Godzilla vs. Kong - ก็อดซิลล่า ปะทะ คอง
หนัง Godzilla VS Kong หรือชื่อไทยว่า ก็อดซิลล่า ปะทะ คอง เมื่อสองตำนานต้องปะทะกันในศึกที่โลกต้องจารึกทุกยุคทุกสมัย โชคชะตาของโลกมนุษย์ก็ถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย คอง และผู้ติดตามของมันเริ่มต้นการเดินทางเสี่ยงอันตรายเพื่อตามหาบ้านที่แท้จริง หนึ่งในผู้ร่วมเดินทางนั้นคือ เจีย สาวน้อยกำพร้าที่มีสายใยมิตรภาพอันแข็งแกร่งและไม่เหมือนใครเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา โชคร้ายที่พวกเขาดันเลือกเดินทางที่นำไปสู่การเผชิญหน้ากับ ก็อดซิลล่า ที่กำลังเกรี้ยวกราดเกิดเป็นความพินาศไปทั่วทั้งโลก แต่แท้จริงแล้วศึกสังเวียนของสองยักษ์ใหญ่ในตำนานครั้งนี้ถูกบงการด้วยอำนาจปริศนา และเป็นเพิ่งจุดเริ่มต้นของความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใจกลางของโลกมนุษย์เพียงเท่านั้น! ภาพยนตร์นำแสดงโดย อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด (“Big Little Lies,” “The Little Drummer Girl”), มิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ (“Stranger Things”), รีเบกก้า ฮอลล์ (“Christine,” “Professor Marston and the Wonder Women”), ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ (“Joker,” “Spider-Man: Into the Spider-Verse”), ชุน โอกุริ (“Weathering with You”), อีซา กอนซาเลซ (“Fast & Furious Presents: Hobbs & Shaw”), จูเลี่ยน เดนนิสัน (“Deadpool 2”), ไคลี แซนด์เลอร์ (“Godzilla: King of the Monsters”) และ เดเมี่ยน บิเชอร์ (“The Nun,” “The Hateful Eight”). วินการ์ด (“The Guest,” “You’re Next”) กำกับจากบทภาพยนตร์ฝีมือ อีริค เพียร์สัน (“Thor: Ragnarok”) และ แม็กซ์ โบเรนสไตย์ (“Godzilla: King of the Monsters,” “Kong: Skull Island”), ร่วมกับเรื่องราวของ เทอร์รี่ รอสซิโอ (“Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales”), ไมเคิล ดัคเฮอร์ตี้ และ แซค ชิลด์ส (“Godzilla: King of the Monsters”) สร้างจากต้นฉบับ “Godzilla - ก็อดซิลล่า” ถือลิขสิทธิ์และสร้างโดย TOHO CO., LTD. ภายใต้การอำนวยการสร้างโดย มาร์ค พาเรนท์, อเล็กซ์ การ์เซีย, อีนิค แม็คเลียด, จอน จาชนิ, โธมัส มัลล์, ไบรอัน โรเจอร์ส, เจย์ แอชเฮ็นเฟลเตอร์, เฮอร์เบิร์ต ดับเบิลยู เกนส์, แดน ลิน, รอย ลี, โยชิมิซึ บันโนะ และเคนจิ โอคุฮิระ ผู้ร่วมสร้างสรรค์ผลงานเบื้องหลัง ได้แก่ ผู้กำกับภาพ เบน เซเรซิน (“The Mummy,” “World War Z”), ผู้ออกแบบโปรดักชั่น โอเว่น เพเตอร์สัน (“Jumanji: Welcome to the Jungle,” “Godzilla”) และ โธมัส แฮมม็อก (“Blair Witch”), นักตัดต่อ จอช ชาเอฟเฟอร์ (“Godzilla: King of the Monsters”), นักออกแบบเครื่องแต่งกาย แอน โฟลีย์ +(“Skyscraper”) และผู้ดูแลการตัดต่อเทคนิคพิเศษ จอห์น ดีเจ เดสจาร์ดิน ( “Justice League ของ แซ็ค สไนเดอร์”)
