สงกรานต์ แสบสะท้านโลกันต์ - Songkran Sabsatanlogun
เข้าฉาย 11 เมษายน 2562
ผู้ชม : 31,860
ผู้กำกับ
: พจน์ อานนท์
ความยาวหนัง
: 110.00
Text Size
หนัง Songkran หรือชื่อไทยว่า สงกรานต์ แสบสะท้านโลกันต์ สงกรานต์ แสบสะท้านโลกันต์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากผู้สร้างหลวงพี่แจ๊ส 4G กำหนดฉาย 11 เมษายนนี้ การันตีความฮาด้วยทัพนักแสดงตลกชั้นนำ เช่น โรเบิร์ต สายควัน,น้าค่อม ชวนชื่น,นุ้ย เชิญยิ้ม,บอล เชิญยิ้ม จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขาทั้งหมดต้องมาเป็นนักมวยฝีมือฉกาจ พร้อมศิษย์สาวสุดเซ็กซี่ กับเรื่องราวที่คนดูคาดไม่ถึงที่จะทำให้สังเวียนนี้เต็มไปด้วยความฮา สมทบความฮาโดย นิก คุณาธิป ปิ่นประดับ,ยอร์ช ยงศิลป์ วงศ์พนิตนนท์,ตั๊ก บริบูรณ์และพิงค์กี้ สาวิกา ไชยเดช
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
ความคิดเห็น (0)
ดี
สงกรานต์ แสบสะท้านโลกันต์
อานนท์ มิ่งขวัญตา | ไทย | 2019
“ยังคงน่าเสียดายที่คุณค่าเดียวของนักแสดง อย่าง โซเฟีย ลา หนูรัตน์ และ สิตางศุ์ สะบัดต่อไม่รอแล้วนะ คือการมีตัวตนในหนังเพื่อให้คนดูหัวเราะใส่ มากไปกว่าการมีตัวตนอยู่และได้แสดงออกเพื่อเป็นตัวแทนสื่อถึงสิ่งอื่นที่เป็นชีวิตบ้าง และน่าเศร้าที่ดูไม่มีแววว่าจะเป็นไปได้มากกว่านี้ในเร็ววัน
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังของ พจน์ อานนท์ เป็นเวทีสำคัญหนึ่งที่ให้โอกาสพวกเธอได้ขึ้นโชว์”
---------- ---------- ---------- ---------- ----------
พจน์ อานนท์ พชร์ อานนท์ พชร์ ภเสฐ หรือ อานนท์ มิ่งขวัญตา และชื่ออะไรก็แล้วแต่ที่ พจน์ อานนท์ ใช้แทนตัวเองในตำแหน่งผู้กำกับหนังได้พาคนดูหนังไทยเดินทางมาถึงภาพยนตร์ลำดับที่ 34 (ตามข้อมูลในวิกิพีเดีย) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บางปีฉาย 2 เรื่อง บางปี 3 บางปี 4 ดุจริงๆ เลยพี่แก!! แล้วผมก็เป็นคนที่ชอบซื้อตั๋วไปดูหนังของแกอยู่เรื่อยๆ
แล้วก็มาถึง สงกรานต์ แสบสะท้านโลกันต์ กับเรื่องราวของเจ้าของค่ายมวยที่นำแสดงโดย น้าค่อม ชวนชื่น ที่ต้องหาคนมาแข่งมวยเพื่อต่อลมหายใจค่ายให้อยู่ต่อได้ หลังจากที่ลูกชายนักมวยเพียงคนเดียวของค่ายได้แพ้ยับให้กับเสี่ยค่ายมวยคู่แข่งที่รับบทโดย ตั๊ก บริบูรณ์
แค่ชื่อของ ค่อม ชวนชื่น กับ ตั๊ก บริบูรณ์ ก็ช่วยการันตีความฮาได้ในระดับหนึ่งแล้วล่ะ ยิ่งพ่วงตามมาด้วย นุ้ย เชิญยิ้ม บอล เชิญยิ้ม และ โรเบิร์ต สายควัน ที่กระแสกำลังมา พร้อมกับนักแสดงเจ้าประจำของมุกตลกทำนองนี้อีกหลายคน เช่น สมจิตร ผัดไท หยอง ลูกหยี สุเทพ สีใส และ ดาว ขำมิน ด้วยแล้วเนี่ยมันต้องฮายกกำลังแน่ๆ
