0 The+Babadook+-+%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%84+%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%88

The Babadook - บาบาดุค ปลุกปีศาจ

เข้าฉาย 9 ตุลาคม 2557
ผู้ชม : 6,537
ผู้กำกับ : Jennifer Kent
ความยาวหนัง : ไม่ระบุ
Text Size
ภาพยนตร์สยองขวัญที่กำลังสร้างเสียงฮือฮาปากต่อปากกระหึ่มอเมริกาตอนนี้ เมื่อนิทาน..ไม่ได้เป็นเพียงแค่นิทาน.. เมื่อจินตนาการ..กลับกลายเป็นเรื่องจริง! ภาพยนตร์ขนหัวลุกเรื่องใหม่ล่าสุด ที่ได้รับการกล่าวขานถึงว่าน่ากลัวกว่า The Conjuring และหลอนยิ่งกว่า Insidious

6 ปีภายหลังจากการเสียชีวิตของสามี ทำให้เอมิเลีย (เอสซี่ เดวิส) ต้องเลี้ยงดูซามูเอล (โนอา ไวส์แมน) ลูกชายวัย 6 ปีของเธอเพียงลำพังอย่างยากลำบาก ทุกคืนเด็กชายมักจะถูกหลอกหลอนด้วยปีศาจในฝันร้ายที่เขาเชื่อว่าตั้งใจจะทำร้ายและมุ่งเอาชีวิตของตัวเองและแม่ วันหนี่งหลังจากได้อ่านนิทานก่อนนอนที่มีชื่อว่า ‘The Babadook’ ซามูเอลก็มั่นว่าใจสิ่งมีชีวิตที่แสนน่ากลัวในเนื้อเรื่องคือปีศาจที่เขาฝันถึงทุกคืน.. จากเรื่องไร้สาระที่ดูเหมือนจะเป็นแค่จินตนาการของเด็กชายตัวน้อย กลับกลายเป็นประสบการณ์หลอนคาบ้าน เมื่อ 2 แม่ลูกพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ตามลำพังอีกต่อไป!

หนังสั้นแรงบันดาลใจจากผู้กำกับ

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

17 ตุลาคม 2557 15:05:36
วิจารณ์ "บาบาดุค ปลุกปีศาจ หนังผีที่เน้นขายเนื้อเรื่อง มากกว่าความน่ากลัว"
...หลังจากได้เข้าไปจองบัตรในโรงภาพยนตร์ รอบ 19:30 น. แต่ช่วงไปจองหนัง เราได้ไปจองบัตรกันช่วง 19:00 น. (ยังเหลือเวลาอีกเยอะ) เลยเดินไปเเวะเข้า B2S เเล้วไปหยิบนิตยสารภาพยนตร์เล่มนึงมาอ่านดู ซึ่งในนิตยสารนั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับบาบาดุคอยู่ ผมเลยอ่านฆ่าเวลา แล้วก็พบจุดประสงค์ที่เเท้จริงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ..เจนนิเฟอร์ เค็นท์ ผู้กำกับภาพยนตร์ผีระดับมาสเตอร์พีคเรื่องได้กล่าวไว้ว่า "สิ่งที่หนังเรื่องนี้เล่า ไม่ใช่ส่วนของความน่ากลัว แต่เป็นการเล่าถึงความเป็นเเม่ลูก ที่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตที่มืดเเปดด้าน ไม่มีทางหลีกเลี่ยง หลบหนีได้ โดยหนังจะโฟกัสไปที่ตัวละครเเม่ว่า จะมีวิธีการปกป้องลูกเช่นไร ซึ่งวิธีการต่างๆของผู้เป็นแม่ อาจเปลี่ยนให้เธอเป็นแม่ที่ดี หรือ เเม่ที่เลวร้ายขึ้น ก็ได้" ..ซึ่งคำพูดนี้ ทำให้ภาพหนังบาบาดุคในหัวผมจากที่คิดเเต่ว่ามีฉากผีหลอนๆเยอะ กลายเป็นภาพเเม่ลูกที่พยายามหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไร้วิธีโต้กลับอย่างกดดัน ..และ ผมก็สินใจว่าจะคิดตามความคิดใหม่นี้ เเล้วเข้าไปดูหนังโดยไม่คิดว่าจะน่ากลัวมาก เเต่มันเป็นหนังดราม่าดีๆเรื่องนึง
เริ่มวิจารณ์..
...หนังเรื่องนี้เล่าถึงเเม่ลูกคู่นึง ที่ผู้เป็นลูกและแม่ดูมีอาการทางจิต และลูกก็ถูกคนรอบข้างมองว่า ประหลาด และ อันตราย ทำให้ผู้เป็นเเม่ต้องคอยดูเเลลูกอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา(อย่างอดทน) ลูกของเธอมักฝันร้ายทุกคืน ผู้เป็นแม่จึงกล่อมลูกนอนทุกคืน ด้วยการอ่านนิทานก่อนนอนให้ฟัง เมื่อคืนนึงเธอให้ลูกเป็นคนเลือกนิทานเอง ลูกก็ได้หยิบหนังสือเล่มนึงที่ชื่อว่า "มิสเตอร์ บาบาดุค" มาให้เเม่อ่าน หลังจากนั้นความหลอนก็เริ่มเกิดขึ้น
...สิ่งที่บาบาดุคทำให้ผมทึ้งได้ คือ "นักแสดง" นักเเสดงของบาบาดุคในหนังเรื่องนี้ เหมือนนักเเสดงที่ได้ "รางวัลออสก้าสาขานักเเสดงยอดเยี่ยม" จริงๆ โดยเฉพาะนักเเสดงเด็กที่เล่นเป็น "ซามูเอล" เด็กคนนี้เล่นบทเด็กของหนังได้อย่าง "น่ารำคาญ"(นี้คำชมนะครับ ไม่ได้ด่า) จนทำให้เรารู้ว่าผู้เป็นแม่ของหนังนี้ต้องมีความอดทนมากๆในบทของเธอ เพราะ เด็กคนนี้มันน่ารำคาญจริงๆ..ทางด้านผู้เเม่ก็เเสดงได้ดีเยี่ยมเช่นกัน เเสดงได้ลึกลับ อ่อนโยน ก้าวร้าว เเละ หวาดกลัว ได้อย่างลงรอยตามอารมณ์ของหนัง
..ทางด้านเนื้อเรื่องก็มีจุดเด่นที่เเปลกใหม่ 
ตัวหนังมีลักษณะคล้ายคลึงกับ "28 Day Later"ตรงที่ว่าใช้จุดประสงค์ของหนังเป็นตัวปูพรมเรื่อง แต่ใช้อารมณ์ของหนังเป็นตัวตกเเต่งพรมนั้นให้น่าดูเพิ่มขึ้นอีก(ในความคิดผมนะ) จุดประสงค์ของหนังที่แท้จริง ก็คือ "การบอกเล่าชีวิตของเเม่ลูกคู่นึงที่ต้องใช้ชีวิตอย่างอดทน เพราะ แม่และลูก มีความรักกันเเละกันที่ไม่เท่าเทียมกัน" (ลูกรักแม่ แต่เเม่กลับรำคาญลูก และ มองว่าลูกเพี้ยน ก้าวร้าว) เเละใช้อารมณ์ของหนังนั่นคือ "มิสเตอร์ บาบาดุค" เป็นตัวตกเเต่งเรื่องให้น่าดู.. เนื้อเรื่องของหนังคล้ายหนังเเนวจิตวิทยา ที่เล่นกับอารมณ์ของตัวละครเเม่เเละลูกคู่นี้ ในหลายๆอารมณ์ จนอารมณ์ในหนังเรื่องนี้ กลายเป็นอารมณ์แปรปรวน ที่เปลี่ยนผันตลอดเวลา จนเราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อๆไปได้เลย อีกทั้งหนังยังมีเรื่องราวที่ซับซ้อน แต่มีเหตุมีผลของมันเอง ซึ่งทำให้เรารู้ว่าหนังดูมีปมบางอย่างที่พยายามจะให้ตัวละครเหล่านี้เเกะมันออกให้ได้
