Top Gun: Maverick - ท็อปกัน : มาเวอริค
หนัง Top Gun Maverick หรือชื่อไทยว่า ท็อปกัน มาเวอริค หลังจากรับราชการเป็นนักบินระดับท็อปของกองทัพเรือมานานกว่า 30 ปี พีท “มาเวอริค” มิทเชลล์ (ทอม ครูซ) กลับมาสู่ที่ซึ่งเหมาะสมกับเขา เขากลับมาเป็นนักบินทดสอบผู้กล้าหาญและหลีกหนีจากความก้าวหน้าทางการงาน เขากลับมาฝึกหน่วยท็อปกันเพื่อปฏิบัติภารกิจพิเศษในรูปแบบที่ยังไม่เคยมีนักบินที่ยังมีชีวิตอยู่เคยเห็นมาก่อน มาเวอริคต้องเผชิญหน้ากับเรือโทแบรดลีย์ แบรดชอว์ (ไมล์ เทลเลอร์) หรือ “รูสเตอร์” ลูกชายของเรือโทนิค แบรดชอว์ หรือ “กูส” เพื่อนของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาต้องพบกับอนาคตที่ไม่แน่นอนและอดีตที่ตามหลอกหลอน มาเวอริคต้องเผชิญกับความกลัวที่ฝังลึกอยู่ และปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ ซึ่งภารกิจนี้ผู้ที่ได้รับเลือกให้ร่วมบินต้องเสียสละอย่างที่สุด ทอม ครูซ กลับมารับบท พีท “มาเวอริค” มิทเชล นักบินขับไล่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ภาพยนตร์กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี อำนวยการสร้างโดย เจอร์รี่ บรักไฮเมอร์ และเดวิน เอลลิสัน ร่วมบริหารงานสร้างโดย ทอมมี่ ฮาร์เปอร์, แชด โอมาน, ไมค์ สเตนสัน, ดานา โกลด์เบิร์ก และ ดอน แกรนเจอร์ นอกเหนือจาก ทอม ครูซ แล้ว Top Gun: Maverick ท็อปกัน: มาเวอริค ยังได้ ไมลส์ เทลเลอร์, เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี, จอน แฮมม์, เกลน พาวเวลล์, ลูอิส พูลแมน และเอ็ด แฮร์ริส ร่วมเสริมทีมนักแสดง
After more than thirty years of service as one of the Navy's top aviators, Pete Mitchell is where he belongs, pushing the envelope as a courageous test pilot and dodging the advancement in rank that would ground him.
[รีวิว] TOP GUN: MAVERICK
--- 9.8/10 ---
ดูจบแล้วอยากขับเครื่องบินเลย 555+
หนังภาคต่อที่ยอดเยี่ยม ยกระดับทุกอย่างจากภาคแรก
ให้ทุกอย่างที่คาดหวัง แถมทำได้ดีกว่าที่คาดอีกต่างหาก
ผ่านไป 36 ปี นับตั้งแต่ภาคแรก Top Gun (1986) หนังที่หลายต่อหลายคนไม่คิดว่ามันจะมีภาคต่อก็ได้คลอดออกมาในชื่อ Top Gun: Maverick (2022) พร้อมด้วยการกลับมาของ Pete 'Maverick' Mitchell ที่แสดงโดย Tom Cruise มาในคราวนี้เขากลับมาในฐานะครูฝึกสอนโรงเรียน Top Gun เพื่อเตรียมฝึกเหล่าทหารระดับหัวกระทิ ไปทำภารกิจเสี่ยงอันตรายที่ไม่มีช่องว่างให้ความผิดพลาด เพราะนั่นหมายถึงชีวิต
แน่นอนว่าภาคต่อหนังตำนานขนาดนี้ ผ่านมา 36 ปี ย่อมเกิดความคาดหวังแน่นอน แต่! มันทำได้ถึงทุกความคาดหวังของเราเลย แถมยังทำได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้มาก ๆ มันคือภาคต่อที่ควรค่ากับคำว่าภาคต่อจริง ๆ ยกระดับทุกอย่างจากภาคแรก อะไรที่มันดีอยู่แล้ว ก็ยังทำได้ดียิ่งขึ้นเข้าไปอีก
ส่วนดีต่าง ๆ เยอะแยะมากมาย เริ่มตั้งแต่ตัวเนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย คนที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนก็เข้าใจได้ไม่ยาก ตัวหนังมีการกล่าวถึงเยอะอยู่ แต่ถ้าดูมาก่อนจะอินกว่า บทพูดเท่ ๆ ก็ยังมี, แนวทางการดำเนินเรื่องที่เหมือนกับภาคแรกเลย ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี มันยึดแนวทางเล่าเรื่องแบบเดิมแต่ยังไม่น่าเบื่อ แถมยังเป็นการเซอร์วิสแฟน ๆ ของหนังภาคแรกกลาย ๆ ด้วย, อีกทั้งฉากโรแมนซ์ของภาคนี้ที่พอหอมปากหอมคอ แต่เรียกรอยยิ้มได้เช่นเดิม, และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือฉากขับเครื่องบินที่เรียกว่าเป็นไฮไลท์เลย ในภาคนี้มันดูสมจริงขึ้น อาจจะเพราะมีฉากที่นักแสดงขับกันเองจริง ๆ ด้วย เราได้เห็นดีเทลรายละเอียดต่าง ๆ ชัดเจนขึ้นกว่าภาคแรกเยอะมาก ทั้งใน cockpit ที่กว้างขึ้นเห็นท้องฟ้าดูสมจริงขึ้น ได้ยินเสียงหายใจของคนขับ สีหน้าต่าง ๆ ที่ชัดเจนมาก, พาร์ทของภารกิจก็ลุ้นระทึกจิกเบาะกันเลยทีเดียว แค่ฉากขับเครื่องบินไปมาก็เพลินแล้วอะ รวมถึงฉาก Dog fight ที่โคตรมันส์ การดีไซน์แอ็คชันบนเวหาทำได้สนุกมาก นับว่าเป็นฉากแอ็คชันไร้ที่ติ
การถ่ายทำในเรื่องนี้นับว่ายอดมาก ชื่นชมทีมงานทุกคนเลย เริ่มตั้งแต่การติดกล้องใน cockpit จับสีหน้า ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าในภาคแรกทำยังไง แต่ในภาคแรกนั้นเราจะเห็นสีหน้านักแสดงแบบ ecu เสียส่วนมาก จังหวะตัดต่อตอนขับเครื่องบินมันเลยจะดูโดด ๆ ไปบ้าง เพราะเราไม่เห็นรายละเอียดข้างนอกเลย แต่พอมาเป็นภาคนี้ เราจะเห็นฉากต่อฉากการเชื่อมโยงของแบ็คกราวที่ส่งอารมณ์คนดูได้อย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยการที่ต้องใช้เครื่องบินจริง ๆ ตามเก็บภาพต่าง ๆ นอกเครื่องกลางอากาศด้วย รวมถึงทีมงานภาคพื้นดินที่ต้องจับภาพเหล่าเครื่องบินจากบนพื้นให้ทันเช่นกัน นับว่าเป็นการถ่ายทำที่สุดยอดจริง ๆ
ทางด้านนักแสดงถือว่าทำงานกันหนักมาก พวกเขาต้องเข้าฝึกสภาพร่างกาย จิตใจและฝึกบินกันจริง ๆ เป็นเวลากว่า 3 เดือน และต้องชื่นชม Tom Cruise จริง ๆ ที่อายุปาเข้าไปเลข 6 แล้วยังจะกล้าบ้าบิ่นขับเครื่องบินเองจริง ๆ อีก แถมยังคงคาแรคเตอร์ตัวละคร Pete 'Maverick' Mitchell เอาไว้ได้ ที่ถ่ายทอดมันออกมาในรูปแบบที่ดูโตขึ้นแต่ยังไว้ลายความเป็นตัวละครนี้แบบในภาคเก่าได้อย่างดี ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ตัวละครจะเด่น ๆ ไม่กี่ตัว แต่ก็มีคาแรคเตอร์ชัดให้น่าจดจำได้เช่นกัน และสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือตัวละครของ Jennifer Connelly ที่มาในบท Penny Benjamin เข้าใจว่าทำไมเลือกเปลี่ยนบทนางเอกนะ นั่นก็เพราะเรื่องของหน้าตาต้องหาตัวนักแสดงที่อายุใกล้เคียงกันและยังหน้าตาดูดีเทียบเคียง Tom Cruise ได้ด้วย ซึ่งนางเอกเก่าอย่าง Kelly McGillis ตอนนี้ก็แก่เกินไป เลยเลือกที่จะหยิบนำตัวละครลูกสาวนายพลที่ Maverick หักอกไว้ในภาคแรกมาสานต่อในภาคนี้ เลยเอา Connelly มารับบท และเลือกที่จะสานต่อตัวละครนี้ได้อย่างชาญฉลาด
ด้านเสียงประกอบ นี่เราดูในโรงปกติ ยังรู้สึกว่ากระหึ่มและทำได้ดี นี่ถ้าดูในโรงอย่าง IMAX ต้องกระหึ่มกว่านี้และมีเก้าอี้สั่นกันบ้างอะ เพลงประกอบที่คุ้นเคยในภาคแรกก็มีมาให้คิดถึง รวมถึงดนตรีแต่ละฉากก็เข้ากับสถานการณ์ขับอารมณ์ของเรื่องได้เป็นอย่างดี
สรุปแล้ว Top Gun: Maverick เป็นหนังที่เราประทับใจมาก ดีงามทุกส่วน ยกระดับในทุกแง่ของภาคแรกอาจจะมีติดเรื่องพาร์ทดราม่าระหว่างตัวละคร Maverick กับลูกของ Goose นิดนึง มันคลี่คลายง่ายไปและประเด็นมันน่าจะแรงกว่านี้ได้อีกหน่อย กับเรื่องบางตัวละครที่เกี่ยวข้องกับ Maverick นอกเหนือจากนั้นดีงามมากทุกส่วนจริง ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง