จอมขมังเวทย์ 2020 - Jom Khamung Weth 2019
หนัง Jom-Kamang-Weth 2020 หรือชื่อไทยว่า จอมขมังเวทย์ 2020 ถ้าอยากชนะตำนาน จงเป็นให้ได้ยิ่งกว่าตำนาน! ความเชื่อ ศรัทธา อาคม ที่เหมือนจะอยู่ไกลจากตัวเรา แต่มันแอบปะปนและอยู่ใกล้ตัวเรากว่าที่คิด เรื่องราวของไสยเวทอาคมขลังแห่งโลกยุคใหม่กำลังเริ่มต้น... . หลังการสูญเสียครั้งใหญ่ทำให้ “วิน” (หมาก ปริญ) ชายหนุ่มผู้รอดชีวิต ต้องเปลี่ยนความเชื่อและศรัทธาที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติเพื่อสืบหาและจัดการฆาตกรด้วยตนเอง แต่ยิ่งสืบหามากเท่าใดเขาก็ยิ่งถลำลึกสู่ศาสตร์แห่งไสยเวทมากขึ้นไปทุกที จนต้องเข้าไปพัวพันกับ “จอมขมังเวทในตำนาน” (นก ฉัตรชัย) และกลุ่มผู้มีความเชื่อมั่นในชีวิตที่ดีอันมี ครูเมย์ (นก สินจัย) เป็นผู้นำและ ก็อด (ก๊อต จิรายุ) ผู้ให้การสนับสนุน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวข้องกับปริศนาครั้งนี้ การปะทะอันดุเดือดของ “เหล่าจอมขมังเวท” ที่มีศรัทธาแห่งตัวตนเป็นเดิมพัน ชี้ชะตาแห่งโลกของเหล่าจอมขมังเวทที่กำลังจะปะทุถึงขีดสุด... เปิดฉากโลกไสยเวทย์ อาคมขลัง แอคชั่นมันส์ระอุ การปะทะกันของ “จอมขมังเวทย์รุ่นใหม่” และ “จอมขมังเวทย์ในตำนาน” หมาก ปริญ, นก ฉัตรชัย, ก๊อต จิรายุ, นก สินจัย, คิทตี้ ชิชา และ แพร์ พิชชาภา โดยผู้กำกับต้นฉบับขมังเวทย์ ต้อม ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ ถล่มอาคมพร้อมกันใน #จอมขมังเวทย์2020 14 พฤศจิกายนนี้ ในโรงภาพยนตร์
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
[รีวิว] จอมขมังเวทย์ 2020
--- 7.3/10 ---
หนังแอ็คชั่นแฟนตาซีสไตล์ไทย ที่เน้นแอ็คชั่นจริงๆ
ซีจีไม่เนียนตา เนื้อหาไม่มีอะไร แต่ใส่กันยับ!