จุดเด่นของหนังอีกจุดที่ผมเห็น นั่นคือ "หนังสือ มิสเตอร์ บาบาดุค" ที่ถือว่าเป็นการเรียกน้ำย่อยการเริ่มต้นความหลอนได้ดีจริงๆ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ซึ่งจุดนี้ผมขอชื่นชม ที่ผู้กำกับเรื่องนี้เลือกใช้ หนังสือป็อบ-อัพเป็นตัวเรียกน้ำย่อยความหลอนที่ผมว่ามันเเปลก และดีที่สุดเเล้ว
..ฉากต่างๆภายในตัวบ้านก็เรียกว่า "หลอน"อยู่เช่นกัน เพราะ พื้นที่ภายในตัวบ้าน มีความมืดอยู่ทุกจุด ต่อให้เช้าสว่างจ้าเเค่ไหน ก็ยังมีจุดๆนึงที่มืดสนิทอยู่เสมอ เสริมด้วยมุมกล้องที่ผมว่ามันดูดีสำหรับหนังเรื่องนี้
..ทางด้านตัวละครที่เป็นจุดเรียกให้ผู้ชมมาดูหนังเรื่องนี้ หรือ "บาบาดุค" ตัวปีศาจตนนี้ ถึงเเม้ว่ามันจะดูไม่เนียนนัก (ก็หนังมันทุนต่ำ) แต่ก็ใช้บรรยากาศรอบตัวต่างๆ อย่างความมืด และความเงียบ มาเสริมให้ บาบาดุค หลอนขึ้นไปได้อีกขั้นนึง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ความหลอนของบาบาดุค อีกอย่างนึงก็คือ "มันเป็นปีศาจ" ดังนั้น มันสามารถที่จะโผล่มา เมื่อไร ที่ไหน เวลาไหน ก็ได้ ซึ่งจุดนี้เองทำให้เหล่าคนดูหลอนตามตัวละครได้ เพราะ เราไม่รู้ และเดาไม่ถูก ว่ามันจะมาที่ไหน เมื่อไร เวลาไหนกันเเน่ (เเหม.. เป็นปีศาจที่ไม่รู้จักเวล่ำ เวลาเลยจริงๆ)
..แต่ถึงกระนั้น การที่นักวิจารณ์หลายคนบอกว่า "หลอนกว่า Insidious และ น่ากลัวกว่า The Conjuring" ผมว่า "มึงโกหก"(หรือไม่จริงนั่นเอง ‪#‎ขออภัยที่พูดหยาบ‬) แต่จะบอกว่า หลอนกว่า ก็มีอยู่ (มีฉากเดียว -_-) และการที่นักวิจารณ์ให้เรื่องนี้ไปถึง "5 ดาว" ผมว่า5ดาวที่นักวิจารณ์ให้ก็ถูกต้องนะ เพราะ เนื้อเรื่องมันเเปลก นักเเสดงเยี่ยม ดูกดดันเข้มข้น ลึกลับ งงงวย ดราม่า จิตวิทยา เเละ หลอนจากจิตอยู่ แต่ถึงกระนั้น มันก็มิอาจสามารถโค่นความหลอนสะท้านโลกันต์อย่าง "Insidious วิญญาณตามติด และ The Conjuring คนเรียกผี" ได้อย่างอยู่หมัด ถ้าให้เทียบจริงๆ "The Babadook ปลุกปีศาจ" เป็นได้เเค่ฉากเปิดตัวผีของหนัง "Insidious วิญญาณตามติด และ The Conjuring คนเรียกผี" เท่านั้น (คือเอาง่ายๆ พี่บาบาดุคครับ ผมว่า พี่หลอนได้มากกว่านี้นะ) ด้านคำวิจารณ์ดีๆ เเละการให้คะเเนน 5 ดาว อันนี้ผมไม่ค้านครับ เพราะ หนังมีเนื้อเรื่องแปลกใหม่ เเละ นักเเสดง แสดงได้ดีเยี่ยมจนผมแทบจะบ้าตามตัวละคร แต่การที่นักวิจารณ์มาเปรียบเทียบผิดๆว่า "หลอนกว่า Insidious และ น่ากลัวกว่า The Conjuring" มันไม่จริงที่สุด
..แต่ถึงกระนั้น "The Babadook ปลุกปีศาจ" ก็เป็นหนังที่ดีอีกเรื่องนึง หากคุณไม่ได้สัมผัสความหลอนอย่างเต็มเปี่ยม แต่คุณก็ยังสามารถสัมผัสความรักของแม่ลูกที่ไม่ลงรอยกัน ได้อย่างยินดี ผมว่าส่วนนึงที่ทำให้คนดูว่า "ภาพยนตร์ บาบาดุค ปลุกปีศาจ เป็นหนังผีไม่หลอน" ผมว่าคนที่ผิดไม่ใช่คนทำหนัง แต่เป็นตัวนักวิจารณ์มากกว่าที่ วิจารณ์เว่อเกินไป จนทำให้คนดูหวังสูงเกินไป (ฉนั้น เมื่อดูหนังจบ อย่าโทษผู้กำกับ คนเขียนบท หรือกลุ่มคนทำหนังในเรื่องนี้ เพราะ ส่วนใหญ่สิ่งที่ดึงดูดให้เราเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ คือ คำวิจารณ์ต่างๆนานา มากกว่า) ส่วนความเห็นที่ว่า "บาบาดุค ปลุกปีศาจ สมควรเป็นหนังผีแห่งปีนี้หรือไม่" นั้น อันนี้ผมคิดว่า "คุณเท่านั้นที่จะเป็นคนตัดสินใจได้ ไม่ใช่คนอื่น..." 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
10
การดำเนินเรื่อง
10
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
9.2
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
17 ตุลาคม 2557 01:29:34
The Babadook (Jennifer Kent / Australia / 2014)
 
