Greenland - นาทีระทึก..วันสิ้นโลก
หนัง Greenland หรือชื่อไทยว่า นาทีระทึก...วันสิ้นโลก เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ต้องเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ดาวหางพุ่งชนโลก โดย John Garrity (Gerard Butler), Allison (Morena Baccarin) และ Nathan ลูกชายของพวกเขาต้องเดินทางฝ่าอันตรายเพื่อไปยังสถานที่ปลอดภัย ท่ามกลางข่าวร้ายว่าเมืองต่างๆ ทั่วโลกถูกทำลายด้วยชิ้นส่วนของดาวหางนี้
A family fights for survival as a planet-killing comet races to Earth. John Garrity (Gerard Butler), his estranged wife Allison (Morena Baccarin), and young son Nathan make a perilous journey to their only hope for sanctuary. Amid terrifying news accounts of cities around the world being leveled by the comet's fragments, the Garrity's experience the best and worst in humanity. As the countdown to global apocalypse approaches zero, their incredible trek culminates in a desperate and last-minute flight to a possible safe haven.Credit Rotten Tomatoes
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
GREENLAND คือหนังที่เศร้าที่สุดในปีนี้....
ตอนแรกลังเลว่าดูเรื่องอะไรดีระหว่างเทสล่ากับกรีนแลนด์ แต่เห็นแค่โปสเตอร์หนังว่าเป็นเจอราร์ด บัตเลอร์แสดง โปสเตอร์หนังสวยๆ อลังๆ น่าจะเป็นแนวหนังบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ฝ่าวิกฤตหนีตายดาวตกถล่มโลกอะไรประมาณนั้น เลยเข้าไปดู แล้วก็เริ่มรู้สึกแหม่งๆ ก็มุมกล้องแปลกๆ เฟรมภาพอึดอัดๆ เพลงที่ไม่รื่นหูเหมือนหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์ เริ่มได้กลิ่นความ "หนังเกรดบี" ออกมาหน่อยๆ ตั้งแต่การแสดงใดๆ ของนักแสดง การตัดต่อในการเล่าเรื่องเอย ภาษาภาพเอย มันช่างบีจนเกือบเหมือนหนังนักศึกษาฟอร์มยักษ์อย่างใดอย่างนั้น จนเริ่มรู้สึกชัดเจนว่านี่เราไม่ได้กำลังดูหนังฟอร์มยักษ์แบบที่เดวนย์ จอห์นสันหนีตายปนกู้วิกฤตจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวถล่มเมือง หรือหนังหนีตายอย่างหนังฟอร์มยักษ์ 2012 หรือแนวกระเตงลูกเอาชีวิตรอดเล่าเรื่องได้เฉียบวิ้งแบบ Quite Place หรือTrain to Busan อะไรประมาณนั้น แต่นี่มันช่างเป็นหนังที่โซบี....เวรี่บีเสียเหลือเกิน จะบอกว่าเป็นบีที่คัลท์เต็มไปด้วยแพชชั่นน่าติดตามเหมือน Evil Dead ก็ไม่ใช่ มันดูอึดอัดปนหงุดหงิดตรรกะความคิดของตัวละครซึ่งน่าจะมาจากบทที่ไม่ได้ทำให้เชื่อหรืออินตามขนาดนั้น ทำให้เกิดอารมณ์เวลาพยายามทำความเข้าใจเรื่องหรือตามตัวละครแบบ... "จริงดิ?" , "ไม่มั้ง...ทำแบบนี้จริงๆ หรอ" , "อย่าเลย..." อยู่ตลอดเวลา และซีจีก็ยิ่งเศร้า ซึ่งจะบอกว่าเทียบหนังไทยสมัยนี้ก็ยังไม่ติดเลย นาคีเอย...แสงกระสือเอย... ขุนเดชเอย.... จอมขมังเวทย์เอย... ขุนแผนดาบฟ้าฟื้นเอย...ล้วนทำซีจีได้ดีกว่าเรื่องนี้มากๆ ยิ่งดูยิ่งหดหู่ยิ่งเศร้ายิ่งนึกถึงเรื่องเทสล่าว่าน่าจะดีกว่านี้ไหมน้า.....คิดอยู่แบบนี้ตลอดเวลา ถ้าใจไม่รักหนังแนวบีๆ แบบนี้จริงๆอาจทนไม่ไหว(เหมือนข้าพเจ้า) แต่ถ้าใครคลั่งไคล้หลงไหลเสพถึงก็เชิญได้เลยครับ น่าจะเอ็นจอยการได้ดูอะไรแบบนี้ในโรงภาพยนตร์ก็คงฟินสะใจดี