As the gigantic Kong meets the unstoppable Godzilla, the world watches to see which one of them will become King of the Monsters.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
ความมันส์จัดเต็มระดับ 10 เต็ม 10 เลย ทุกฉากที่มี Godzilla และ Kingkong ล้วนดี น้ำตาจะไหลไปกับความเท่อลังการ อย่างเท่อย่างห้าว!!! ฉากแอคชันดี เพลงสุดยอดได้อารมณ์ ฉากสู้เท่ไม่แพ้ภาคก่อน ๆเลย (ยังประทับใจคิงกิโดร่าอยู่เลย) ส่วนเนื้อเรื่องอะไรก็เหมือนเดิม ๆ มีองค์กรวายร้ายจะทำอะไรบางอย่าง ผู้ใหญ่จัดการปัญหาไม่ค่อยได้ น้องเอดิสันฉลาดกว่าแต่พ่อแม่ไม่ฟังเล๊ยยยยย อะไรทำนองนี้แหล่ะ ภาคนี้เห็นพัฒนาการของคิงคองและก็อซซิล่าเยอะมาก มีฉากอารมณ์เสียด้วย ฉากสู้กันดูแล้วน่าร้ากกกมากเลย เหมือนเด็กน้อยทะเลาะกัน เรื่องนี้จะเห็นที่มาของคิงคองมากขึ้น มีมิติตัวละครที่มากขึ้น เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคิงคองกับก๊อซซิล่าด้วย น่ารัก ฟินสุด ๆ มุมกล้องและเอฟเฟกต์อลังการมาก เหมาะกับการดูด้วยจอใหญ่ ๆ ยิ่ง IMAX ยิ่งดีเลย เพลง เสียงเอฟเฟกต์สนั่นหวั่นไหวสะใจสุด ๆ ใครชื่นชอบติดตามซีรียส์จักรวาลนี้อยู่ไม่ผิดหวังแน่นอน ภาคนี้มีตัวละครลับด้วย -เด็กเดินตั๋ว-
สรุปผลวิจารณ์หนัง
[รีวิว] Godzilla vs. Kong
--- 7.5/10 ---
แอ็คชัน "ไร้ที่ติ" โคตรมันส์ ซัดกันสนั่น
บท "ไร้ที่ชม" แย่มาก ไม่มีอะไรเลย
Godzilla vs. Kong คือหนึ่งในหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนึงที่เราเฝ้ารอคอยอยากดูมานานมากกกกกก แค่รู้ว่าจะทำ แค่ชื่อออกมาไม่ต้องมีตัวอย่างก็อยากดูแบบไม่ต้องหาเหตุผลแล้ว 5555 ยิ่งพอใกล้วัน ได้เห็นตัวอย่างโอ้โห ยิ่งโคตรอยากดู
นี่คือหนังที่อยู่ในจักรวาล MonsterVerse นับตั้งแต่เรื่องแรก Godzilla (2014), Kong: Skull Island (2017), Godzilla: King of the Monsters (2019) และก็มานี่แหละ Godzilla vs. Kong (2021) ที่บอกเลยว่าสมศักดิ์ศรี!!!
สิ่งแรกหลังดูจบ พูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าหนังเรื่องนี้ "โคตรมันส์" ทีมงานรู้ดีว่าคนดูต้องการเห็นอะไร ชื่อก็บอกอยู่แล้ว vs. ก็เลยจัดใหญ่จัดเต็มไปดู Godzilla ซัดกับ Kong แบบไม่กั๊กเลย แต่ละซีนที่ซัดกันคือมันมาก มันทุกฉาก ไร้ที่ติจริง ๆ (โดยเฉพาะฉากที่ Hong Kong) ที่สำคัญไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะว่าแอ็คชันภาคนี้ดูรู้เรื่องกว่าเรื่องอื่น ๆ ในจักรวาล MonsterVerse เสียอีก และส่วนมากก็ได้เห็นในมุมมองของไททันทั้งสอง คือแบบไม่ใช่ worm's eye view แต่แป็นแบบ eye level เดียวกับ God และ Kong มันจึงยิ่งส่งผลให้คนดูรู้สึกมันส์พะยะค่ะ
งาน Art เรื่องนี้โคตรสวย มีซีนสวย ๆ หลายซีนเลย ไม่ว่าจะซีนที่เด็กจิ้มมือกับ Kong บนเรือ หรือซีนใน Hong Kong ที่เป็นเวทีหลักซัดกันของสองไททัน แสง สี เงา สวยมาก
แต่...สิ่งที่โคตรขัดใจและโคตรน่าเสียดายคือบท บทโคตรแย่ แย่แบบไม่รู้จะหาจุดไหนมาชมเลย มันแย่ไปเสียทุกจุด คือมันนำเสนอดี ดำเนินเรื่องดี แต่บทมันแย่เกินจริง ๆ มันมีความไม่สมเหตุสมผลอยู่หลายจุด บางจุดก็เล่าแบบเสียเวลามาก หลากหลายตัวละครไม่ต้องมีก็ได้ ไม่ต้องใส่เข้ามาก็ไม่ได้กระทบกับเนื้อเรื่องเลย ที่เสียดายที่สุดคือบทของ Millie Bobby Brown เพราะมันไม่มีอะไรเลย นอกจากวิ่งไปมาทำหน้าแตกตื่น...ทางค่ายอาจจะดึงมาเป็นจุดขายหรืออะไรไม่รู้แหละ ด้วยความที่น้องเล่นภาคก่อนมาก็พอเข้าใจได้มันจึงจำเป็นต้องมีในภาคนี้ แต่ถ้าเอาน้องมาแล้วบทแค่นี้มันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน และไอ้บทช่วงท้ายของไอ้กลุ่มเพื่อนน้อง Millie ที่ส่งผลต่อตัวละครหลัก คือแบบ...!@#$%^&* หาทางลงง่าย ๆ งี้เลยหรอ คิดไรไม่ออกแล้วหรอ มันเกิดซีนนี้ขึ้นมาได้ยังไง!!! ตอนดูนี่กุมขมับเลย สลดจริง ๆ
เอาจริง ๆ นักแสดงแต่ละคนทำได้ดีนะ ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ถึงแม้มันจะไม่ได้มีบทอะไรมากมายให้แต่ละคนก็ตาม
สรุป Godzilla vs. Kong คือหนังที่บันเทิง ดูสนุกเลยแหละ สิ่งที่คุณจะได้รับแน่ ๆ คือความมันส์แบบไม่บันยะบันยังใส่มาแบบเต็มสูบมาก ภาพรวมโอเคหมด ติดเรื่องเดียว ที่เป็นเรื่องใหญ่ซะด้วยสิ ก็คือ "บท" ที่แย่แบบไม่รู้จะหาจุดไหนมาชมเลยจริง ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Godzilla vs. Kong
" พระเจ้าเจอกับราชา การต่อสู้สุดมันส์แห่งปีถือกำเนิดแล้ว "
113 min | Action/Sci-fi | Directed by Adam Wingard
เรื่องราวต่อเนื่องมาจาก Godzilla: King of the Monsters เมื่อก็อดสามารถประกาศตนว่าเขาคือราชาที่แท้จริง แต่ในภาคนี้อยู่ดี ๆ เกิดเหตุที่ก็อดซิลล่าบุกโจมตีสถานที่บางแห่งโดยไม่ทราบสาเหตุ ในขณะที่มวลมนุษย์เองก็ต้องหาทางรับมือกับภัยเหนือธรรมชาติที่คาดการณ์ไม่ได้ด้วยการจัดทีมเพื่อค้นหาสถานที่ลับแลอย่างฮอลโล่วเอิร์ธ โดยมีคองนำทัพ และด้วยเหตุนี้ทำให้ไททั่นทั้งสองต้องมาพบกันจนได้ งานนี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะยืนหยัด ใครกันจะที่จะเป็นราชาแห่งโลกนี้อย่างแท้จริง
