Tenet - เทเน็ท
หนัง Tenet หรือชื่อไทยว่า เทเน็ท เรื่องราวของสายลับคนหนึ่งที่ต้องฝึกใช้อุปกรณ์บางอย่างที่จะเปลี่ยนโลกนี้ไปตลอดกาล เรื่องราวเกี่ยวข้องกับกลไกของเวลา ที่อย่าพยายามเข้าใจ ให้ใช้ความรู้สึก
The plot is currently unknown. The project is described as an action epic revolving around international espionage, time travel, and evolution.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
[รีวิว] TENET
--- ?/10 ---
หนังสนุกนะ ยิ่งคุยกันหลังหนังจบยิ่งโคตรสนุก (และโคตรงง)
มันคือความสนุกแบบงงๆ และไม่เข้าใจในหลายจุดเลย
ก่อนอื่นเลย ขอบอกไว้ก่อนว่ารีวิวนี้ไม่มีคะแนนนะ เพราะเราไม่รู้จะให้คะแนนหนังเรื่องนี้ยังไงจริงๆ เราไม่อยากให้คะแนนหนังที่เรายังไม่เข้าใจมันจริงๆ ไม่อยากทรยศเรื่องราวของมัน เลยอยากจะมาบอกเล่า บอกความรู้สึกสักหน่อยละกัน
TENET เป็นหนังของ Christopher Nolan เป็นเรื่องราวของคนที่กำลังจะหยุดยั้งไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 จากอุปกรณ์บางอย่าง เล่าแค่นี้ละกัน
นับได้ว่า TENET เป็นหนังใหญ่เรื่องแรกหลังจากการกลับมาเปิดโรงหนังหลังสถานการณ์ Covid-19 ที่มันไม่ใช่แค่หนังใหญ่เท่านั้น ด้วยชื่อชั้นของ Christopher Nolan มันขายได้อยู่แล้ว มันยิ่งทำให้อยากออกมาใช้โรงหนังกันมากขึ้น เป็นปรากฏการณ์อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เห็นมานาน เอาจริงๆ คือไม่เห็นคนมาดูหนังคนเยอะมากมานานแล้วเหมือนกัน
เข้าเรื่องเลย คือหนังเรื่องนี้บอกตรงๆ ว่าดูรอบแรกไม่เข้าใจ และไม่รู้ด้วยว่าถ้าไปดูรอบ 2 จะเข้าใจหรือเปล่า หรืออาจต้องดู 3-4-5-6 รอบถึงจะเข้าใจมันทั้งหมด
หนังมีความยาว 2 ชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว แต่ด้วยความยาวนั้นมันไม่มีช่วงที่น่าเบื่อเลยจริงๆ เพราะบทพูดแต่ละอย่างมันสำคัญและส่งผลกับเนื้อเรื่องมาก บางฉากเป็น Hint บอกไบ้อะไรบางอย่าง บางฉากก็พูดเรื่องทฤษฏี ที่อารมณ์เหมือนเข้าไปนั่งเรียนในห้องเรียนวิชาที่เราไม่เข้าใจเลย พ่นกันไฟแลปมาก ทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ถึงทันก็ยังคงมีหลายจุดที่งงๆ
แต่การดำเนินเรื่องมันไม่ได้เข้าใจยากอะไรหรอก มันเข้าใจยากตรงสถานการณ์แต่ละอย่างที่มันเกิดขึ้นนี่แหละ มีในฉากนึงบอกว่า "อย่าใช้ความเข้าใจ ให้ใช้ความรู้สึก" เปิดเรื่องมายังพอเข้าใจ ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที งองูสองตัวเริ่มชนกันละ และเริ่มชนกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ตามที่หนังดำเนินไป 555 คือพอดูมันก็เหมือนจะเข้าใจนะ แต่พอมันคิดต่อว่า เห้ยทำไมเป็นงั้น ทำไมเป็นงี้ มันก็ไม่เข้าใจเฉยเลย 555 หนังมีการพูดถึงเรื่อง Entropy เอย Paradox เอย คือไม่เข้าใจเลยช่วงนั้น
ยิ่งช่วงท้ายของหนังนี่ทุกอย่างมันรวดเร็วมาก มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด ใครเป็นใคร ใครทำอะไร อะไรเกิดขึ้นบ้าง ทำไมเกิดแบบนั้น ทำไมเกิดแบบนี้ ยิ่งฉากคุยกันของตัวเอกตอนเกือบจบเรื่องนี่ยิ่งโคตรงง พูดไรกันวะ?
