Maleficent: Mistress of Evil - มาเลฟิเซนต์: นางพญาปีศาจ
หนัง Maleficent Mistress of Evil หรือชื่อไทยว่า มาเลฟิเซนต์ นางพญาปีศาจ เรื่องราวสานต่อจากภาคแรก เมื่อเจ้าหญิงออโรร่าต้องการแต่งงานกับเจ้าชายแต่ มาเลฟิเซนต์ไม่เห็นด้วย ก่อให้เกิดชนวนศึกครั้งใหม่ เมื่อราชินีอิงกริต (รับบทโดยมิเชล ไฟเฟอร์)ผู้เป็นแม่ของเจ้าหญิงออโรร่าตั้งกองกำลังทหารเพื่อสู้กับมาเลฟิเซนต์ และ เผ่าพันธุ์สัตว์วิเศษ เรื่องราวก้าวข้ามเทพนิยายสู่แอคชั่นแฟนตาซีฟอร์มยักษ์ และการกลับมาอีกครั้งของ แองเจลิน่า โจลี่ สยายปีกนางฟ้าปีศาจในบทของมาเลฟิเซนต์
The complex relationship of Maleficent and Aurora continues to be explored as they face new threats to the magical land of the Moors.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
ขุ่นแม่มาอย่างปัง แต่ก็รู้สึกออกมาน้อยไปหน่อย ไม่ค่อยสะใจเลย มาด จริต ท่าทางเสื้อผ้าหน้าผมขุ่นแม่ดูเว่อร์วังปังเฟ่อร์มาก ส่วนน้องแอล แฟนนิ่งเราก็น่ารักมาก ใสๆ สวยๆ งดงามตามสไตล์เจ้าหญิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ได้เด่นกว่าขุ่นแม่มาเลฟิเซนต์เลย แต่เริ่ดมากทั้งคู่เลยครับ
ส่วนงานโปรดักชั่น งานซีจีต่างๆ ก็งดงามอลังการแฟนตาซีสวยงามตามมาตรฐานดิสนีย์อยู่แล้ว ไม่ได้ตกมาตรฐานใดๆ ทั้งสนุกสนาน เพลิดเพลิน ตื่นตาตื่นใจไปกับโลกแฟนตาซีได้ทุกคนในครอบครัวเลย
- เด็กเดินตั๋ว -
สรุปผลวิจารณ์หนัง
[รีวิว] Maleficent: Mistress of Evil
--- 7.5/10 ---
การกลับมาสุดสง่าของแม่แองจี้
และความน่ารักจนโลกสดใสของน้องแอล
ยิ่งใหญ่กว่า จัดเต็มกว่า อลังกว่าภาคแรก
แม่มา! การกลับมาของนางพญาปีศาจ หลังจากภาคแรกในปี 2014 คือเอาจริงๆ ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีภาคต่อ ซึ่งเรื่องราวในภาคนี้ก็ต่อจากภาคแรกทิ้งห่างมาประมาณ 5 ปี เช่นเดียวกัน เมื่อเจ้าหญิงออโรล่าได้เป็นราชินีแห่งมัวร์ เจ้าชายก็มาขอเธอแต่งงานอย่างเป็นทางการ แต่มาเลฟิเซนต์ไม่เห็นด้วย แต่ด้วยความรักลูกเธอจึงยอมและก็ไปนั่งรับประทานอาหารกับคนในวัง แต่ก็เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจนได้ ทำให้แม่ระเบิดพลัง บันดาลโทสะ และบินหนีไป ซึ่งนั่นแหละคือการเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ เล่าอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ จะเป็นการสปอยล์เสียเปล่า
ต้องบอกว่าเนื้อหาในภาคนี้ต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง เพราะตัวหนังไม่จำเป็นต้องอิงจากเทพนิยาย Sleeping Beauty หรือเจ้าหญิงนิทราอีกต่อไป ในเมื่อภาคแรกขายได้ เลยจับทำภาคสองไปซะเลย ซึ่งเนื้อหาในภาคแรกเราจะเห็นเน้นเรื่อง “ความรักที่บริสุทธิ์” แต่ในภาคนี้หนังเน้นขายการทำสงคราม แฟนตาซี อลังกาลงานสร้างเลยทีเดียว ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เรากลับชอบประเด็นในภาคแรกมากกว่า พอภาค 2 มาเน้นขายแบบนี้ เลยทำให้คำว่า “รัก” ในเรื่องนี้มันดูเลื่อนลอยไปเสียหน่อย ไม่ใช่แค่ตัว มาเลฟิเซนต์กับเจ้าหญิงออโรล่าเท่านั้นนะ รวมไปถึงทุกความสัมพันธ์ ความรักต่อเผ่าพันธ์ของมาเลฟิเซนต์เอย ความรักต่อชาติบ้านเมืองของมนุษย์เอย หรือแม้กระทั่งความรักของตัวเจ้าหญิงออโรร่ากับเจ้าชายก็ตาม และนั่นทำให้เราเชื่อ คล้อยตาม จนทำให้เรามีอารมณ์ร่วมกับส่วนนี้ของหนังได้ยากมากจริงๆ ซึ่งอย่างที่บอกไป ภาคแรกในจุดนี้มันอินกว่าเยอะมาก
หนังยังมีการเล่าหลายๆ อย่างขาดความสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ชวนสงสัยอีก และหลายๆ จุดยังรู้สึกขัดๆ ไม่ต่อเนื่องสักเท่าไหร่ บางอย่างมันก็หาทางลงง่ายเกินไปจริงๆ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ จึงทำให้หนังเรื่องนี้มีตัวบทกับการดำเนินเรื่องที่ไม่ดีเท่าที่ควร
เพราะฉะนั้นจุดเด่นในเรื่องนี้คืองานด้านภาพ สวยมาก งดงามมาก อลังกาลสุดๆ ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบของเรื่องภาพที่เราได้เห็นบนจอในโรงหนังราวเทพนิยายจริงๆ แม้กระทั่งฉากสงคราม การเลือกใช้สี มันยังดูงดงามเลย ฉากสถานที่ของพวกดาร์คเฟย์นี่ดูละม้ายคล้ายรังของเหล่ามังกรใน How to Train Your Dragon 3 ยังไงยังงั้น ให้ความรู้สึกแบบนั้นเป๊ะๆ เลย
คือไม่รู้คนอื่นคิดเหมือนเราหรือเปล่านะ ถึงแม้ฉากสงครามจะไม่ได้มีเลือดกระชูดเต็มจอ และดูสวยงาม แต่มันมีความโหดร้ายอยู่นะ กับการที่ภูติชาวมัวร์บางตัวโดนกระทำ เราว่ามันเป็นภาพที่โหดร้ายมากเลยจริงๆ ซึ่งพอมาคิดๆ ดูแล้ว มันจะเหมาะกับเด็กจริงๆ น่ะหรอ
มาพูดถึงนักแสดง ต้องบอกเลยว่าแม่เหล็กของหนังเรื่องนี้คนแรกเลยคือ Angelina Jolie ในบทมาเลฟิเซนต์ ที่ต้องบอกเลยว่าซู้ดปากทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว แลดูแบบ “แม่มาก” นางพญาโคตร และสวยมากจริงๆ ถ้าจะบอกว่าเธอเป็นคนช่วยพยุงและแบกหนังเรื่องนี้เอาไว้ก็ไม่ผิด ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหว การพูดจา ทั้งมีเสน่ห์และทรงพลังมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนอายุ 44 ปี ยังดูดีได้ขนาดนี้ คิดว่าคงไม่มีใครจะเหมาะกับบทนี้ไปมากกว่าเธอแล้วแหละ และอีกคนที่ขาดไม่ได้คือ Elle Fanning บุคคลที่ยิ้มที่โลกสดใสได้ทั้งใบ คนบ้าอะไรไม่รู้ทำให้เราตกหลุมรักได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือเธออาจจะไม่ได้สวยสง่าแบบเจ้าหญิงตามเทพนิยาย แต่เธอสดใส น่ารัก และดูไปแล้วยิ้มตามจริงๆ อะ ส่วนคนสุดท้าย Michelle Pfeiffer ต้องในบทราชินี ซึ่งบอกได้เลยว่าเธอแสดงดีสมบทบาทที่ได้รับโคตรๆ เธอคือคนที่ยกระดับหนังเรื่องนี้ มาประฝีปาก ฟาดฟันฝีมือกับมาเลฟิเซนต์ได้ดีเลย
สรุปแล้ว Maleficent Mistress of Evil เป็นหนังที่ดูง่ายไม่ซับซ้อน เพลินๆ เป็นภาคต่อที่ไปเสพความบันเทิงล้วนๆ ไปดูความแม่ของแองจี้ ไปดูความสดใสของน้องแอล และไปชมงานสร้างสุดอลังกาล ใครที่เป็นแฟนคลับขุ่นแม่หรือหนังเรื่องนี้ต้องไปดู!