เริ่มเรื่องมาช็อตแรกๆ มันแวบนึกถึงแม่ใน We Need to Talk about Kevin ที่มันออกแบบฉากแรกๆ ให้รู้สึกว่าตัวละครอยู่ในภวังค์ความทรงจำในอดีตที่เจ็บปวดตลอดเวลา  แถมยังดูแปลกแยกกับสังคมรอบข้างทำให้เราคอยตามติดความไม่ปกติไปเรื่อยๆ ด้วยการค่อยๆ เปิดเผยแบบคืบคลานรักษาระยะห่างจากเราสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ จนค่อยๆ เข้าประชิดตัวกอดรัดฟัดเหวี่ยงก่อนจะระเบิดตูมออกมาในที่สุด ถึงหนังทั้งสองเรื่องจะไม่ได้เหมือนกันแต่รู้สึกได้เลยว่าแม่ในบาบาดุคนี้มันต้องซ่อนความจิตแบบสุดทางแน่ๆ แล้วรูปแบบการตัดต่อมันก็เล่าเรื่องเล่าบรรยากาศให้ชีวิตประจำวันปกติของสองแม่ลูกมันลึกลับได้ดีมาก  มันน่ารักมันอบอุ่นแต่มันให้ความรู้สึกพิกลในความไม่ต่อเนื่องเนี้ยบนิ้งแบบให้เห็นร่องรอยการตัด  แต่เชื่อมโยงอารมณ์ทำให้รู้สึกถึงสภาวะไม่ปกติของทั้งสองแม่ลูกได้แนบเนียนพิเศษมาก
 
เรื่องราวของภรรยาหลังจากที่สามีตายด้วยอุบัติเหตุรถชนขณะขับรถพาเธอไปคลอดลูก ลูกชายที่รอดเกิดมาจึงกลายเป็นปมที่ตอกย้ำความสูญเสียสามีของหญิงแม่หม้าย ทุกปีวันเกิดของลูกคือวันตายของสามีสุดหล่อที่รักทำให้ตลอดระยะเวลา7ปีเธอไม่สามารถลืมความทรงจำเลวร้ายนั้นไปได้ง่ายๆ ชีวิตของแม่กับลูกที่นับวันยิ่งดิ่งลงเหวลึกแต่ปีศาจข้างในใจมันกลับฟูมฟักเติบโตขึ้นสวนทางผุดขึ้นมาเป็นบาบาดุคที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจอันอัดอั้นเศร้าหมองของแม่ และมีเพียงลูกชายคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรั้งสติของความเป็นแม่กลับคืนมาได้
 
รู้เหตุผลเลยว่าทำไมคนดูหลายคนไม่ชอบก็ผีมันไม่ใช่ผีในแบบที่หน้าหนังบอก ซึ่งหลายคนคงคาดหวังว่าเห็นแล้วต้องกลัวจนติดตาต้องตกใจจนสะดุ้ง แต่หนังไม่ได้สะดิ้งดิ้นแด่วไปทางนั้น ผีไม่ได้โผล่มาจนเกลื่อนเพียงเพื่อสร้างความบันเทิงตามจังหวะโครงสร้างหนังผีทั่วไปอย่างเดียว แต่ทำหน้าที่ปรากฏตัวเป็นโมทีฟสำคัญให้เห็นสภาพจิตใจของตัวละครแม่ในเรื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบทที่คมคายมีชั้นเชิงในฐานะหนังสยองขวัญที่สอดไส้ประเด็นได้แนบเนียนไปกับลักษณะตัวละครที่ซับซ้อนซึ่งออกแบบมาเพื่อขับประเด็นเรื่อง อย่างรายละเอียดพัฒนาการตัวละครที่ออกแบบใช้กับฉากโต๊ะกินข้าว  ฉากล้างจาน  ฉากรถชนที่สร้างภาพซ้ำให้ตัวละครระลึกเห็นซ้ำสองและนำไปสู่จุดเปลี่ยนที่สั่นสะเทือนทั้งตัวละครและคนดูอย่างมีพลัง
 
ชอบการสะท้อนบาปของแม่ในเรื่องให้ชัดขึ้นด้วยแบ็กกราวน์อาชีพนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับเด็ก ซึ่งในเวลาต่อมาเด็กกลายมาเป็นตัวกระตุ้นให้ระลึกปมในใจจนต้องเปลี่ยนอาชีพมาเป็นพนักงานโรงพยาบาลที่ก็ยังล้อกับการต่อสู้เยียวยาสภาวะทางจิตที่ยังคงไม่ลืมเลือนอดีตให้มีมิติได้มากขึ้นไปอีก จากแบ็กกราวน์ของแม่ยิ่งส่งให้บาบาดุคกลายเป็นศัตรูที่ออกแบบมาได้ฉลาดมากๆ ทั้งในด้านโครงสร้างบทที่เชื่อมโยงบาปของแม่ที่รู้สึกต่อลูกชายของตัวเองให้รู้ได้โดยที่ไม่ต้องเล่าตรงๆ ผ่านไดอะล็อก และคำว่า the boy ในหนังที่เป็นคำที่แม่ไม่ชอบให้ใครใช้เรียกแทน Samuel ลูกชายตัวแสบของตัวเอง ถึงมันจะเป็นแค่คำๆ เดียวแต่สามารถสร้างมิติได้ลึกถึงความรู้สึกตัวละครได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะคิดไปเองหรือเปล่าแต่มันทำให้เรารู้สึกตามได้ว่าแม่ในมุมความรู้สึกฐานะภรรยาเธอเกลียดชัง the boy เด็กชายที่เธอให้กำเนิดซึ่งใจเธอคาดโทษว่าเด็กชายคนนี้เป็นเหตุให้สามีของเธอตาย แต่ในฐานะแม่สำหรับเด็กชายที่ชื่อ Samuel นั้น เด็กชายคนเดียวกันนี้คือคนที่เธอรักมากที่สุดและพยายามต่อสู้กับบาบาดุคในใจตัวเองมาตลอดเวลา จนกระทั่งไล่ลูกไปกินขี้!
 