ต้องบอกว่าโคตรสนุก สนุกมากกกก คือเหมือนหนังแก้ไขบัคที่เคยเกิดขึ้นกับภาคก่อน ๆ มาแล้ว ทำให้ภาคนี้เค้าจัดให้แบบสาสมใจ พาร์ทมนุษย์ที่แสนน่าเบื่อมีสัดส่วนที่ลดลงอย่างชัดเจน อาจจะยังไม่ได้ถึงกับดีมาก แต่การที่ออกมาแบบพอดิบพอดีมันเลยทำให้เราสามารถมองข้ามไปได้ แถมยังมีบางตัวอย่าง น้องเจีย นี่คือมีมิติที่น่าสนใจขึ้นมาเฉยเลย ในขณะที่ เราอยากเห็นก็อดตบกับคองแบบลั่น ๆ คือได้เห็นแบบจัดเต็ม มีหลายยก ทำมาดี มันส์ สะใจจริง เรื่องงานสร้าง โปรดักชั่นอะไรระดับ legendary กับ warner เนอะเก็บงานมาดีอยู่แล้ว พี่ก็อดคือหุ่นหมี ยิ้มน่ารักเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความดุดันที่จัดหนัก ในขณะพี่คองก็สร้างคาแรคเตอร์มาได้น่ารักน่าหยิกดี น่าเอาใจช่วยทั้งคู่ อีกทั้งผมว่าเรื่องนี้ดีมากที่ได้แฟนพันธุ์แท้ไคจูอย่าง อดัม วิงการ์ดมาทำเพราะแก้เข้าใจจริง ๆ ว่าแฟน ๆ ต้องการอะไร บทสรุปทุกอย่างมันเคลีย ลงตัว และก็เมคเซนส์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ซึ่งผมคิดว่าในบรรดาทุกภาคของ monsters verse หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่แฟน ๆ ไม่ควรจะพลาดการรับชมในโรงภาพยนตร์ที่สุดแล้วแหละ สนุกจริงคุณ ไม่มีช่วงที่ทำให้น่าเบื่อ นั่งกัดเล็บเซ็ง ๆ อะไรอย่างงี้เลย ซื้อป็อปคอร์นไปคือดูเพลิน เคี้ยวเพลิน เผลอแปบเดียวหนังจะจบอยู่แล้ว
พูดถึงแง่มุมของภาพยนตร์กันบ้าง มันดีที่สุดเท่าที่การเล่าเรื่องแบบนี้จะดีได้ ฉะนั้นเราจะไปถามหาความลึกซึ้งอะไรมันก็คงไม่ถูก แต่ภาคนี้เพลงประกอบอาจจะไม่ได้โดดมาก แต่การมิกซ์เสียงตอนต่อสู้สะใจดี ยิ่งถ้าเกิดว่าคุณสะดวก แถวบ้านมี IMAX แนะนำให้ลองเลย เวลาฟัด เวลาสู้กัน หรือเสียงตีอกชกตัวของคองกับเสียงแอรรรรรร๊ของก็อดซิล่าคือแน่นจัด เหมือนไปแอบดูอยู่ในเหตุการณ์ฟินมาก
ย้ำอีกที Godzilla vs. Kong อาจจะไม่ใช่หนังที่ยอดเยี่ยมแต่เป็นหนังที่อัดแน่นความบันเทิง เหมาะกับการคลายเครียด ดูเพลิน ๆ ดูสนุก หรือยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนทั้งก็อดทั้งคองไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง การันตีด้วยรายได้เปิดตัวที่เป็นสัญญาณที่ดีที่วงการภาพยนตร์ในบ้านเราจะกลับมาคึกครื้นอีกครั้ง
Godzilla Vs Kong บทส่งท้ายจักรวาลมอนสเตอร์ นับตั้งแต่ปี 2014 ที่ได้มีภาพยนตร์เรื่อง Godzilla ที่เป็นหนังเปิดจักรวาลมอนสเตอร์ให้กับทาง Legendary และ Warner Bros. ซึ่งเป็นเจ้าของบทวิจาร์ณ์ที่เรียกได้ว่า แตกเป็น 2 ส่วน คือถูกใจนักวิจารณ์ แต่ไม่ถูกใจคนดูคอหนังแอคชั่น อาจเพราะด้วยที่ฉากน้องก็อดซิลล่า ออกมาน้อยกว่าคู่ปรับอย่าง มูโตซะอีก ทำให้ จนทำให้ภาคหลัง ๆ ได้มีการปรับบทบาทให้เจ้าของชื่อเรื่องได้แอร์ไทม์ในหนังเยอะขึ้นเอาใจคนดูใน Godzilla: King of the Monster 2019 ซึ่งพอมาภาคนี้ไม่วายโดนคนบ่นอีกว่า หนังมืดมาก สู้กันแต่ตอนกลางคืน รวมไปถึงพาร์ทดราม่าของมนุษย์ในเรื่องชวนให้ลำไยมาก พร้อมด้วยความยาวหนังที่ยาวเกิน 2 ชั่วโมง หลายเสียงบอกค่อนข้างยืดมาก ทำให้ ผกก. Godzilla vs Kong ต้องทำการบ้านอย่างหนัก จนแล้วจนรอดปี 2020 ค่ายหนังก็ประกาศเลื่อน (หนีโควิด19) จาก มีนาคม ไปเป็น พฤศจิกายน และประกาศเลื่อนอีกครั้งมาเป็นปีนี้เดือน พฤษภาคม และเลื่อนขึ้นมาอีกรอบเป็น มีนาคม 2021 จนในที่สุดก็ได้ดูกันซักที
ตัวหนังในภาคนี้เป็นเรื่องราวหลังจากภาคก่อน 3 ปี เมื่อก็อดซิลล่าปรากฏตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้กับสัตว์ประหลาดยักษ์ กลายเป็นว่าก็อดซิลล่าออกอาละวาดทำลายศูนย์วิจัยของบริษัท APEX ทำให้มนุษย์นั้นเริ่มตระหนักว่า หรือแท้จริงแล้วก็อดซิลล่าจะเป็นตัวร้ายกัน? ส่วนอีกฝากนึงที่เกาะกะโหลก คองก็ถูกกักกัน เพื่อป้องกันไม่ได้ คองและก็อดซิลล่าต้องมาปะทะกันแต่แล้ว ก็ได้มีดร.ลิน ซึ่งมีทฤษฎี ฮาโลว์ เอิร์ธ ว่าด้วยโลกเรานั้น ใจกลางโลกเป็นจุดกำเนิดเหล่าอสูรยักษ์ ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจจะเป็นแหล่งกำเนิดของเผ่าพันธ์คอง รวมไปถึงพลังงานที่อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้มนุษย์นั้น สามารถเอาชนะก็อดซิลล่าได้ เลยจำเป็นต้นขนย้าย คองไปยังประตูสู่ฮาโลเอิร์ธ ณ ดินแดนแอนตาร์คติการ์ แต่ในระหว่างทางก็อดซิลล่าก็ได้ออกมาปะทะเข้าซะก่อน เนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมไปติดตามดูในโรงภาพยนตร์กันนะครับ
หลังดูจบ ต้องขอแยกเป็น 2 ส่วนนะครับคือ 1 ส่วนที่ชอบ คงหนีไม่พ้นพาร์ทของสัตว์ประหลาด ที่มีแอร์ไทม์ค่อนข้างเยอะ และฉากปะทะกันที่ยาวสะใจมาก ฉากต่อสู้ต่าง ๆ ไม่มืดแล้ว มุมกล้องที่ส่วนใหญ่ใช้มุมกล้องแบบ Human Eye View ทำให้สัตว์ยักษ์ดูอลังการขึ้นไปอีก เหมือนได้ดู Pacific Rim ภาคแรกเลยก็ว่าได้ รวมไปถึงพล็อตหนังที่ค่อนข้างแฟนตาซี มีความกาว แบบก้าวกระโดดจากภาคแรกมาก (อันนี้ชม) เหมือนเขียนบทมาเพื่อเอาใจคนดูทั่วไป ให้สามารถเข้าถึงและสนุกไปกับฉากแอคชั่นต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ไม่ต้องมีบทที่ซับซ้อน ซึ่งพอตัวหนังมันเปลี่ยนโทนมาเป็นแนวนี้ จึงทำให้มีส่วนที่ไม่ชอบนั่นก็คือ พาร์ทมนุษย์ โดยเฉพาะเส้นเรื่องของ แมดดี้ แมดิสัน ตัวละครหลักจากภาคก่อน ซึ่งเหมือนตัวบทพยายามใส่น้องเข้ามาเพื่อให้หนังมีคาแรคเตอร์ตัวละครเดิมจากหนังภาคก่อน มาปรากฎตัวสร้างความเชื่อมโยง แต่บทของตัวละครนี้ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีประโยชน์ใด ๆ ต่อเส้นเรื่องเลยก็ว่าได้ ค่อนข้างน่าผิดหวังในส่วนนี้
สรุปแล้วถือว่าเป็นหนังภาคต่อทิ้งท้ายจักรวาลมอนสเตอร์ ที่ค่อนข้างน่าพอใจ และแอบหวังให้จักรวาลนี้ได้ไปต่อในภาคต่อๆไปเอามากๆจริงๆ 8.5/10
สรุปผลวิจารณ์หนัง