เราไม่ได้เข้าใจหรือตกผลึกมันอย่างถ่องแท้ก็จริง แต่หลังจากหนังจบได้นั่งคุย นั่งถกกันก็ให้ความรู้สึกสนุกนะ แล้วก็ได้รู้สิ่งที่คนอื่นคิด รวมถึงได้บอกเล่าสิ่งที่เราคิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือการคาดเดา การคาดคะเน สิ่งที่น่าจะเป็น และก็ไม่รู้ว่ามันจะใช่อย่างที่เราคิดจริงๆ หรือเปล่า แต่เอาเป็นว่าดูจบคุยกับเพื่อนได้ยาวๆ เลย
ไม่รู้มันจะกลายเป็นจุดด้อยของหนังหรือเปล่ากับบทที่มันเข้าใจยากขนาดนี้ มัน High Concept มาก แต่ที่แน่ๆ Nolan แกต้องมีกระบวนการความคิดแบบไหนเนี่ยที่ถึงนึกเรื่องราวแบบนี้ออกมาได้ ปกติหนังยิ่งดูยิ่งคลายปม เรื่องนี้ยิ่งดูยิ่งงง 5555
หนังมีฉากแอ็คชันที่น่าทึ่งมาก ไม่ว่าจะฉากแอ็คชันระหว่างทางหรือฉากแอ็คชันช่วงท้ายเรื่อง มันคือความสร้างสรรค์ ความทะเยอทะยาน ความบ้ากล้าทำของ Nolan นี่แหละ
แต่สิ่งที่สัมผัสได้แน่ๆ และยอดเยี่ยมสุดๆ คือดนตรีประกอบจากการประพันธ์ของ Ludwig Göransson ที่ออกแบบดนตรีออกมาได้เท่ ระทึก ตื่นเต้น และยอดเยี่ยมสุดๆ
อีกหนึ่งสิ่งที่ชัดเจนและสัมผัสได้คือฝีไม้ลายมือการแสดงของเหล่านักแสดงนำ เริ่มตั้งแต่ John David Washington ในบทตัวเอก (The Protagonist) ที่เล่นได้ดีนะ แต่ไม่มีบทส่งให้น่าจดจำอะไรขนาดนั้น แต่สิ่งที่น่าชื่นชมสุดๆ คือการแสดงของ Robert Pattinson ในบท Neil เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และน่าสนใจมากๆ คือเราไม่เคยชอบการแสดงบท Edward Callen ในแฟรนไชส์ Twilight ของเขาเลย แต่การแสดงช่วงหลังๆ ของเขามันยอดเยี่ยมมาก ที่ผ่านมาใน The Lighthouse ก็ยอดเยี่ยม และในเรื่องนี้ก็แสดงออกมาได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เขาคือนักแสดงคุณภาพจริงๆ และบทนางเอก Elizabeth Debicki เธอสวยมากถึงมากที่สุด สูงนางแบบมาก การแสดงของเธอก็ไม่ธรรมดา
แต่ข้อด้อยที่เห็นชัดคือเราไม่ได้สัมผัสถึงตัวละครเท่าไหร่ นิสัยใจคอ ภูมิหลัง หนังเลยดึงคนดูไปผูกพันกับตัวละครไม่ได้มากเท่าที่ควร ทำให้ตัวละครมันไม่ค่อยมีมิติสักเท่าไหร่ ในตอนท้ายเรื่องเราเลยไม่อินกับเรื่องราวเหมือนตัวละครเรื่องอื่นๆ ของ Nolan
สรุปแล้ว TENET เป็นประสบการณ์ดูหนังที่แปลกใหม่เหมือนกัน เป็นการดูหนังกระตุ้นสมองสุดๆ ดูไปคิ้วขมวดไป แต่ก็หาไม่ได้จากหนังเรื่องอื่น โดยภาพรวมมันสนุก แต่ไม่เข้าใจในหลายจุดเหมือนกัน แต่การออกมาได้คุยกับเพื่อนก็เป็นความสนุกที่ส่งผลมาจากหนังนั่นแหละ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
ดูรู้เรื่องไหม? - รีวิวจากใจแบบไม่สปอยล์
