0 Interstellar+-+%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81

Interstellar - ทะยานดาวกู้โลก

เข้าฉาย 6 พฤศจิกายน 2557
ผู้ชม : 6,412
ผู้กำกับ : Christopher Nolan
ความยาวหนัง : ไม่ระบุ
Text Size
ภาพยนตร์ไซ-ไฟ สุดยิ่งใหญ่โดยฝีมือของผู้กำกับคนดังอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลนผู้สร้าง The Dark Knight, Inception และภาพยนตร์ชื่อดังอีกมากมาย เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อโลกกำลังเผชิญภาวะวิกฤติ พืชผลขาดแคลนอย่างหนัก ประชากรเริ่มประสบภาวะแร้นแค้น ต้องการความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจึงตัดสินใจ สร้างปฎิบัติการสุดเหลือเชื่อ ด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ โดยการเดินทางผ่าน “โพรงหนอน”ที่สามารถเชื่อมมิติเวลานี้สู่อวกาศอันกว้างไกลเพื่อหา “บ้านแห่งใหม่” ให้มนุษยชาติในยามที่โลกถึงวาระสุดท้าย

ผลงานการเขียนของสองพี่น้อง โจนาธาน และ คริสโตเฟอร์​ โนแลน ที่นำเสนอเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อในการหาทางออกเมื่อโลกเข้าตาจน! ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้แต่งอิงหลักทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าสามารถเป็นจริงได้! เรื่องนี้ได้นักแสดงมากฝีมือย่าง แมทธิว มทธิว แม็คคอนอเฮย์ เจ้าของรางวัล Oscar (Dallas Buyers Club), แอนน์ แฮทธาเวย์ (เจ้าของรางวัล Oscar Les Miserables), เจสสิก้า แชสเทน ผู้เข้าชิงรางวัล Oscar (Zero Dark Thirty), บิล เออร์วิน, เอลเลน เบอร์สติน และไมเคิล เคน เจ้าของรางวัล Oscar (The Cider House Rules) นอกจากนั้นยังมีเวส เบนต์ลีย์, แคซีย์ เอฟเฟล็ค, เดวิด ไกอาซี่, แม็คเคนซี่ ฟอย และโทเฟอร์ เกรซ ร่วมในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์นี้ด้วย!

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

24 พฤศจิกายน 2557 21:58:23
Interstellar (Christopher Nolan / USA, UK / 2014)
 
ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจอะไรโดยเฉพาะงานภาพที่ถึงแม้จะจัดว่าดีมีความอลังการให้เห็นบ้าง แต่ว่าปีที่แล้ว Gravity จัดเต็มทำเอาไว้ได้ดีกว่าหลายขุม แล้วมันก็ไม่ได้จัดเต็มจอ IMAX ทั้งเรื่องด้วย(ดูที่พารากอนไม่แน่ใจว่าที่อื่นเหมือนกันหรือเปล่า) ถ่ายมาเฉพาะฉากเอาท์ดอร์ในอวกาศ พวกอินดอร์ในยานในบ้านก็ลดขนาดลงมาปกติสลับกันไปมา บวกกับเวลาเต็มจอแถบซับไตเติลภาษาไทยมันก็จะไม่ย้ายตามขอบเฟรมภาพและยังอยู่ที่เดิมให้เคืองตาเล่นโดยเฉพาะเวลาในฉากอวกาศสีเข้มๆ มืดดำนี่ทำให้คำว่า Spectacular แทบจะหายไปในทันที
 
...สปอยล์...
หนังก็ดูเพลินไปเรื่อยๆ มีตัวละครที่รู้สึกว่าอะไรของมึงว้า!! เช่นตัวละครของ Jessica Chastain กับ Casey Affleck ผลัดเปลี่ยนกันให้ปวดหัว แล้วก็รู้สึกคลิเชกับเซ็ตอัพช่วงแรกๆ อยู่บ้างแต่ก็เข้าใจว่าเลี่ยงลำบาก ถ้าไม่เลี่ยงหนังอาจยาวกว่านี้แล้วคงต้องเปลี่ยนมือให้ Lav Diaz มากำกับ(แซวๆ) ส่วนตัวก็ดูไม่เบื่อแต่ก็ไม่ได้สนุกเป็นพิเศษ แต่ยังคงรักษาความน่าสนใจที่พาให้รู้สึกถึงความตื่นเต้นที่กำลังจะมา(แต่ยังไม่มาสักที)เอาไว้ได้เรื่อยๆ จนมาถึงการหักมุมที่เหมือนว่าจะทำให้คนทั้งโรงฮือฮาไม่น้อยซึ่งมาพร้อมๆ การจากไปของตัวละครของ Michael Caine และการปรากฏตัวละครของ Matt Damon 
 