คือถ้าอยู่ในรายการเล่นตลกโปกฮาพาอารมณ์ดีตามทีวีหรือช่องยูทูบแล้ว ดาราตลกชั้นนำของไทยเหล่านี้ไม่น่าจะทำให้คนดูกลุ่มเป้าหมายผิดหวัง อย่างน้อยก็ต้องฮาเหมือนที่นั่งดูทีวีอยู่ที่บ้าน ดูยูทูบผ่านมือถือบนรถเมล์รถไฟฟ้าหลังเลิกงานกลับบ้านฆ่าเวลาการคมนาคมอันสาหัสของกรุงเทพฯ แบบนั้นน่ะไม่ทำให้ผิดหวังแน่ๆ
แต่พอเป็นหนังที่ต้องซื้อตั๋วเข้าไปดู และภายใน 2 ชั่วโมงในโรงหนังมันก็มีต้นทุนที่แพงกว่าค่าไฟทีวีหรือค่าเน็ตมือถือ การเลือกดูหนังโรงที่มุ่งแต่เล่นมุกกลุ่มนี้เลยเป็นความเสี่ยงอย่างที่สุดถ้าหวังผลว่ามันจะเป็นหนังที่มีเรื่องมีราวให้จับต้องได้จริงจัง และถึงจะคาดหวังแค่ในมุมของความตลกมันก็ยังเสี่ยงในระดับปัจเจกของแต่ละบุคคลอยู่ดีในเรื่องมุกเรื่องความตลกที่มันเป็นเรื่องรสนิยมส่วนตัวจริงๆ
ส่วนตัวแล้วกับหนังประเภทนี้ไม่ว่าจากค่ายไหนหรือใครกำกับก็จะมีทั้งที่ชอบบ้าง สนุกร่วมบ้าง น่าเบื่อบ้าง และก็มีที่ไม่ชอบใจบ้างเวลาเห็นหนังที่มันเละเทะ เห็นความหละหลวมไม่ใส่ใจในการสร้างสรรค์อย่างชัดเจน จนรู้สึกเสียดายโอกาสสำหรับคนอื่นๆ ที่ทำได้ดีและตั้งใจทำมันให้ดีได้มากกว่านี้
และบางครั้งก็รู้สึกโกรธแทนคนที่พยายามแล้วพยายามอีกเพื่อให้ได้ทำหนังดีๆ สักเรื่อง แต่โอกาสมันไปอยู่ในมือของคนที่ทำหนังออกมาส่งๆ ซึ่งต้องพูดตรงๆ ว่ารู้สึกอย่างนั้นกับหนังของ พจน์ อานนท์ และคนทำหนังไทยอื่นๆ อยู่หลายเรื่อง ในปีนี้ก็อย่างเช่น รักไม่เป็นภาษา (ทีมไข่กวน | 2019) และ สิ้นสามต่อน (บั้งไฟทีม | 2019) ไม่ว่าจะตั้งใจทำออกมาให้ดีแล้วขนาดไหนก็ตาม
แต่ สงกรานต์ แสบสะท้านโลกันต์ ไม่มีความเละเทะให้เห็นเท่าไหร่แฮะ อาจเป็นเพราะเข้าไปนั่งดูด้วยสายตาที่จำกัดความว่ามันเป็นหนังต่อมุกไม่เอาเรื่องราวอะไรและมองข้ามเรื่องของความใส่ใจต่อตัวบทไปแล้ว แต่ความไม่เละเทะก็ไม่ได้ทำให้หนังสนุกหรือเป็นที่น่าจดจำนะ กลายเป็นความเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ขำบ้างเบื่อบ้างเสียมากกว่า
สายตาส่วนหนึ่งก็หลบไปมองที่งานสร้างที่เลือกสถานที่ถ่ายทำได้น่าดู และการถ่ายภาพที่หลายช็อตหลายฉากจัดว่าไม่ขี้เหร่ ถึงจะไม่ได้ถึงขั้นพิถีพิถันออกแบบให้ขับเน้นเรื่องราว แต่ก็ไม่ได้แตกพร่าน่าเกลียดอย่างช็อตโดรนหรือช็อตกลางคืนแตกๆ มัวๆ ที่หนังไทยหลายเรื่องถ่ายลวกๆ มาใช้ ซึ่งเท่าที่สังเกตดูหนังเรื่องนี้ค่อนข้างใส่ใจไม่ปล่อยผ่าน
