีกครั้ง ด้วยคุณภาพความคมชัดระดับ 4Kเมื่อกลุ่มวัยรุ่นได้ไปเที่ยวป่า และเก็บไข่ของบางสิ่งบางอย่างที่พบเจอในถ้ำติดตัวกลับมาด้วย ความน่าสะพรึงกลัวเริ่มต้นขึ้นเมื่อสัตว์ประหลาดเจ้าของไข่สะกดรอยตามพวกเขากลับถึงที่พัก และไล่ฆ่าพวกเขาทีละคนอย่างโหดเหี้ยม
มาห์ กลับมาอีกครั้งฉลอง(เกือบ)ครบรอบ 30 ปี
หนังไทยในยุคนี้ส่วนใหญ่นั้นแทบจะไม่มีหนังแระเภท Sci-fi เลยจริงๆ ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยหนังแนวรักๆใคร่ๆ หนังตลก หนังผี หนังแอคชั่นบ้าง ประปราย แต่หนังแนว ไซ-ไฟ วิทยาศาสตร์ หรือหนังสัตว์ประหลาด แทบจะไม่ได้มีฉายเลยในปัจจุบัน กลับกันในยุคเกือบ 30 ปีที่แล้ว มีหนังเรื่องนึงที่ยืนโรงฉายปะทะกับ Terminator 2 กันเลยก็ว่าได้ แถมเป็นหนังแนว Sci-fi ซะด้วย ซึ่งเรื่องนั้นก็คือเรื่อง มาห์
มาห์ ถ้าจะว่ากันตามตรงแล้ว ผู้กำกับได้ให้สัมภาษณ์ถึงความหมายของชื่อเรื่อง ว่าทำไมถึงใช้คำว่า มาห์ เพราะคำว่า มาห์นั้น เป็นคำที่มีความหมายว่า ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ซึ่งตรงตามคอนเซปหรือเนื้อเรื่องในหนังแบบครอบคลุมครบทุกอย่าง อีกทั้งคำว่า มาห์ นั้นเป็นคำที่หลายๆ คนไม่เคยคุ้นหู้ สร้างความน่าติดตามให้คนดูทั่วไปอยากจะรู้ว่า มาห์ ที่หนังจะสื่อ มันคือตัวอะไร ถือเป็นการตลาดที่เรียกร้องความสนใจจากคนดูได้อีกพอประมาณเลยทีเดียว
ตัวหนังเรื่องนี้จะว่าด้วย กลุ่มนักศึกษา ได้มีการวางแพลนที่จะเข้าป่าไปตั้งแคมป์ แต่ระหว่างทางรถเกิดเสีย ทำให้ไปเจอกับถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง ในนั้นมีไข่ของสัตว์บางอย่าง ที่รูปร่างไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นไข่ของสัตว์อะไร และหนึ่งได้กลุ่มนักศึกษาก็ได้แอบขโมยไข่ที่ว่าไปด้วย 1 ใบ จนกระทั้่งตกดึกคืนนั้น ได้มีตัวอะไรบางอย่างตามรอยเพื่อหาไข่ไปและไล่ฆ่ากลุ่มนักศึกษาทีละคน
หลังจากได้ชมเรื่อง มาห์แล้วนั้น ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ทำได้ดีพอสมควร สำหรับหนังในยุคนั้น ที่เน้นการสร้างอารมณ์ร่วมของคนดูให้เอาใจช่วยลุ้นไปกับตัวละคร และทำให้คนดูสงสัยตลอดว่า ไอ้ตัวที่ว่า มันหน้าตาเป็นยังไง เพราะในช่วงแรกๆของหนัง เราจะยังไม่ได้เห็นตัวสัตว์ประหลาดที่ว่าแบบเต็มๆเลย ซึ่งว่าจะได้เห็นเต็มๆมันก็ล่วงเลยไปเกือบจะค่อนๆ ไปทางท้ายๆเรื่องแล้ว ผมค่อนข้างชอบหนังสไตล์นี้ เป็นการเก็บฉากเผยสัตว์ประหลาดไว้น๊อคคนดูในช่วยท้ายๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยกับการเดินเรื่องสไตล์หนังยุคนั้่นที่ค่อนข้างจะเดินเรื่องช้าเอามากๆ ผิดกับหนังสมัยนี้ ที่เน้นการเดินเรื่องเร็วเพื่อให้คนดูไม่เบื่อนั่นเอง
ส่วนตัวผมเองนั้นต้องขอบคุณจริงๆที่เจ้าของหนังได้มีการนำฟิล์มต้นฉบับมาแสกน รีมาสเตอร์ให้เป็นไฟล์ Digital 4K มาให้ชมในยุคนี้ ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้ดูในโรง และค่อนข้างชอบตัวหนังเลยทีเดียว แอบอยากให้มีการเอามารีเมค หรือทำภาคต่อในโทนหนังสมัยนี้ คงน่าติดตามดูอยู่ไม่น้อยเลย 7.5/10
ปล.น่าเสียดายที่รอบฉายและวันฉายน้อยมากจริงๆ ฉายแค่ 30 ต.ค. - 1 พ.ย.นี้เท่านั้น
สรุปผลวิจารณ์หนัง