หลังจากเห็นคนเริ่มดูและเริ่มรีวิวหนังเรื่องนี้ว่า "ดูไม่รู้เรื่อง" บ้างล่ะ "ต้องจด" บ้างล่ะ แถมเป็นหนังของคุณโนแลน (ผู้กำกับ Inception,Interstellar,Dunkrik) ซะด้วยเลยยิ่งอ่านรีวิวอ่านวิจารณ์ยิ่งแพนิค แต่หลังจากไปดูแล้วพบว่าก็ไม่ได้ขนาดน้านนนน เราปล่อยตัวเองไหลๆ ไปกับเรื่องเรื่อยๆ ตามทันบ้าง หลงประเด็นบ้าง ลืมว่าตัวละครกำลังต้องทำอะไรบ้าง ดูๆ ไปเดี๋ยวก็เริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องได้เอง บางทีดูไม่รู้เรื่องระดับเพลงโหมตื่นเต้นมาแล้วเรายังตามอารมณ์ตัวละครไม่ทันเลย "ตอนนี้ต้องรู้สึกตื่นเต้นแล้วหรอ ตอนนี้ต้องเศร้าแล้วหรอ รู้สึกงงอยู่เลย" 😅) เรื่องซับซ้อนมากเลย ย้อนเวลาไปย้อนเวลา บอกได้ว่าล้ำจัด เฮียโนแลนแกกลับมาพร้อมวิชวลและการนำเสนอเรื่องราวล้ำๆ ได้ตลอด เรื่องนี้ซับซ้อนกว่า Inception ฝันซ้อนฝันซ้อนฝันซ้อนฝันและผสมการเล่าเรื่องที่เล่าไปเล่ามาเล่าไปเล่ามาแบบ Dunkrik อีกประมาณนึงบวกทฤษฏีฟิสิกส์ที่ยากกว่ารูหนอนและหลุมดำใน Interstellar สามพันล้านเท่าจนดูแล้วเหมือนลิงนั่งฟังมนุษย์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์คุยกันประมาณนั้น ก็พอรู้เรื่องประมาณนึงแต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด ฉากแอคชั่นสนุกล้ำจัด คิดได้ไงคนนึงต่อสู้กับอีกคนนึงที่กำลังออกท่าทางแบบbackward ชื่นชมการแสดงและการออกแบบการแสดงและการกำกับของลุงจริงๆ เพลงก็กลางๆไม่ได้จำTheme Song ได้เหมือนตอน Interstellar หรือ Inception
ส่วนนักแสดงนำสองคน คือพี่บึ้กที่ชื่อพี่จอห์น(ที่หน้าตาคล้ายๆแบล็กแพนเตอร์แต่ดูโหดกว่า) พี่แกจะเป็นเสมือนไกด์ทัวร์โลกหนังเรื่องนี้ให้เราเลยล่ะ แต่พี่แกพาพวกเราซิ่งประมาณนึง ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าพี่แกทำอะไรและมีความสามารถอะไร ก็ดูไปเรื่อยๆ ไหลๆ ไปกับแกแหล่ะ อีกคนหนึ่งคือพี่โรเบิร์ต ไอแอมแบตแมน ตัวแทนลีโอนาร์โดใน Inception ชัดๆ หนุ่มผมบลอนด์กับบทซีเรียสจริงจังๆ ก็เท่ๆ กันไป
ถ้าใครเป็นสาวกหนังโนแลนก็ไม่ควรพลาด สมควรดูสักสองรอบเพื่อเก็บรายละเอียด(แต่ขอไม่ละกัน) บางคนก็รอดูไอแมกซ์ (ส่วนตัวคิดว่าวิชวลไม่ได้ขนาดนั้น) ใครรู้สึกอยากลับสมองประลองปัญญา ชีวิตดีเกินไปไม่มีอะไรท้าทายก็เชิญตีตั๋วเลย ส่วนใครต้องการความบันเทิงแอคชั่นโหดมันส์เรื่องนี้ก็ได้อยู่ แต่ไม่ใช่แบบ Taken John Wick บู๊จัดแอคชั่นแซ่บอะไรขนาดนั้นนะ จะแนวต้องเสพเนื้อเรื่องฉลาดล้ำนำคนดูไปด้วยประมาณนึง
- เด็กเดินตั๋ว -
สรุปผลวิจารณ์หนัง
TENET
" อย่าพยายามใช้สมองเข้าใจ ให้ใช้ความรู้สึกเข้าถึง "
150 min | Action/Sci-fi | Directed by Christopher Nolan
ภาพยนตร์ไซไฟไฮคอนเซ็ปต์ผลงานเรื่องล่าสุดของเสด็จพ่อโนแลนกับเรื่องราวที่ว่าด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์สามารถควบคุมการไหลย้อนของเวลาได้ คือก่อนหน้านี้เล่นกับอวกาศ ความฝันแล้ว แต่รอบนี้มาเล่นกับกลไกทางด้านเวลาและจับมาสวมในหนังสไตล์แอ็คชันจารชน
