Frozen 2 - โฟรเซ่น 2: ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
หนัง Frozen 2 หรือชื่อไทยว่า โฟรเซ่น 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ ทำไมเอลซ่าถึงเกิดมาพร้อมกับพลังวิเศษ? คำตอบกำลังเรียกหาเธอและกำลังคุกคามอาณาจักรของเธอ เธอจึงเริ่มการเดินทางสุดอันตรายแต่แฝงไว้ด้วยความน่าพิศวง ไปกับ อันนา, คริสตอฟฟ์, โอลาฟ และสเฟน ใน “โฟรเซ่น – ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” เอลซ่ากลัวว่าพลังของเธอรุนแรงไปสำหรับโลกใบนี้ “โฟรเซ่น 2 – ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ” เธอเพียงได้แค่หวังว่าพลังของเธอจะรุนแรงพอ จากทีมผู้สร้างเจ้าของรางวัลออสการ์ – ผู้กำกับ เจนนิเฟอร์ ลี และคริส บัค ผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ เดล เวโค่ และผู้เขียนเพลง คริสเทน แอนเดอร์สัน-โลเปซ และโรเบิร์ต โลเปซ และนักแสดงผู้ให้เสียงพากย์ อิดิน่า เมนเซล คริสเทน เบลล์ โจนาธาน กรอฟฟ์, และ จอช แกด “โฟรเซ่น 2 – ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ” จากวอลท์ ดิสนีย์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 21 พฤศจิกายน 2562
Elsa, Anna, Kristoff and Olaf are going far in the forest to know the truth about an ancient mystery of their kingdom.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
FROZEN II
" ก้าวข้ามความกลัว สู่ดินแดนที่ไม่รู้... "
103 min | Animation | Directed by Chris Buck, Jennifer Lee
หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามไปในภาคแรก กับการเป็นตัวแทน เป็น Icon ของการก้าวผ่านวัย และการ Come out จนภาคต้องมีภาคต่อตามออกมา ในภาคที่ 2 นี้ เอลซ่า และ อันนา จะต้องออกเดินทางไปยังดินแดนป่าต้องห้ามเพื่อค้นหาคำตอบของภัยพิบัติที่กำลังคุกคามเอเรนเดลล์อยู่ รวมไปถึงต้นกำเนิดของพลังวิเศษของเอลซ่าด้วย
ต้องบอกว่าเป็นอนิเมชั่นที่ทำออกมาได้ตามมาตรฐานอนิเมชั่นของดิสนีย์ในช่วงหลัง ที่ว้าวอย่างแรกเลยคืองานภาพ งานกราฟิกที่ถ้าสังเกตดูดีๆ ตอนนี้มันแทบจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงแล้ว สวยมาก ราวกับเอากล้องไปถ่ายของจริงแล้วมาซ้อนกับโมเดลอนิเมชั่นอีกที สุดยอดจริง รวมไปถึงจุดเด่นของ Frozen นั่นก็คือเพลงประกอบภาพยนตร์ ที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอาจจะไม่ฮิตติดหูเท่า Let it go แต่ถ้าได้ดูจนจบคุณจะหลอนและฮัมเพลง Into the Unknown ออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ถือว่าเพลงยังทำงานกับหนังได้ดีเช่นเคย เพราะ ติดหู เนื้อหาสอดคล้องกัน
แต่ปัญหาหลักของหนังในภาคนี้จริงๆ นั่นก็คือการเล่าเรื่องที่ดูจะไม่แข็งแรงเท่าไหร่นัก โอเคว่าธีมของเรื่องดูสร้างสรรค์และน่าสนใจ นั่นก็คือ การก้าวไปสู่สิ่งใหม่ ฉีกออกจากกรอบที่คนรุ่นก่อนตีขึ้นและมันไม่เวิร์กซึ่งก็ร่วมสมัย แต่ดูเหมือนกับว่าหนังยังไม่พร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้น เพราะยังต้องขายเด็กอยู่บ้าง ประจวบกับเส้นเรื่องก็ไม่ได้ถูกวางมาดีมากเลยทำให้ถ้าพูดกันตามตรงก็คือเนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรเลย เน้นความตลก และเสน่ห์ของตัวละครที่แบกหนังไว้
โดยรวมแล้ว FROZEN II อาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าภาคแรก แต่ก็ยังคงความบันเทิงครบรสเอาไว้ และเต็มไปด้วยฉากที่เอาใจคนรักอนิเมชั่นเรื่องนี้แบบเน้นๆ อารมณ์ของหนังที่ดูจะเด่นที่สุดก็คงจะเป็นความตลกโดยเฉพาะ Olaf, Kristoff และ Sven ที่มาน้อยแต่มานะ ฮาจัด ใครที่รักภาคแรกยังไงก็ไม่ควรพลาดอยู่แล้วครับ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
Frozen 2
จากปรากฏการณ์ Let it go เมื่อปี 2013 ที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่แก่วงการอนิเมชั่น Frozen ขึ้นแทนเป็นอนิเมชั่นทำเงินสูงสุด 1200 ล้านดอลล่าร์ ถือว่าเป็นม้ามืดของปีนั้น และได้คว้า 2 รางวัลออสการ์สาขาอนิเมชั่นยอดเยี่ยมแห่งปี รวมไปถึงเพลงประกอบยอดเยี่ยม (Let it go) ทำให้ดิสนีย์ถึงกับต้องยอมกลับคำตัวเองหันมาพัฒนาภาคต่อของเรื่องราวนี้ จนผ่านมา 6 ปี ภาค 2 ที่ไม่ได้อิงจากตำนานไหนๆ ก็ได้เวลาอวดโฉมให้หลายๆคนได้ชมกัน
เรื่องราวในภาคนี้จะดำเนินต่อ 3 ปีหลังจากภาคแรก เมื่อเอลซ่าและอันนาได้ปกครองอาณาจักรแอเรนเดลอย่างสงบสุข แต่ลึกๆ แล้วในใจของเอลซ่ายังไม่หยุดคิดถึงว่าตัวเองไม่คู่ควรที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ จนกระทั่งได้มีเสียงเพรียกลึกลับ ดังลอยมาจากดินแดนทางเหนือ เอลซ่าได้ปลุกพลังของจิตวิญญาณแห่งป่าต้องมนตร์ให้ตื่นขึ้น แอเรนเดลถูกโจมตีจากพลังลึกลับ ทำให้เอลซ่าอันนา คริสตอฟ โอลาฟและสเฟน ต้องออกเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่รู้เพื่อตามหาทางช่วยเหลือแอเรนเดลจากภัยพิบัติในครั้งนี้
ยอมรับจริงๆว่าเพลงในภาคนี้ยังไม่ไพเราะ เพราะพริ้งฟังแล้วติดหูเท่าภาคแรก แต่ก็ไม่ได้แย่จนฟังไม่ได้ ที่แน่ๆคือยังไม่มีเพลงไหนเทียบเท่า Let it go ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์แน่นอน ถึงแม้ว่าเพลงจะไม่ปังเท่าภาคแรก แต่ก็เสริมทัพความอลังด้วยฉากทิวทัศน์ต่างๆที่เรียกได้ว่าดีเทลละเอียดสมจริง จนบางครั้งคุณอาจลืมไปเลยว่านี่กำลังดูแอนิเมชั่นอยู่ไม่ใช่หนังคนแสดง รวมไปถึงมุกตลกฮาๆที่มาได้จังหวะจะโคน และจัดหนักมาก ใครที่เคยรำคาญโอลาฟจากหนังสั้นเรืองก่อนๆ ภาคนี้นางไม่น่ารำคาณแบบนั้นแล้วนะ
สรุปแล้วถึงแม้ว่า Frozen 2 ส่วนตัวว่าคงไม่สร้างปรากฏกาณ์ Let it go ได้เทียบเท่าภาคแรก แต่ก็เป็นภาคต่อที่ไม่ได้ด้อยค่าแต่อย่างใด ยังคงดูสนุก ฟังเพลงเพราะๆได้(ซึ่งฟังซ้ำๆคงติดหูไปเอง) และใครที่เป็นคอหนัง 3D ต้องบอกเลยว่า IMAX 3D เรื่องนี้เกล็ดหิมะกระแทกตาจริงๆอยากให้มาลองกัน รวมไปถึงคงไปซ้ำพากย์ไทยอีกรอบแน่นอน 8.5/10
[รีวิว] Frozen II - ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ
--- 7.5/10 ---
ภาพโคตรสวย! เอลซ่าปล่อยผมคือดีงามมาก!
เนื้อเรื่องเล่นใหญ่ไปแต่เล่าไม่ใหญ่ตาม
เพลงไม่ติดหูเหมือนภาคแรก เหมือนดู MV มาเรียงต่อกันเป็นหนัง
ภาคต่อของอนิเมชั่นชื่อดังที่สร้างปรากฏการณ์ไปทั้งโลก เด็กๆ ต่างเรียกร้องให้พ่อแม่ซื้อของเล่นและชุดแต่งกายอันงามหยดย้อนของเอลซ่า ครั้งนี้กลับมาอีกครั้ง กับเรื่องราวการตามหาที่มาที่ไป ต้นกำเนิดพลังที่แท้จริงของเอลซ่า ทำให้เหล่าสหายต้องออกเดินทางร่วมผจญภัยกันอีกครั้ง
ไม่คิดเลยว่า Frozen จะมีภาคต่อได้ ให้เดาเลยนะว่าตอนแรกไม่ได้กะทำให้มีภาคต่อหรอก แต่มันดันขายได้ แล้วมันดังมากกกกกก เลยเซอร์วิสแฟนคลับของเรื่องนี้ด้วยการทำภาคต่อซะเลย และทางออกที่ดีที่สุดที่จะทำให้เกิดภาคต่อก็คือเรื่องราวตัวเอกของเรื่องอย่างเอลซ่าเนี่ยแหละ กับที่มาที่ไปของพลังเธอ หนังจึงสร้างเรื่องราวขึ้นมาให้เอลซ่าได้ยินเสียงบางอย่าง ทำให้เธอต้องออกเดินทางไปตามเสียงนั้นเพื่อค้นพบคำตอบในชีวิตของเธอ
เนื้อเรื่องเหมือนจะยิ่งใหญ่ พยายามเล่นใหญ่มากกก แต่การเล่าและวิธีการต่างๆ ในการคลี่คลายคือเล่นไม่ใหญ่ตาม คือเอาจริงๆ ก็ไม่มีอะไรเลย ธรรมดา แถมยังมีจุดบอดของเรื่องชวนสงสัยเต็มไปหมด สิ่งที่พอจะทำให้หนังน่าสนใจคือตัวโอลาฟนั่นแหละ ที่เรียกเสียงหัวเราะได้ทุกฉาก ยก MVP ให้เขาเลย โดยเฉพาะฉากเล่าเรื่องกลางเรื่องนี่ฮามาก 555 และการปรากฏตัวของจิ้งเหลนสุดน่ารัก สองสิ่งนั้นแหละคือสิ่งบันเทิงสุดๆ ของหนังเรื่องนี้และ นอกจากนั้นมันคือ MV เพลงขนาดยาว ที่ประกอบไปด้วยเพลงหลายเพลงมาเรียงร้อยต่อกัน คือเล่าสักพักเหมือนคิดอะไรไม่ออกมาร้องเพลงกันดีกว่าาาา ซีนคริสตอฟร้องเพลงนี่คือ MV จัดๆ
ทางด้านเพลงในภาคนี้ไม่ค่อยติดหูเหมือน Let it Go - Demi Lovato อย่างในภาคแรกที่ร้องกันทั้งบ้านทั้งเมือง ฟังแล้วแบบพร้อมปล่อยพลังอะ ด้วยจังหวะ ด้วยคำร้อง ย้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!! ส่วนในภาคนี้ทั้งๆ ที่ฟังกรอกหูเพลงใหม่มาบ้างแล้วนะ มันจะเป็นเพลง Into the Unknown ที่เอาจริงๆ เพราะทุกเวอร์ชั่นเลยนะ ทั้ง Panic! At The Disco, Taeyeon, Idina Menzel หรือของเวอร์ชั่นแก้ม เพราะมากทั้งนั้นเลยนะ เพียงแต่ว่ามันไม่ติดหูเท่านั้น
พูดถึงเวอร์ชั่นไทยที่แก้มร้อง รู้สึกขัดใจคำแปลมาก โดยเฉพาะท่อน “Into the Unknowwwww” คือมันแปลออกมาว่า “ดินแดนที่ไม่รู้วววววววววววววววววววววววววว” ซึ่งมันไม่สามารถออกเสียงให้มันอลังกาลเหมือนเสียงต้นฉบับได้อะ คือพลังเสียงแก้มนี่พ่นไฟมาก ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ดันแปลออกมาเป็นแบบนั้น ไม่ใช่แค่ท่อนเดียวนะ หลายๆ ท่อนเลย เสียดายมาก จริงๆ ร้องทับไปเลยก็ได้น่าจะอลังมากอะเสียงแก้มท่อนนั้น เสียดายจริงๆ (อยากเห็นแก้มเอามา Cover เองในช่องมาก ฟัง Let it go ที่แก้มร้องแล้วแบบ อยากปล่อยพลัง 555)
สิ่งที่เราโคตรชอบในเรื่องนี้นอกจากโอลาฟแล้วก็คืองานภาพ สวยไปไหน! โดยเฉพาะฉากที่มีน้ำนี่โอ้โห ให้ตายเถอะ ทำได้ขนาดนี้เลยหรอ งดงามมากกก รวมถึงองค์ประกอบฉากอื่นๆ แสงสี ไฟ คืองดงามหมด ยกระดับมากเลยภาคนี้ และอีกสิ่ง เอลซ่าปล่อยผมงดงามเกินบรรยาย สวยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
สรุปแล้ว Frozen II น่าจะทำออกมาเอาใจแฟนคลับจริงๆ นั่นแหละ คือภาคแรกเราก็ไม่ได้ประทับใจอะไรขนาดนั้น ก็เรื่อยๆ เพลินๆ แต่ชอบเพลง พอมาในภาคนี้หลายๆ อย่างมันชวนให้ไม่เอ็นจอยสักเท่าไหร่ แถมเพลงยังไม่ติดหูเหมือนภาคแรกอีก เหมือน MV เพลงเรียงต่อกันอีกต่างหาก แต่ยังมีงานภาพที่น่าจับตา โอลาฟที่คอยดึงเราอยู่บ้าง และลุคปล่อยผมของแม่นางเอลซ่า
สรุปผลวิจารณ์หนัง