นอกจากนั้นยังชอบการกำกับที่มันไม่พยายามกระตุ้นความกลัวให้คนดูตื่นตกใจด้วยเทคนิคเครื่องมือตุ้งแช่แต่รักษาบรรยากาศลื่นไหลไปตามระดับพัฒนาการของเรื่องราวและภาวะจิตใจตัวละครที่ทำให้เราค่อยๆ ดำดิ่งตามไปเรื่อยๆ  รวมถึงการกำกับภาพโดยเฉพาะช็อตแทนสายตาทั้งหลายที่มันส่งอารมณ์และบรรยากาศแทนการใช้ผีน่ากลัวๆ ได้อยู่มือมาก ที่มองข้ามไปไม่ได้เลยคือการแสดงของทั้งแม่และลูก โดยเฉพาะแม่ที่แบกรับอารมณ์สุดขีดคลั่งได้มีน้ำหนัก ช่วงก้ำกึ่งแรกๆ ก็เก็บงำให้ชวนสงสัยได้ ช่วงค่อยๆ เผยเบื้องลึกในจิตใจก็สร้างความหวาดกลัวล่องลอยที่ให้เรารู้สึกเวทนาได้พอๆ กัน ส่วนหลอนๆ นี้ทำให้นึกถึงหนังอย่าง Magic Magic ขึ้นมาเลย
 
หนังปูทางเก็บเล็กผสมน้อยรายละเอียดที่สำรวจตัวละครในฐานะแม่ที่ต้องโดดเดี่ยวเลี้ยงลูกและเมียที่สูญเสียสามีที่รักได้ลุ่มลึกและซ่อนเงื่อนทางความรู้สึกแล้วยังไหลลื่นให้น่าติดตามไปได้ตลอดเวลา แต่ยังขัดแย้งในความรู้สึกสามัญส่วนตัวอยู่นิดหน่อยในส่วนของลูกชายที่ความสัมพันธ์ความใกล้ชิดกับแม่มันขึ้นๆ ลงๆ ดูไม่ลงรอยกันเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายใส่กัน ทำให้ตอนท้ายที่ลูกต้องมาช่วยแม่รู้สึกว่าลูกมันขาดความกลัวความลังเลไปหน่อยจนดูเด็กมันกล้าหาญเกินไป ในช่วงชลมุนก็จัดการกับบาบาดุคเหนือจริงไปหน่อยจนเราเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง คือถ้าบาบาดุคไม่มีตัวตนจริงเป็นเพียงภาพแทนจิตใจของแม่มันก็จะกลายเป็นว่าลูกชายสู้กับแม่ซึ่งในชุดความคิดของเด็กอายุเท่านี้มันดูเหมือนเด็กใน Home Alone ออกแนวแฟนตาซีไปทางคัลท์ไปเลย เพราะเด็กมันโดนทั้งลากขึ้นบ้านจับฟาดผนังแต่กลับไม่เป็นอะไรเลย ทำให้เผลอคิดออกนอกเรื่องว่าโตมามันจะกลายเป็น Wolverine หรือไงนะ  แต่ถ้ามองว่าเรื่องทั้งเรื่องเล่าผ่านPOVจิตหลอนของแม่มันก็จะหายรู้สึกไปได้เยอะ  แต่เสียงบางอันที่มันแผดแสบหูมากๆ จนหยีหน้าไปตามความถี่เดซิเบลเสียง แต่มันก็สนุกนะรายละเอียดการกำกับและการแสดงหลายอย่างก็พาให้สนุกไปด้วยและสุดท้ายยังดีที่ทุกอย่างที่ปูมาตั้งแต่ต้นเรื่องมันค่อยๆ หลอมมาเจอบรรจบกันในฉากไคลแม็กซ์ได้สะเทือนมากๆ จนเราน้ำตาคลอ...มันหนักหนาสาหัสมากๆ ขนาดถอนฟันด้วยมือเปล่ายังง่ายกว่าหลายขุม...

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
10
การดำเนินเรื่อง
9.5
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
8.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)

GUEST
ฐิติวัฒน์
16 ธันวาคม 2557 20:28:59
สนุกมากกกกค่ะ
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
17 ตุลาคม 2557 15:11:23
 
การเเสดงของเเม่-ลูก คู่นี้เป็นการเเสดงที่ยอดเยี่ยมมากๆ สมควรได้ 5 ดาว และรางวัลออสก้าสาขานักแสดงยอดเยี่ยม จริงๆ (แสดงจนน่ารำคาญ ได้อารมณ์สุดๆ)
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
GUEST
ดิว
12 ตุลาคม 2557 14:37:33
อยากดูมาก
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

หนังภาพยนตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง