Ad Astra - ภารกิจตะลุยดาว
หนัง Ad Astra หรือชื่อไทยว่า ภารกิจตะลุยดาว "Ad Astra" กำกับฯโดย เจมส์ เกรย์ เขียนบทฯโดย อีธาน กรอส นำแสดงโดย แบรด พิตต์, ทอมมี่ ลี โจนส์, โดนัล์ด ซูเธอร์แลนด์, จอห์น ออร์ทิส, เจมี่ เคนเนดี้ และรูธ เนกก้า กับเรื่องราวของนักบินอวกาศ รอย แม็คไบรด์ (แบรด พิตต์) ต้องรับหน้าที่ทำภารกิจสำคัญที่สุดในชีวิต นั่นก็คือการเดินทางข้ามระบบสุริยจักรวาล เพื่อตามหาพ่อผู้เป็นที่รักที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ซึ่งสาเหตุนั้นอาจข้องเกี่ยวกับปริศนาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ และเป็นความลับที่คุกคามการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษยชาติบนโลกของเรา
Astronaut Roy McBride travels to the outer edges of the solar system to find his missing father and unravel a mystery that threatens the survival of our planet.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
[รีวิว] Ad Astra - ภารกิจตะลุยดาว
--- 6.8/10 ---
หนังไซไฟอวกาศเชิงปรัชญา ที่ไม่ได้ลึกเกินจะเข้าใจ
แต่มีความเนือยและเอื่อยใช่เล่น
Ad Astra เป็นเรื่องราวการผจญภัยของนักบินอวกาศนามว่า Roy McBride (Brad Pitt) ที่ได้ออกเดินทางไปดาวเนปจูนเพื่อไปค้นหาคำตอบของการระเบิดผิดปกติที่ส่งผลต่อมวลมนุษยชาติและตามหาพ่อผู้เป็นที่รักที่หายตัวไปอย่างลึกลับและอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดระเบิดนั้น
ต้องบอกก่อนเลยว่ามันไม่ใช่หนังแอ็คชั่นตะลุยอวกาศแต่อย่างใด ไม่ใช่แบบ Aliens, Startrek, Star Wars หรือแบบแนว Life, The Martian หรือ Armageddon, ID4 อะไรทำนองนั้น แต่มันค่อนไปทางพวก Interstellar หรือ Gravity มากกว่า ที่สำคัญฉากเปิดนี่ยังกะลอก Gravity มายังไงยังงั้น
หนังดำเนินเรื่องแบบเอื่อยๆ เนือยๆ ช้าๆ ผ่านเหตุการณ์การเดินทางและความคิดความอ่านของตัวเอก ค่อนข้างเป็นหนังปรัชญาแฝงความสัมพันธ์ ดราม่าระหว่างพ่อกับลูก ที่เอาเข้าจริงๆ ไม่อินกับความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้เลย อีกทั้งมันยังปูเรื่องราวไปจนถึงจุดพีคได้ไม่ซาบซึ้งพอให้เรารู้สึกมากตามเท่านั้นเอง แต่บอกไว้เลยว่ามันไม่ได้ดูยาก ลึกซึ้งอะไรขนาดนั้น มันก็โอเคนะ เพียงแต่มันไม่ได้บันเทิงหรือสร้างความตื่นเต้นเร้าใจสนุกอย่างหนังอวกาศทั่วๆ ไป ค่อนข้างเรื่อยๆ น่าเบื่อหน่อยๆ เท่านั้นเอง
แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว หนังมีทุกแนวเลยนะ 555 เหมือนตัวหนังพยายามจะยัดเยียดผสมหลายๆ แนวเข้ามา (บ้างเล็กน้อย) แบบจู่ๆ ก็มีเฉย ทั้งแอ็คชั่น แอดเวนเจอร์ รวมถึง ระทึกขวัญและสยองขวัญ ที่ชวนให้นึกถึง Aliens หรือเรื่อง Life โคตรๆ แต่ถึงมันจะมาแบบงงๆ คิดจะมาก็มา จะไปก็ไป แบบไม่มีที่มาที่ไป อย่างน้อยก็เหมือนมีอะไรมาคอยปลุกให้ตื่นจากความเรื่อยๆ ของหนังได้ดีเลยทีเดียว 555+
ทางด้านการแสดงนี่ต้องบอกเลยว่า Brad Pitt แบกหนังไว้ทั้งเรื่องจริงๆ เพราะทั้งเรื่องเราจะได้เห็นแต่หน้าและการแสดงของเขาล้วนๆ แต่ดูไปดูมาทั้งบุคลิก ลักษณะ ท่าทาง คิดว่าบทนี้โคตรเหมาะกับ Ryan Gosling ยังไงก็ไม่รู้แหะ แต่ถึงอย่างนั้น Brad Pitt ก็ทำได้ดีเลยแหละ เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่รับบทได้หลากหลายรูปแบบ และมากความสามารถอีกคนแห่งวงการ Hollywood เลยทีเดียว (ปกติจะเห็นแกรับบทพล่ามๆ ยิ่งล่าสุดกับ Once Upon a Time in Hollywood พอมาเรื่องนี้ยังกะคนละคน)
แอบชอบงานด้านภาพที่สวย แต่ตอบไม่ได้ว่าสมจริงไหม เพราะไม่เคยเห็นของจริงหมือนกัน 555 และการเซ็ทโลกของอวกาศให้ดูน่าสนใจ ว่าอนาคตมันคงจะเป็นแบบนี้ได้สักวันหนึ่งแหละ (มั้ง) แต่ก็มีแค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น
สรุปแล้ว ย้ำอีกครั้งว่า Ad Astra ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นตะลุยอวกาศ มันคือหนังปรัชญา เรื่องราวความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่ไม่ได้แย่ พอดูได้ แต่จะเนือยๆ เอื่อยๆ ไปสักหน่อยเท่านั้นเอง
สรุปผลวิจารณ์หนัง
AD ASTRA ดราม่าจัด ไม่บู๊เท่าไหร่
ถ้าหากอยากมาดูหนังตะลุยอวกาศสนุกๆ มันส์ๆ แบบ Startrek,Star Wars ก็คงต้องผิดหวัง หรือคาดหวังว่าจะน่ากลัวๆ ดาร์กๆ บู๊ๆ แบบ Aliens หรือ Prometheus ก็ไม่ใช่... จะใกล้เคียงสายดาร์กหนักหน่วงแบบ Gravity หรือ Interstellar เชิงความดราม่าไม่เชิงเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ แต่เป็นเชิงดราม่าเชิงบุคคลมากกว่า ไม่เอนเตอร์เทนเหมือน Martian หรือ Life ด้วยซ้ำ เป็นมู้ดที่แปลกใหม่ในเชิงหนังอวกาศอยู่เหมือนกัน
จริงๆแล้ว AD ASTRA เป็นหนังดราม่าความสัมพันธ์ ไม่ใช่หนังไซไฟ... แค่ตัวละคร สถานการณ์และฉากอยู่บนอวกาศ ถ้ามองในมิติเชิงดราม่าความสัมพันธ์มีแง่มุมที่ดูเหมือนจะนำเสนอผิวเผิน แต่ถ้าเอามาขบคิดต่อก็เห็นว่ามีสัญลักษณ์มีความลึกและซับซ้อนในเชิงการนำเสนอ ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ของตัวละคร หรือการที่ตัวละครกระทำอะไรบางอย่าง สื่อสารความห่างเหินของความสัมพันธ์ของตัวละครได้ห่างเหินระดับขอบระบบสุริยจักรวาลกันเลยทีเดียว ซึ่งประเด็นนี้ดูเผินๆ คล้ายว่า interstellar ก็สื่อสารเช่นกันแต่อยู่คนละบริบทและแง่มุมของความสัมพันธ์
ในเมื่อดราม่าเสียขนาดนี้ การแสดงของพี่แบรด พิตต์ย่อมมีส่วนสำคัญแทบแบกหนังไว้ทั้งเรื่องเลย การเล่าเรื่องผ่านการแสดงออกทางอารมณ์ การสื่อสารความคิดของพี่แบรตต์ทั้งหมด รวมไปถึงการพรรณาด้วย แม้บทจะไม่เร้าหรือ ร่ำไห้รุนแรงอะไรมาก พี่แบรตต์ในมาดทหารอากาศประจำโครงการอวกาศนิ่งๆ เท่ๆ ก็สามารถดราม่าได้สบายๆ แทบไม่ค่อยเล่าถึงตัวละครอื่นๆ อะไรมากเลย พี่แบรดล้วนๆ เลยเท่าที่สัมผัสได้
งานสร้าง งานภาพก็ให้อารมณ์คล้ายๆ Gravity ผสมๆ Interstelllar เชิงความ Realistic ของอวกาศ จะมีงาน Conceptual Design เมืองบนดวงจันทร์กับดาวอังคารเล็กน้อยให้พอว้าว แต่ก็พยามคุมโทนให้ดูสมจริงไม่เวอร์วังอะไรมาก งานเสียงค่อนข้างตามและเงียบๆคล้ายๆ Blade Runner แต่ไม่หนักหน่วงเท่า สรุปว่างานสร้างไม่ได้ตื่นตาอะไรเพิ่มเติมจากเทคโนโลยีการสร้างภาพยนตร์ในรอบห้าปีนี้สักเท่าไหร่
สรุปว่าเป็นหนังดราม่า... จะทำใจดูแบบไม่ผิดหวังได้มากกว่า แต่ก็รสชาติไม่ได้ขมขื่นท่วมท้นอะไรมาก ระดับความเอ็นเตอร์เทนก็กลางๆค่อนไปทางนิ่งๆจนเกือบง่วง เลยไม่ได้เชียร์อะไรมาก ภาพไม่ได้ว้าวมาก เพลงไม่เร้า จังหวะนิ่งๆ จะมีก็เพียงแบรด พิตที่แบกหนังไว้อยู่
- เด็กเดินตั๋ว -
AD ASTRA
" จักรวาลกว้างขวางแต่ก็ยังอ้างว้างอยู่ดี "
123 min | Drama/Sci-fi | Directed by James Gray
Ad Astra คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ของนักบินอวกาศ รอย แม็คไบรด์ ที่ต้องรับหน้าที่สำคัญในภารกิจลับที่ต้องเดินทางข้ามระบบสุริยะเพื่อตามหาพ่อผู้เป็นผู้ควบคุมและนำสำรวจอวกาศเหมือนกัน ซึ่งเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ และยังเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ทางธรรมชาติสุดประหลาดที่อาจทำลายมวลมนุษยชาติ รวมไปถึงทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ได้เลย
ต้องบอกว่าหนัง Sci-fi เรื่องนี้มีส่วนผสมของความเป็น Interstellar และ Blade Runner 2049 อยู่ประมาณนึงทั้งในแง่ของคอนเซ็ปต์และบรรยากาศ คือมันเหมือนในแง่ของความที่หนังก็ใช้การเดินทางสำรวจอวกาศแสนกว้างใหญ่ การตั้งคำถามสำคัญที่มนุษย์ทุกคนสงสัย พ่วงไปด้วยการพูดถึงเรื่องใกล้ตัวอย่างสายสัมพันธ์ของครอบครัว เพียงแต่ Ad Astra นำเสนอในแง่มุมที่ใจร้ายกับทั้งตัวละครและผู้ชมมากกว่า ตรงกันข้ามกับความอบอุ่นที่เราเคยสัมผัสใน Interstellar อย่างสิ้นเชิง จนนำพาให้ทั้งตัวละครและผู้ชมก็อ้างว้าง โดดเดี่ยวราวกับ K จาก Blade Runner 2049 เลย
ถ้าให้พูดกันตามตรงหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ Sci-fi ที่อาจจะเข้าถึงผู้ชมทุกกลุ่ม แต่ถ้าเรามาดูกันจริง ๆ ตัวหนังก็ไม่ได้เชิงว่าน่าเบื่อ เล่าเรื่องยืดยาดเกินความจำเป็นขนาดนั้น เพียงแต่ pacing ของหนังอาจเป็นอะไรที่ไม่ได้คุ้นชินกันเท่าไหร่ บรรยากาศที่หนังสร้างมาพร้อมกับงานภาพ งานเสียง เทคนิคต่าง ๆ มันออกมาดีมากประมาณนึงเลยนะ แล้วไหนจะการแสดงของ Brad Pitt ที่มาพร้อมกับมง " คนเหงา 2019 " ซึ่งถ่ายทอดได้ดีมากๆ อีก ชอบในส่วนนี้และส่วนที่นำเสนอเรื่องครอบครัวออกมาได้ฉีกจากที่เคยดูมาทั้งหมดดี
โดยรวมแล้ว Ad Astra ถือว่าโอเคเลยนะเพียงแต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบดูหนัง Slowburn ไม่ชอบหนัง Sci-fi ปรัชญาค้นหาชีวิต อาจจะต้องผ่านไปจะดีกว่า เพราะมันแทบจะไม่มีความแอ็กชั่น ไม่โครมครามและเล่าเรื่องเรื่อยๆ (แต่ต้องย้ำว่าไม่ได้น่าเบื่อ) เลย แต่แค่การแสดงของ Brad Pitt ก็คุ้มที่จะมาลองดูชมเหมือนกันครับ
สรุปผลวิจารณ์หนัง