ถ้าแบ่งให้อยู่ในประเภทหนังรวมมุกตลกคาเฟ่ หนังเรื่องนี้ก็พอที่จะตามตูดไปวัดไปวาท่ามกลางหนังในกลุ่มเดียวกันได้ คือดีมากแล้วที่พอได้ดูหนังก็ไม่ได้สร้างความน่าหงุดหงิดใจอะไร ไม่ผิดหวังก็เพราะไม่ได้คาดหวัง ถึงหนังจะให้พื้นที่เล่นมุกมากกว่าจะเล่าเรื่องราวของตัวละครมากไปหน่อยจนหลายครั้งน่าเบื่อ แต่ก็ไม่มีจุดที่ไม่ชอบใจชัดๆ เหมือนหนังเรื่องก่อนหน้านี้ของพจน์อย่าง หอแต๋วแตก แหกต่อไม่รอแล้วนะ (2018) ที่ส่วนตัวแล้วไม่ชอบความเละเทะเลย ถึงจะมีหลายอิลิเมนต์ความคัลท์ที่ชอบอยู่
จริงๆ ก็ชอบหนังอย่าง หอแต๋วแตก (2007) กับ โป๊ะแตก (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา | 2010) นะ มันบ้าบอบันเทิงดี แต่บางทีถ้าเข้าไปดูหนังพวกนี้แล้วไม่ตลกเราอาจจะหลับใส่ได้แบบไม่เสียดายความคาดหวังอะไรไปมากกว่าการเสียดายเงิน ไม่ต้องรอดูให้จบเพื่อเอาเนื้อหนังไปชวนเพื่อนถกถึงประเด็นนั้นมุมมองนี้กันต่อ เพราะหนังมันไม่ค่อยจะมีให้ หรือหลายครั้งคนทำจะปกป้องตัวเองว่ากูใส่ประเด็นดีๆ ในหนังและพยายามจะยื่นให้แล้วนะเว้ย ทำไมไม่เห็นกันบ้างวะ ก็เพราะเมื่อเล่าออกมาด้วยท่าทีที่ดูไม่จริงจังกับประเด็นอะไรทั้งนั้น คนดูก็ไม่พร้อมที่จะซีเรียสตามเรื่องตามราวได้
ความคิดที่ว่า ‘หนังที่เล่นตลกสังขารและทรีตกะเทยให้เป็นตัวตลกดูไม่สร้างสรรค์เอาเสียเลย’ เป็นสิ่งที่เห็นด้วย หนังของพจน์ก็มักจะเป็นการรวมกลุ่มนักแสดงที่สังขารขั้วตรงข้ามกันเพื่อบาลานซ์ความตลกหลายๆ แบบเพื่อดึงดูดคนดูให้หลากหลายกลุ่ม
ทั้งกลุ่มแรกที่ใช้ความตลกน่าหัวเราะของนักแสดงที่ใช้สังขารที่มีทั้งอาศัยสังขารที่เป็นอยู่สร้างความตลก และมีทั้งเปลี่ยนตัวตนและร่างกายให้พิการหรือผิดจากเพศสภาพตัวเอง ซึ่งอาจเป็นทั้งดาราตลกดาวเด่น เน็ตไอดอล หรือคนดังข้ามคืนที่กำลังมีกระแส และกลุ่มที่ 2 ที่อาศัยความตลกน่าเอ็นดูจากความเป็นนักแสดงวัยรุ่นใสๆ ดาราดังสาวสวยสายเสน่ห์ ซึ่งทั้งสองกลุ่มก็มีทั้งที่เป็นดาราแม่เหล็ก ดาราลูกหม้อ และเด็กปั้นในสังกัดคนใหม่ๆ โผล่มาตลอดๆ และทั้งหมดนี้ก็เพื่อนำเสนอความตลกเป็นหลัก
นอกจากหนังจะสร้างบทที่ใช้บ้างด้นบ้างมาเพื่อรองรับมุกแล้ว นักแสดงในเรื่องเหล่านี้ก็เป็นตัวรองรับมุกเช่นกัน บางคนอาจจะเป็นจานแก้วที่พอจะมีมุมใสๆ งามๆ น่ามองให้ชม และบางคนก็อาจเป็นถึงกระโถนรองรับเสียงหัวเราะรดหน้า ขณะนั่งดูหนังเรื่องนี้ก็พลางสังเกตคนดูซ้ายขวาและข้างหลังว่าส่วนใหญ่พวกเขาจะยิ้มแย้มเมื่อเห็น พิงกี้ สาวิกา นิก คุณาธิป หรือ ยอร์ช ยงศิลป์ โผล่มา และทำหน้าเหยเกเมื่อเห็นหน้านักแสดงอย่าง โรเบิร์ต สายควัน หรือ สิตางศุ์ สะบัดต่อไม่รอแล้วนะ ในระยะใกล้ๆ สิ่งเดียวที่ต้องทำให้คนดูเหล่านั้นยิ้มให้คุณได้คือคุณต้องทำตัวให้ตลกให้ได้
การที่จะสร้างเสียงหัวเราะก็มีหลายวิธี เช่น นุ้ย เชิญยิ้ม และ บอล เชิญยิ้ม มีเทคนิคในการแต่งหน้าช่วยให้ฟันเหยินและปากแหว่งผิดปกติเพื่อแสดงความตลก แต่ โซเฟีย ลา หนูรัตน์ และ สิตางศุ์ ต้องอาศัยสังขารตัวเองเป็นอุปกรณ์สร้างความตลกเสียส่วนใหญ่ ซึ่งคนหลังเหมือนมาทำหน้าที่แทน ไข่มุก ซุป’ตาร์ ที่เคยต้องมารองรับอะไรแบบนี้
ยังคงน่าเสียดายที่คุณค่าเดียวของนักแสดงอย่างพวกเธอคือการมีตัวตนในหนังเพื่อให้คนดูหัวเราะใส่ มากไปกว่าการมีตัวตนอยู่และได้แสดงออกเพื่อเป็นตัวแทนสื่อถึงสิ่งอื่นที่เป็นชีวิตบ้าง และน่าเศร้าที่ดูไม่มีแววว่าจะเป็นไปได้มากกว่านี้ในเร็ววัน
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าไม่มีหนังแบบนี้ หนังเนื้อดีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสายแมสหรืออินดี้ก็ไม่ค่อยจะมีพื้นที่ให้พวกเธอได้โลดแล่น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกผ่านตัวตนจริงๆ หรือด้วยบทบาทที่พวกเธอสามารถเป็นได้ในโลกภาพยนตร์ไทย หนังของ พจน์ อานนท์ จึงเป็นเวทีสำคัญหนึ่งที่ให้โอกาสพวกเธอได้ขึ้นโชว์
เคยคิดว่าการทำหนังแบบนี้เป็นการดูถูกคนดูเกินไป และยังคิดว่าหนัง สงกรานต์ฯ แบบนี้ที่เก็บเอาไว้ดูสงกรานต์ปีหน้าก็ไม่เป็นไร เพราะมันทำงานกับเราแค่ให้ขำในช่วงเวลาที่นั่งดูเท่านั้นแหละ มันไม่ได้ตั้งใจจะเชื่อมโยงไปถึงอารมณ์ความรู้สึกเราปลอบเรากอดเราที่เวลาเจอเหตุการณ์อะไรแล้วจะกลับมานึกถึงมัน
แต่มันเชื่อมโยงด้วยมุกอย่างควันเสพยา มุกแทะฟันปลอม มุกแขนหนุนนม และเพลงอย่างบักแตงโม หรือเลิกคุยทั้งอำเภอฯ แต่หลังจากนั้นมันจะไม่มีอิทธิพลอะไรกับชีวิตเรา ถึงผมจะชอบดูหนังไทยทุกรูปแบบ แต่ผมก็ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลักที่หนังตั้งใจเข้าถึง เรากำลังพูดแทนคนดูอีกกลุ่มหนึ่งมากไปหรือเปล่า
คือเอาเข้าจริงคนดูที่เราพูดเหมือนจะปกป้องเขานั่นแหละคือฐานกำไรสำคัญที่ทำให้ยังมีหนังแนวนี้อยู่ คือถ้าใครบอกว่ามันเป็นหนังที่คนทำดูถูกคนดูก็เหมือนเป็นการแสดงออกว่าผู้พูดกำลังดูถูกคนดูกลุ่มที่เป็นแฟนของหนังแนวนี้เช่นเดียวกัน ว่าไปแล้วก็คล้ายๆ กับที่คนมีการศึกษาดูถูกสิทธิ์เสียงของคนรากหญ้าต่างจังหวัดอยู่เหมือนกันนะ
ซึ่งตามความเป็นจริงในสากลโลกแล้วไม่ว่าประเทศไหนๆ ก็มีหนังแนวนี้อยู่และมันขายได้เพราะมีคนที่เติบโตมาจากพื้นฐานทางสังคมที่หลากหลายและคนส่วนหนึ่งพร้อมที่จะดูมัน เป็นไปตามหลักอุปสงค์อุปทานของเศรษฐศาสตร์ แต่ก็ใช่ว่าคนทำหนังจะไม่สามารถพัฒนาหนังตามแนวทางของตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อให้คนดูพัฒนาตามไปด้วยได้น่ะนะ
มาถึงตรงนี้ก็เกิดคำถามที่ว่า..แล้วกลุ่มแฟนหนังของ พจน์ อานนท์ หายไปไหน เมื่อผู้กำกับหนังที่เขาชื่นชอบถูกโจมตีแทบทุกครั้งที่หนังออกฉายขนาดนี้ ถ้าจะบอกว่ากลุ่มคนดูเป็นชาวบ้านๆ ต่างจังหวัด เป็นเด็กแว้นเด็กสก๊อยก็พบได้มากมายในโลกโซเชียลมีเดีย แต่พอหนังพจน์โดนยำเละตามเพจต่างๆ กลับไม่ค่อยจะเห็นมีใครมาออกโรงปกป้องเหมือนเวลาที่คนโจมตีเรื่องแว้นรถเสียงดัง เรื่องยกพวกตบตีกันที่ออกมาปกป้องวิถีและรสนิยมของกลุ่มสังคมตัวเอง หรือหนังไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าหวงแหนหรือน่าใส่ใจสำหรับพวกเขา หนังบางเรื่องก็แค่สิ่งบันเทิงไปวันๆ ในเมื่อให้ความบันเทิงได้ไม่แตกต่างไปจากสื่ออื่นที่มีอยู่ทั่วไป
หรือจริงๆ แล้วใครกันแน่ที่ดูหนังของพจน์ อานนท์? อาจมีกลุ่มคนดูในเมืองใหญ่ไม่น้อยที่ไม่เปิดเผยตัว คงได้แต่นั่งออฟฟิศจิบสตาร์บัคดูหอแต๋วแตก และปล่อยให้รสนิยมการดูหนังที่ถูกมองเหยียดตกไปเป็นของคนต่างจังหวัด และกลุ่มคนที่ถูกมองว่าบกพร่องทางการศึกษาไป เป็นไปได้หมด
แต่ถึงอย่างไรหนทางที่จะทำให้ภาพรวมของหนังไทยนั้นหลากหลายขึ้นทั้งเรื่องราว ประเภทหนัง แนวการเล่า และคุณภาพไม่ใช่การไปห้าม พจน์ อานนท์ ไม่ให้ทำหนังภาคต่อแบบ หอแต๋วแตก ห้าม หม่ำ จ๊กมก ไม่ให้ทำหนังแบบ สิ้นสามต่อน (2019) หรือห้าม ยอร์ช ฤกษ์ชัย ไม่ให้ทำหนังแบบ คุณนายโฮ (2012) ซึ่งเป็นหนังในแบบที่พวกเขาสนุกที่จะทำมันขึ้นมา และคนดูที่สนับสนุนพวกเขาก็สนุกกับหนังในแบบที่เขาอยากดู และการห้ามมันก็เป็นการริดรอนสิทธิ์และอิสระในการเสพและการสร้างสรรค์ไม่ต่างกับการแบนหรือเซ็นเซอร์หนังที่เราเฝ้าก่นด่าหน่วยงานรัฐ
พจน์ อานนท์ ไม่ได้เป็นศูนย์กลางปัจจัยที่ทำให้หนังไทยไม่พัฒนาหรือไม่ถูกเหลียวแล ไม่ใช่เลย คนทำหนัง นายทุน คนทำธุรกิจโรงหนัง รัฐบาล และคนดูหนังต้องช่วยกันสนับสนุนการทำหนังที่กำลังค่อยๆ หลากหลายและมีคุณภาพอื่นๆ ให้จริงจังและจริงใจ ขณะเดียวกันก็ต้องอ้าแขนยอมรับหนังแบบ พจน์ อานนท์ และหนังอื่นที่ถูกมองว่าแย่ให้เป็นหนึ่งเดียวกันในนามของหนังไทยด้วย ไม่ต้องถึงขนาดกับโอบกอดปกป้องหรอก มีติบ้าง ด่าบ้าง และชมบ้างก็ได้ และอย่างน้อยก็จริงใจที่จะให้หนังเหล่านี้ยังคงเป็นหนึ่งในความหลากหลายของหนังไทยและเติบโตงดงามไปด้วยกัน
ฟังดูสวยหรู ดูไม่ง่าย แต่ก็ยังเชื่อว่าหนังไทยทำได้
เข้าไปกดติดตามเพจ วันวันดู ได้ทาง Facebook นะครับ :D
สรุปผลวิจารณ์หนัง