จอมขมังเวทย์ 2020 เป็นหนังภาคต่อจากจอมขมังเวทย์ในปี 2005 ที่ได้ ต้อม ปิยะพันธุ์ ชูเพ็ชร์ ผู้กำกับคนเดิมจากภาคแรกกลับมารับหน้าที่กำกับ และนก ฉัตรชัย เปล่งพานิช กลับมารับบท อิทธิ จอมขมังเวทย์ในตำนาน ที่ภาคต่อนี้ให้อารมณ์ต่างกับภาคแรกโดยสิ้นเชิง แต่มันคือหนังไทยที่เราไม่ได้เห็นมานานมากๆ กับแอ็คชั่นจัดเต็มขนาดนี้ แถมหนังเรื่องนี้ยังทำออกมาได้ไม่ขี้เหร่อีกต่างหาก
ในภาคแรกจะมีความเป็นแอ็คชั่นทริลเลอร์ แต่ในภาคนี้คือเน้นแอ็คชั่นแฟนตาซีแบบจัดเต็มเลย ทางด้านแอ็คชั่นนี่มีมาทั้งเรื่อง พูดง่ายๆ ว่า เกือบทุก 5 นาทีต้องมีฉากแอ็คชั่นปะทะกันอะ เปิดมาก็ต่อยกันละ 555 มันส์ เท่ เพลินดีเหมือนกัน พึ่งต่อยกันเสร็จ เดินไปเจอเรื่องราวสักพัก ต้องปะทะกับอะไรสักอย่างอีกละ ร่างกายต้องการปะทะอะจริงๆ ให้อารมณ์เหมือนดู John Wick 3 ที่เอะอะอะไรก็เข้าฉากแอ็คชั่น ต้องมีเรื่องอะ (ไม่ได้หมายความว่าแอ็คชั่นดีหรือหวือหวาขนาดนั้นนะ) ส่วนมากจะเป็นต่อยกันหมัดต่อหมัด ทางด้านความแฟนตาซีปล่อยคาถาอาคมใส่กันนี่มีไม่เยอะมาก และเท่าที่มีก็มีก็ไม่ได้ชวนว้าวอะไรขนาดนั้น
ในเมื่อพูดถึงเรื่องความแฟนตาซีละ ก็ต้องมาพูดถึงเรื่อง CG คือบอกตามตรงว่าเฉยๆ ไม่ได้สมจริง ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้เนียนตาเลยด้วย จัดอยู่ในระดับพอได้รู้ว่ามีอยู่แค่นั้น แต่มันคือความจำเป็นต้องมีแหละ เรื่องของสัตว์เวทที่ปล่อยออกมาปะทะกันก็ไม่ได้เยอะแยะ และตัวสัตว์เวทเองจริงๆ ก็ไม่ได้ทำอะไรสักเท่าไหร่ เรียกว่าน้อยเลยแหละ ถ้าเทียบกับการโปรโมทและหนังทั้งเรื่อง
มาที่บทก่อน บทเรื่องนี้ไม่ได้มีความซับซ้อนเลย เข้าใจง่ายมากๆ เอาจริงๆ มันคือหนัง “ล้างแค้น” สไตล์ไทยเนี่ยแหละ พ่อพระเอกถูกฆ่า พระเอกจึงออกตามไล่ล่าหาคนมารับผิด เลยทำให้ต้องไปปะทะกับคนนู้นคนนี้ เจอตัวร้าย เจอจอมขมังเวทย์ในตำนาน เท่านั้นแหละ แต่เหตุผลในการเกิดแต่ละอย่างนี่มันไม่ค่อยมีเหตุผลเลย เช่นเหตุผลของตัวร้าย หรือถ้าใครได้ดูภาคแรกมาหลังจากอิทธิโดนดูดพลัง ภาคนี้หนังก็ไม่ได้อธิบายว่าอิทธิได้พลังกลับมายังไง แถมเหตุผลหลักที่ทำให้อิทธิกลับมาก็ตั้งแต่ภาคแรกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า “มีด้วยหรอ” (ไม่สปอยล์ไปดูเอาเอง) และถ้าดูจากในตัวอย่างก็ทำให้คนดูสงสัยอีกว่า อิทธิ เป็นอะไรกับ ครูเมย์ ทำไมครูเมย์ถึงพูดว่า “นึกว่าตายไปแล้วซะอีก?” ซึ่งในหนังก็ไม่ได้เฉลยด้วยว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกัน ยิ่งถ้าใครได้ดูภาคแรกมาจะเกิดคำถามเต็มไปหมดว่า ทำไมเป็นงงั้นนะ ทำไมเป็นงี้นะ อีกอย่างคือ หนังไม่ได้ละทิ้งหรือลืมเลือนความเป็นภาคแรกเลย ยังมีการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคแรก หรือกล่าวถึงตัวละครหมวด สันติ ด้วย