นี่เป็นงานของโนแลนที่ค่อนข้างบันเทิงมาก แต่ต้องบอกว่ากลิ่นอายหลายอย่างจากงานเก่าๆ มันหายไปค่อนข้างเยอะเลยนะ อย่างดนตรีประกอบเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ Hans Zimmer แล้ว แต่ตัวหนังโดยรวมยังสนุกอยู่ คือพล็อตมันไม่ได้แปลกใหม่มาก แต่กลไกและธีมลูกเล่นที่หนังใช้เล่าหรืออธิบายของหนังเนี่ยมันชวนคิดชวนต่อยอดได้สนุกมาก ซึ่งมันก็เป็นเหมือนดาบสองคมเหมือนกันเพราะด้วยวิธีการเล่าที่เป็นท่ายากแบบนี้ก็อาจจะชวนงงได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนดูอยากให้ทุกคนทวนคีย์เวิร์ดที่หนังบอกเราก่อนดู ซึ่งผมก็ใช้และตอนดูมันก็ได้ผลมากนั่นก็คือ อย่าพยายามใช้สมองเข้าใจ คือไม่ต้องไปคิดเยอะ ไม่ต้องไปพยายามคิดดักอะไรมาก ให้ใช้ความรู้สึก เพราะตัวหนังเองก็บอกทั้งหมดถึงคอนเซ็ปต์และภาพรวมของหนัง ถ้าเราเก็ตกับคอนเซ็ปต์โดยรวมแล้วมันจะทำให้เราลดความงงลงไปได้มากเลยทีเดียว ชื่นชมเลยนะคือผมว่าความพิเศษของหนังโนแลนมันคือแนวคิดการเล่าเรื่องของเขาที่เออมันฉลาดมาก มันล้ำมากจริงๆ แล้วการเลือกนักแสดงเรื่องนี้ John David Washington คือเท่มาก แต่ที่เท่สุดต้องยกให้ Rob Pattinson ที่ตอนนี้เขาสลัดคราบแวมไพร์ทิ้งไปหมดกลายเป็นนักแสดงมาดเท่ที่สุดคนนึงไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้พวกงานสร้างอาจจะไม่ได้ชวนว้าวเท่าเก่าแล้ว แต่ด้วยความเนียบของการคราฟต์ระดับคริสโตเฟอร์ โนแลนแล้วนี่เป็นหนังที่ควรไปรับชมในโรงภาพยนตร์อย่างยิ่ง งานภาพอาจจะไม่ได้พิเศษไปกว่าเรื่องอื่นมากนัก เฟรมดีไซน์เรื่องก่อนๆ แม้แต่หนังที่ผมเฉยๆ อย่าง Dunkirk ยังดูสวยกว่าแต่เรื่องนี้เรื่องเสียงคือมันส์หูมาก เสียงแน่นจัด ควรดูในระบบ IMAX ที่เสียงมันเต็มๆ อย่างยิ่งเลย
แต่คือถ้าจะให้ติอะไรสักอย่างของหนังจริงๆ ผมว่าเป็นเรื่องของการตัดต่อนี่แหละ มันดูฉึบฉับดูเร่ง pacing เกินความจำเป็นไปหน่อย บางครั้งเราพึ่งจะรับสารบางอย่างมา คือไม่ต้องถึงกับทิ้งให้เรามีเวลามากเพื่อใช้ความคิดแต่ก็น่ามีช่องว่างให้ใช้ความรู้สึกหน่อย การตัดต่อนี่กลายเป็นหนังเร่งจริง ระทึกจริง แต่มันกลายเป็นยิ่งทำให้หนังดูยากเข้าไปใหญ่ (หนังนานด้วย)
โดยรวมแล้ว TENET มันเป็นหนังที่บันเทิงมาก ทั้งกับแนวทางของหนังด้วย ทั้งการเล่าเรื่องและไอเดียต่างๆ โดยรวมมันไม่ได้เข้าถึงยากอะไรอย่างที่เราคิด เป็นหนังที่แบบอย่างน้อยควรต้องไปลองดูสักหน่อย เป็นไอเดียการเล่นกับเวลาที่ทำให้เราได้สนุกคิดกับมันไปอีกแบบเหมือนกัน อยากให้ลองไปดูเลยฮะ ถ้าให้ดีอย่าลืม IMAX จะฟินสุด
สรุปผลวิจารณ์หนัง
นี้คือรีวิวเทน็ท
ผมคอรีวิวในส่วนที่พอรีวิวได้
บางส่วนยัง งง ครับ กว่ารีวิวจะออกมาไม่ดี
ข้อดี
-หนังนำเรื่องเวลาใาใช้ได้ดีมีความเเปลกใหม่ในการเล่าเรื่อง
-หนังมีการตัดต่อที่รวดเร็วได้ไหลรื่น
-มีความซับซ้อนของหนังมากเยอะเลยที่เดียว
-เสียงเพลงที่ประกอบในหนังทำให้หนังหน้าตื่นเต้น
-เเง่ความบันเทิงมีความสนุกนะครับ
-ตัวร้ายทำออกมาได้ดี มีมิติทำให้รู้สึกว่าปราบมันคงไม่ไง่าย
เเถมยังเก่งเเละฉลาดด้วยครับ
ข้อเสีย
-หนังอ้างทฤษฎีหลายเรื่องไม่ได้มีเเค่เรื่องเดียวดูเเล้วงงมาก
เเตกต่างจากหนังโนแลนเรื่องอื่นที่ อ้างทฤษฎีเดียว ทำให้ดูง่ายกว่านี้
หนังดูยากไม่เหมาะคนที่ไม่ชอบอะไรซับซ่อน ไม่ใช่หนังดูง่าย
ขนานผมยังดูไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ผมว่าเรื่องนี้เป็นผลงานที่เเย่ที่สุดเเล้วตั้ง
เเต่ที่ โนแลนเคยทำมา เเต่หนังก็ไม่เเย่มากเเต่รู้สึกดูเเล้วไม่ค่อยสนุกเท่าที่ควร
ใครคิดว่าหนังจะใหญ่เท่ากับอเวนเจอร์ฟอร์มยักษ์เรื่องอื่นๆคงจะผิดหวังครับ
ขอเเค่นี้นะครับ เพราะที่เหลือผมไม่เเน่ใจควรพูดไหม
Tenet อย่าพยายามที่จะเข้าใจ จงใช้ความรู้สึก
ประโยคเดียวที่สามารถนิยามหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องได้ คงหนีไม่พ้น "อย่าพยายามที่จะเข้าใจ จงใช้ความรู้สึก" เพราะยิ่งคุณพยายามที่จะทำความเข้าใจหนัง มันจะยิ่งพาคุณหลงทางและงงไปมากกว่าเดิม แค่ใช้ความรู้สึกก็เพียงพอแล้วที่จะรับรู้ถึงความสนุกของหนัง
คริสโตเฟอร์ โนแลน ได้สร้างมาตรฐานใหม่ไว้อีกแล้ว ด้วยความที่ Tenet นั้นโทนหนังมาแนว หนังจารกรรม / 007 อะไรแบบนั้น แต่ฉาบหน้าด้วย ทฤษฎีการย้อนกลับของเวลา ทำให้ตัวหนังมีความยูนีค และเท่ห์โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องเข้าใจหนังทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ตัวหนังนั้นจะพาพวกเราเข้าสู่โลกของ Tenet โปรเจคลับที่พยายามจะหยุดยั้งหายนะโลก ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น จะนิยามยังไงดี คือมันเหมือนหนังที่เป็นการย้อนเวลา แต่ก็ไม่ใช่การย้อนเวลาไปซะทีเดียว แต่เหมือนเป็นการย้อนกลับของเวลามากกว่า จะว่าผมเองก็แทบจะเล่าออกมาเป็นคำพูดไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ยิ่งพูดไปยิ่งงง บอกได้แค่ว่าหลังดูจบคือมันต้องไปดูซ้ำอีกรอบจริงๆเพื่อเก็บรายละเอียดให้ครบถ้วน
รวมไปถึงหนังเรื่องนี้ได้มีการใช้กล้อง IMAX Film 70 mm ในการถ่ายทำไปกว่า 80-90% ของทั้งเรื่อง ยิ่งได้ดูในโรง IMAX ที่มาพร้อมกับสัดส่วนภาพขยายแทบจะตลอดทั่งเรื่อง ยิ่งทำให้ประสบการณ์ชมหนังเรื่องนี้ดียิ่งๆขึ้นไปอีก ผมต้องไปซ้ำอีกรอบแน่นอน 8.5/10
สรุปผลวิจารณ์หนัง