สรุปผลวิจารณ์หนัง
สนุกมากครับ ผมให้คะเเนนสั่นๆ
เรื่องนี้เป็นหนังวันสิ่นโลกที่สนุกมาก
หนังอาจไม่ได้บ้านเมืองตูมตามมากนักไม่ได้มีฉากถัยธรรมชาติมากหนัก
เเต่ก็ลุ้มตามเรื่องราวได้ดีมากเลยที่เดียวมีฉากดร่ามากเรียกน้ำตาผมชอบฉากตอนท้ายนะลุ้นจนลุ้นจนตัวเกร็ง เป็นหนังที่ดีอีกเรื่องที่อยากให้ดู
คุ้มมากกลับที่ฝ่ารถติดไปดู
วันนี้ขอสั่นๆเเค่นี้นะครับผมต้องรีบไปทำงานเเล้ว
เดียวงานเข้าเอง555
Greenland - นาทีระทึก..วันสิ้นโลก
8.7/10
สรุปผลวิจารณ์หนัง
[รีวิว] Greenland - นาทีระทึก...วันสิ้นโลก
--- 8.4/10 ---
หนังภัยพิบัติที่สนุกเกินคาด และดู Real มาก
ไม่ใช่หนังสูตร ไม่มีฮีโร่ ไม่มีฉากเวอร์
สนุกด้วยความธรรมดาของตัวละคร ที่ลุ้นเอาใจช่วยจนเหนื่อย
Greenland บอกเล่าเรื่องราวของดาวหางที่ชื่อว่าคลาร์กหลุดวงโคจรจากอีกระบบสุริยะกำลังพุ่งมายังโลก ซึ่งสะเก็ดดาวนั้นกำลังจะสร้างหายนะและล้างบางมนุษย์ทั่วโลก ทำให้พระเอกและครอบครัวถูกเลือกจากทางประธานาธิบดีให้ไปหลบภัยยังสถานที่รัฐจัดให้ จึงเกิดเป็นการฝ่าฟันวิกฤติ เผชิญหน้าอันตรายเพื่อเอาชีวิตรอด
หลายคนอาจจะเคยผ่าน เคยเห็น เคยได้ยินข่าวเกี่ยวอุกาบาตที่เฉี่ยวโลกมีเศษอุกาบาตหล่นมายังโลกบ้าง แต่ก็ตกลงน้ำไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็หยิบเอาประเด็นนั้นแหละมาต่อยอดว่าถ้าเกิดมันเป็นอะไรขึ้นมาล่ะ ถ้ามันไม่ได้ตกน้ำละ มันตกลงบนพื้นและสร้างความวินาศสันตะโรอย่างรุนแรงล่ะจะเป็นยังไง
ไปดูแบบไม่คาดหวัง แต่ผลลัพธ์คือมันสนุกจริงๆ มันไม่ใช่หนังภัยพิบัติอย่าง The Day After Tomorrow, 2012 หรือหนังภัยพิบัติทั่วไป ที่มีฉาก CG อลังกาล แห่งความชิบหายของภัยพิบัติอย่างรุนแรง ไม่มีฉากเวอร์ๆ เหนือมนุษย์ของตัวเอกเท่ๆ แต่เรื่องนี้มันคือหนังภัยพิบัติที่บอกเล่าว่าความชิบหายที่มนุษย์ธรรมดาๆ อย่างเราอาจประสบพบเจอหากมันเกิดขึ้นจริง และวิบากกรรมตัวละครที่ต้องประสบพบเจอถูกบีบให้เจอปัญหาตลอด ก็ทำให้คนดูไม่ค่อยได้พักหายใจหายคอ ลุ้นเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่น
ชอบความที่หนังไม่ได้บันยะบันยังยัดเยียดภัยพิบัติให้ตัวละครเจอตลอด มันใส่มาแบบพอดี แต่หนังยังใส่ใจว่าความเลวร้ายเมื่อเกิดภัยพิบัติจริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องภัยพิบัติอย่างเดียวนะ มันยังมีเรื่องราวของมนุษย์ที่เข่นฆ่าเอาเปรียบกัน ขโมยของ ปล้นสะดม หาทางเอาชีวิตรอดไม่สนกฏเกณฑ์ ไม่สนผิดชอบชั่วดี นั่นแหละสิ่งเหล่านี้ยังทำให้มัน Real มากๆ และมันคือสิ่งที่ตัวละครต้องเผชิญ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องหนีจากภัยพิบัตินะ มันก็มีนะ และมาทีก็น่ากลัวไม่ใช่เล่น สำคัญคือมันบาลานซ์สิ่งเหล่านี้ได้ดีเลยทีเดียว
สิ่งสำคัญคือเหตุการณ์ต่างๆ หนังมันไม่ได้มีฉากที่ทำให้แบบ "ขนาดนั้นเลยหรอวะ" "เวอร์ไปมั้ง" เช่นแบบสโลโดดข้ามตึกพร้อมไฟที่ลุกไหม้ตามมาข้างหลัง มันไม่มีฉากแบบนั้นเลย อาจจะมีความโชคดีอยู่บ้างในเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่ฉากโชว์ปาฏิหาริย์แน่นอน
ด้วยความที่หนังเลือกนักแสดงนำเป็น Gerard Butler ด้วยแล้วนั้น ที่ผ่านหนังเวอร์ๆ มามากมายไม่ว่าจะ 300, หรือตระกูล Has Fallen ที่ค่อนข้างเวอร์ เราก็ติดภาพความเวอร์ของเขาว่าในเรื่องนี้มันต้องมีฉากแบบเวอร์ๆ ของพระเอกให้เราเห็นแน่นอน แต่มันเปล่าเลย เรื่องนี้ Gerard Butlter สะบักสะบอม ไม่มีฉากเท่ๆ เปรียบดั่งมนุษย์เดินดินธรรมดาๆ เนี่ยแหละ มันเลยทำให้เรายิ่งอยากเอาใจช่วย ร่วมลุ้นไปกับทุกเหตุการณ์ที่ตัวละครต้องเจอ
หนังเล่าเรื่องภูมิหลังตัวละครได้อย่างชาญฉลาด ไม่เสียเวลาเล่าแบบเปลืองเวลาหนังเลยก็สามารถทำให้คนดูเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
และการแสดงของ Morena Baccarin ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ ฉากเอาตัวรอดหรือฉากดราม่าก็ทำออกมาได้ดีมากๆ จริงๆ เราชอบเธอตั้งแต่ในซีรีส์ Gotham ละนะ พอได้เห็นการแสดงของเธอในเรื่องนี้ยิ่งทำให้เราคิดว่าเธอมีความสามารถที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
สรุปแล้ว โดยภาพรวมของ Greenland มันอาจจะดูไม่ได้แปลกใหม่ แต่ความแปลกใหม่มันคือความแตกต่างในรายละเอียดระหว่างทางที่มันกำลังเกิดขึ้น มันไม่ใช่หนังตามสูตร มันมีฮีโร่ มันคือความธรรมดา ความ real ที่ตัวละครต้องเจอเนี่ยแหละ มันจึงทำให้เราลุ้น ระทึก เอาใจช่วยจนเหนื่อยเลย
ปล. จริงๆ ชอบฉากก่อนจบมากนะ มันปล่อยให้คิดได้ต่อ และพอมาเป็นฉากจบแบบนั้นก็ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่แอบเสียดายนิดนึง จริงๆ เอาฉากจบนั้นมาใส่ไว้ในหลัง End-Credit จะยอดเยี่ยมมาก
Greenland หนังหายนะที่โดดเด่นในการชูประเด็นความเป็นมนุษย์ธรรมดา ได้อย่างเข้าใจน่าติดตามเป็นที่สุด
ช่วงหลังๆนี้ต้องบอกเลยว่า ทิศทางของการทำหนังหายนะต่างๆไม่ว่าจะเป็น อุกาบาตชนโลก / เอเลี่ยนบุก / แผ่นดินไหว / ภูเขาไฟระเบิด / โลกแตกตามคำทำนาย ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างมาหลากหลายครั้งนับไม่ถ้วน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะชูประเด็นการเอาตัวรอดในแบบผิวเผิน และดำเนินเรื่องในด้านภาพรวมของมุนษยชาติเป็นหลัก ตัดภาพสลับไปกับการดำเนินการช่วยเหลือของรัฐบาลแต่ละประเทศ
ซึ่งในเรื่อง Greenland นี้ขอสวนกระแสการเล่าเรื่องแบบในภาพรวมแล้วโฟกัสตัวละครหลักอย่างครอบครัวเล็กๆที่มีแค่เพียง พ่อแม่ ที่กำลังระหองระแหงจะเลิกกัน และลูกชายผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ที่ได้รับข้อความที่รัฐบาลแรนดอมให้ทั้งครอบครัวเป็นกลุ่มผู้อพยบไปยังหลุมหลบภัย เพื่อรอการเริ่มต้นใหม่หลังจากหายนะดาวตกพุ่งชนโลก ซึ่งกว่าจะไปถึงที่นั่นได้เกิดเห็นการผลิกผันมากมาย ทั้ง 3 ตัวละครหลักถูกจับให้แยกกัน และต้องเดินทางตามหากันให้ทันเวลา ก่อนที่หายนะจะทำลายล้างทั้งโลก
เอาเข้าจริงแล้วการที่ตัวหนังมาเล่าเรื่องแบบนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องของการที่ต้องการประหยัดทุนสร้างฉากหายนะใหญ่ๆเวอร์อลังๆ แบบหนังสไตล์นี้เรื่องอื่นๆที่เคยทำมาก่อนหน้า แต่กลับกันสำหรับผม การที่ตัวหนังไม่ได้โฟกัสที่จะขายฉากหายนะเป็นหลัก แล้วประเด็นความสัมพันธุ์ระหว่างตัวละครเล่าแบบเบาบาง นั่นหลังๆผมค่อนข้างไม่อินเท่าไหร่ แต่สำหรับเรื่องนี้อินหนักมาก และโดนใจที่ผู้สร้างเลือกที่จะเล่าในรูปแบบนี้ 7.5/10
สรุปผลวิจารณ์หนัง