การดำเนินเรื่องนี้เปิดเรื่องโคตรเหมือน The Divine Fury (2019) บทบาทของพระเอกนี่คือละม้ายคล้ายกับตัวเอกใน The Divine Fury จัดๆ และก็ดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรงมากกกกกกกกก เดาง่าย ไม่มีอะไรจริงๆ เบาหวิวเลย และหนังมีความเอาภาพจำจากภาคแรกมาใส่เยอะมาก คืออย่างที่บอกไปตอนต้น ถ้ามองข้ามเรื่องบท การดำเนินเรื่องอะไรพวกนี้ไป มันสนุกนะ มันคือหนังแอ็คชั่นจ๋าๆ เลย เจอหน้ากันต่อยกัน ต่อยกัน วิ่งหนี ต่อยกันอีกละ เอาเป็นว่าไปเสพความมันแอ็คชั่นเพียวๆ นั่นแหละ
คือเอาตรงๆ เราอยากให้หนังมันออกมาในอีกรูปแบบมากกว่า อันนี้มันเหมือนเราจับต้องไม่ได้อะ คือพอพูดเรื่อง ไสยศาสตร์ จอมขมังเวท ศรัทธา ความเชื่อ งมงาย เรานึกว่าหนังจะนำเสนอแบบทริลเลอร์ ให้เห็นว่าคนมีของพวกนี้มันน่ากลัวนะ เรื่องพวกนี้มันอันตรายนะ หรือสอดแทรกเรื่องพวกนี้เข้ามาบ้างกับยุคปัจจุบัน เอาเรื่องความเชื่อของคนมาเล่นมันน่าจะเข้าถึงคนดูได้มากกว่า แล้วลดความแอ็คชั่นลงมา ใส่ใจเนื้อหากับบท เพิ่มมิติเบื้องลึกเบื้องหลังตัวละครให้คนดูผูกพันมากกว่านี้ มันน่าจะเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา และคงจะน่าสนใจมากกว่านี้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางด้านตัวละครจริงๆ แล้วมันแทบจะแบนทุกตัวเลย ยกเว้นตัวของ วิน ที่รับบทโดย หมาก ปริญ นั่นแหละ เป็นตัวละครที่มีการพัฒนา ดูกลมที่สุดในเรื่องละ และต้องบอกเลยว่านักแสดงในเรื่องนี้เล่นดีทุกคนจริงๆ ขอพูดถึงหมาก ปริญ ก่อนเลย คือหลังจากปล่อยภาพแรกออกมายอมรับเลยว่าอคติกับตัวหมากก่อนเลย “ไม่ไหวม้างงงง” แต่พอเริ่มมีตัวอย่างออกมา คลิปโปรโมทต่างๆ ออกมา ความคิดเริ่มเปลี่ยนละ และพอไปดูด้วยตาตัวเองในหนัง “โห เล่นดีว่ะ” ตามมาด้วย นก ฉัตรชัย ที่กลับมารับบท อิทธิ คือถ้าใครดูภาคแรกมาบทนี้เป็นยังไง ภาคนี้ก็เป็นแบบนั้นแหละ เพียงแต่มีความบู๊มากขึ้น แต่รังศีออร่าความขมังเวทของเฮียแกสูงมาก แค่การปรากฏตัวฉากแรกในหนังนะ โอ้โหหหห ขนลุก และสุดท้ายขอยกให้เป็นที่สุดของหนังเลย ใช้คำว่าไร้ที่ติ แสดงได้โคตรดี ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนักแสดงไทยคนไหนที่แสดงได้ดีและเข้าถึงบทบาท จนเราเชื่อว่าเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นคือ ก๊อต จิรายุ ที่รับบท ก็อด คือเข้าถึงบทบาทมาก คำพูดแต่ละอย่างคือทำให้คนดูเชื่อได้อะ เป็นตัวร้ายที่โคตรร้าย สีหน้า แววตา การพูด สมบูรณ์แบบจริงๆ ส่วนทางด้านนักแสดงหญิงอีกสามคนก็แสดงดีนะ รับผิดชอบในบทบาทที่ตัวเองได้รับดีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะ คิทตี้ ชิชา ในบท หมวดการ์ตูน, นก สินจัย ในบท ครูเมย์ และสุดท้าย แพร์ พิชชาภา ในบท นาว
และสิ่งที่น่าชื่นชมมากๆ ไม่แพ้นักแสดงเลยคือ เซ็ทติ้ง เริ่มตั้งแต่ฉาก ที่เลือกโลเคชั่นได้น่าดูชมมาก และการจัดแสง ย้อมสีที่โคตรดี คือเล่นแสงสีได้จัดจ้านมาก สวยมากจริงๆ ชอบอะ ใช้คำว่าชอบมากเลยดีกว่า รวมไปถึงมุมกล้องในการถ่ายทำฉากแอ็คชั่นต่างๆ ที่ไม่ขี้เหร่เลย ตัดฉึบฉับ ดูรุนแรง รวดเร็ว หวือหวา (แต่จริงๆ ในบางครั้งก็อยากให้โชว์ศักยภาพแอ็คติ้งในฉากแอ็คชั่นของนักแสดงมากกว่าใช้มุมกล้องช่วยอยู่เหมือนกันนะ)
สรุปแล้ว จอมขมังเวทย์ 2020 คือหนังแอ็คชั่นแฟนตาซีเต็มๆ ตัวเลยแหละ คนละอารมณ์กับภาคแรกโดยสิ้นเชิง ถ้ามองข้ามความด้านบทอะไรออกไป มันก็เสิร์ฟความบันเทิงเพลิดเพลินให้กับคุณได้ ถ้าใครชอบแนวแอ็คชั่น เตะต่อย มันๆ แมนๆ ไปดูได้เลย อย่างน้อยมันเป็นหนังที่กล้าฉีกออกจากแนวเดิมๆ ที่เราเลี่ยนในกันช่วงนี้ มันคือแอ็คชั่นสไตล์ไทย ที่เห็นเหล่าจอมขมังเวทมาตีกัน
ปล. หนังมีฉาก Mid-Credit 2 ตัวเน้อ (มีว้าวแน่นอน)
มันส์ๆดี ไม่แย่นะ สนุกเลยล่ะ
มีหลายคอมเม้นท์มาก แต่เด็กเดินตั๋วเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ตั้งแต่สมัยเมื่อหลายสิบปีที่แล้วแล้วล่ะ บอกเลยว่าลำเอียงและชอบแต่ไม่ได้คลั่งไคล้เท่าภาคแรกนะ ภาคแรกดูน่ากลัวกว่าเยอะเลย อันนี้เบาไปหน่อย ไม่ค่อยโหดเท่าไหร่
หลักๆที่ดีคือนักแสดงนำ หมาก-นก ฉัตรชัย-ก็อต จิรายุ ที่แสดงได้อยากจัดจ้านในบทบาทตัวละครของตัวเองมาก ที่เหลือค่อนข้างอ่อน เบาบาง น่าจะเป็นที่การแสดงเลยที่ผู้กำกับยังแบกหมดทุกตัวละครไม่ค่อยไหว แต่สามตัวหลักที่ว่ามานี้จัดว่าดีเลย
การกำกับการแสดง และการถ่ายทอดบทค่อนข้างไม่เข้มแข็งเลย บทพูดบางประโยคบางคำของตัวละครดูธรรมด๊าาาา ธรรมดาเกินไป บ้างก็แอบพูดจาเฉิ่มๆ น่าเบื่อๆ ถ่ายทอดยังไม่จัดจ้านเท่าไหร่
งานสร้างยังไม่อลังการเหมือนกระสือ, นาคี2, ขุนแผนด้วยซ้ำ งานซีจีลอยหน่อยๆ ไม่ค่อยเนียน แต่ก็พอถูไถได้อยู่ พออินบ้างบางฉาก
ที่ดีเลยคือเพลง!!!! เพลงบิวท์หนักมาก โหมมาก ยิ่งตอนเพลงธีมของหมวดนกฉัตรชัยมานี่นึกถึงเรื่องภาคที่แล้วเลย เพลงสุดจริงๆ
- เด็กเดินตั๋ว -
สรุปผลวิจารณ์หนัง