Maleficent Mistress of Evil เปิดตำนานบทใหม่ จากวายร้ายรุ่นท๊อปสู่ ไอคอนิคแห่งยุค
ต้องยอมรับจริงๆ ว่าใครจะไปคิดว่า วายร้ายตัวท๊อป ที่เด็กๆ หลายคนเกลียดและกลัวอย่าง Maleficent นั้นจะถูกหยิบเอามาปัดฝุ่น เจาะลึกเรื่องราวเบื้องหลังความร้ายกาจของนาง ตีแผ่เหตุจูงใจที่ว่า ทำไมนางถึงต้องสาปเด็กหญิงให้กลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา จากวายร้ายที่หลายคนไม่เข้าใจ กลับกลายมาเป็นตัวละครที่หลายๆคนเห็นใจ และโกรธเธอไม่ลงจริงๆ ถือว่าดิสนีย์หยิบเอาการ์ตูนคลาสสิคของตัวเองมาดัดแปลงใหม่จนได้รับความนิยมล้นหลาม ในที่สุดก็กลายมาเป็นไอคอนิก ที่เด็กๆ หลายคนอยากเป็นอยากเอาแบบอย่าง และนำพามาสู่การสร้างภาคต่อนั่นเอง
เดิมทีโปรเจค Maleficent 2 นั้นถูกวางคิวฉายไว้ปีหน้า 2020 แต่อาจจะเพราะด้วยการสร้างหนังนั้นดำเนินการถ่ายทำและ Post Production เสร็จเร็วกว่ากำหนดชนิดที่ว่า เสร็จเร็วมาก รวมไปถึงหนังดิสนีย์ที่เคยวางกำหนดฉายไว้ช่วงปีนี้อย่าง Artemis Fowl มีทีท่าที่จะไปไม่รอดในตารางหนังทำเงิน ทำให้ดิสนีย์ตัดสินใจ สลับโปรแกรมฉายหนังตัวเองชนิดที่ว่าสะเทือนวงการหนัง ด้วยการที่ปล่อย Teaser Poster Mafeficent: Mistress of Evil พร้อมวันฉายใหม่ คือตุลาคมปีนี้ ทำเอาแฟนๆหนังได้ตาร้อนกันเข้าไปใหญ่เพราะเลื่อนฉายเร็วขึ้น มันน่าจะมีอะไรซักอย่างที่ถูกใจผู้บริหารค่าย ถึงขั้นยอมเลื่อนเร็วขึ้นปรับตารางโปรโมทหนังกันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว
ซักเท่าไหร่เพราะว่าในเมืองนั้นได้มีเรื่องเล่าขานของนาง ซึ่งนางเป็นตัวร้ายที่น่ากลัวอยู่สำหรับมนุษย์ทุกคน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ได้เกิดเรืองราวต่างๆมากมายเมื่อ Mafeficent เดินทางไปทานอาหารค่ำ จู่ๆราชาก็ได้หลับไหลเหมือนที่ออโรร่าเคยโดน ด้วยความที่หลายๆคนไม่เคยรับรู้ความจริงเกี่ยวกับ Maleficent ทำให้ชนวนสงครามระหว่างเมืองมัวร์ส กับมนุษย์ได้เริ่มกลับมาปทุอีกครั้ง พร้อมทั้งได้มีการค้นพบเผ่าพันธุ์สัตว์ชนิดใหม่ ที่มีรูปลักษณ์เหมือน Mafeficent เหตุการณ์จะจบลงเช่นได้อยากให้ไปดูจริงๆ
เอาเข้าจริงแล้วเนื้อเรื่องนั้นแทบจะไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลย เนื้อเรื่องดำเนินไปเป็นเส้นตรง จุดหักมุมที่มีก็ไม่ได้ Impact ซักเท่าไหร่เพราะว่าบางฉากนั้นก็ได้ถูกเล่าหรือกล่าวถึงไปในตัวอย่างหนังแล้ว แต่สิ่งที่น่าสนใจคือด้วยความเรียบง่ายของตัวบทนี้ ส่งให้ แองเจลิน่า โจลี โชว์สักยภาพการเป็น Maleficent ได้น่าติดตามและน่าค้นหามาก เรียกง่ายๆเลยคือการแสดงของโจลี สะกดคนดูได้อยู่หมัดโดยเฉพาะฉากที่เธอปล่อยผม คือความงามที่สุดครั้งนึงที่ถูกถ่ายทอดบนจอภาพยนตร์ และสิ่งหนึ่งที่ต้องยกนิ้วให้เลยคือ CGI ที่เรียกได้ว่าภาคนี้ขนมาจัดเต็มเอามากๆ ฉากต่างๆในเรื่องล้วนสวยงาม ชวนตกตะลึงเอามากๆ เอาเข้าจริงแล้วแค่เข้ามาดูแค่ฉากและ CG ของเรื่องนี้เรียกได้ว่าคุ้มอีกแล้ว
สรุปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีอะไรเซอไพร์ส หรือซับซ้อน แต่ด้วยความที่หนังนั้นดำเนินสไตล์ดิสนีย์จ๋า ไม่มีพิษภัยใดๆแก่คนดู (ทั้งๆที่ปมและสงคราม การต่อสู้การเข่นฆ่านั้นถ้ามองจริงๆแล้วค่อนข้างโหดร้ายและป่าเถือนเอามากๆ) ถูกทำออกมาให้ซอฟลง ดูได้เพลินตา ถ้าใครชอบภาคแรกแล้วคงจะหลงรักในภาคนี้ได้ไม่ยาก 7.5/10
สรุปผลวิจารณ์หนัง