ส่วนตัวชอบการเปลี่ยนผ่านของสองตัวละครนี้มากมันเหมือนเป็นตัวตายตัวแทนของคนหักหลังมนุษยชาติเหมือนกันที่นำมาตั้งคำถามสะเทือนมนุษยธรรมได้น่าสนใจดี แล้วมันก็ตลกดีที่รู้สึกว่าตัวละคร Dr.Mann ของ Matt Damon มันมีทั้งมิติที่ดีและความคลิเชในเวลาเดียวกัน แล้วคือฉากนั้นมันตลกจริงๆ แต่ก็ชอบในความเห็นแก่ตัวของมันมากๆ มันสะท้อนการสร้างความหวังความศรัทธาด้วยวิทยาศาสตร์ที่เป็นเครื่องมือให้มนุษย์ศึกษาเรียนรู้เพื่อการอยู่รอด ในมุมที่ว่าไม่ใช่โลกที่กำลังจะพินาศและไม่ใช่ความผิดพลาดทางทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่จะทำลายมนุษยชาติ แต่มนุษยชาติกลับ(เกือบ)ถูกทำลายด้วยการหักหลังของมนุษย์เพียงคนเดียวเสียเองได้น่าสนใจดี แล้วหนังก็ยังผลักดันต่อไปด้วยความเห็นแก่ตัวของพระเอก(Matthew McConaughey) ที่บังเอิ๊ญบังเอิญ...นำพาไปให้เจอบางอย่างที่คาดไม่ถึงถึงแม้คนทำจะสร้างคอนฟลิกต์จนยานพังให้น่าตื่นเต้นหวาดเสียวและพิศวงขนาดไหนแต่พ่อพระเอกก็รอดพ้นมาได้โดยแทบไม่มีรอยขีดข่วนและช่วยให้มนุษยชาติอยู่รอดจนกลายเป็นเสมือนวีรบุรุษ
 
บางอย่างที่ว่าซึ่งดูเหมือน Christopher Nolan บังเอิญพาพระเอกมาเจอก็คือ 5 มิติในอวกาศนี่แหละ(มันเรียกว่าอะไรหว่า?)ทำเอาตึงไปเลยกับความประหลาดพิศดารพันลึกที่ความรู้สึกมันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างวิทยาศาสตร์หรือแฟนตาซี กระทั่งได้กลิ่นไสยศาสตร์ลอยกรุ่นอยู่หน่อยๆ ซึ่งไม่คิดว่าคนทำจะพาหนังไปไกลขนาดนี้ แต่เสียดายที่ไม่ได้พาคนดูอย่างเราตามไปด้วยได้ ในการเชื่อมโยงเรื่องราวไม่เท่าไหร่หรอกยังเข้าใจได้ แต่ความมึนงงในส่วนของตรรกะทางวิทยาศาสตร์นี่แหละที่เราต่อไม่ติดอยู่ไม่หายตั้งแต่ฉากนั้นที่รู้สึกว่ามันขี้โม้มากจนกระทั่งตอนจบฉากที่รู้สึกว่าแค่นี้เหรอวะ..พามาไกลขนาดนี้แต่จบง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอวะ?
 
เหตุผลหนึ่งที่ไม่ได้ตื่นเต้นกับมันมากๆ คงเพราะว่าเราเคยเห็นการเชื่อมโยงมิติโลกแบบนี้มาไม่น้อยโดยเฉพาะในหนังผี หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟลึกลับ ถ้านับเฉพาะที่ได้ดูในปีนี้จะเห็นในหนังอินดี้เล็กๆ อย่าง Mr.Jones, Plus One หนังผีกระแสหลักอย่าง Insidious2 ที่ให้ความรู้สึกประมาณฉาก 5 มิติในหนังโนแลนเรื่องนี้อยู่ แต่หนังพวกนั้นมันค่อนไปทางไสยศาสตร์ลึกลับไม่ได้จริงจังที่จะอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ ขณะที่ Interstellar มันพยายามมากๆ ที่จะอธิบายเยอะแยะมากมายเพื่อให้คนดูเออออสิ่งที่จะพาไปพบเจอแต่ละขั้นตอนด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งสุดท้ายมันพาเราไปพบกับความเชื่อคล้ายๆ กันในเรื่องมิติลึกลับที่เกี่ยวข้องกับเวลาที่มักเห็นในหนังไสยศาสตร์ที่ว่ามา แต่มันน่าสนใจมากๆ ตรงที่ว่าเราไม่ได้เออออกับหนังไซไฟอย่าง Interstellar ได้ง่ายๆ แต่กลับไหลตามตรรกะในหนังลึกลับที่ยกมาข้างต้นนั้นได้ง่ายกว่าและมากกว่าเสียด้วยซ้ำ  ถึงมันจะดูตลกขี้โม้โอเวอร์แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ชอบมากๆในมุมที่คนทำเหมือนจะพยายามอธิบายแฟนตาซีด้วยวิทยาศาสตร์เพื่อให้แฟนตาซีกลายเป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งมันก็น่าสนใจดี
 
ตอนดูฉากไคลแม็กซ์ 5 มิติ นี่เราทรีตมันไปทางแฟนตาซีมากกว่าวิทยาศาสตร์ นึกถึง Harry Potter and the Prison of Azkaban มากกว่า 2001: A Space Odyssey ถึงแม้ตลอดทั้งเรื่องคนทำจะพยายามอธิบายแต่มันก็ไม่ค่อยจะเข้าหัวเราเท่าไหร่ ไม่ว่าแรงโน้มถ่วง รูหนอน หลุมดำและอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายนั้นเคยได้อ่านได้ยินมา แต่ 5 มิตินี่ยอมรับเลยว่าไม่เคยทักทายกันมาก่อน ยังดีที่การทุ่มเทของ Jonathan Nolan ที่เข้าคอร์สศึกษาเรื่องราวสัมพัทธภาพร่วม 4 ปีเพื่อมาใช้เขียนบทมันยังมีพลังทะเยอทะยานส่งให้เราเชื่อตามได้บ้าง หวังแค่ว่าที่ใส่มาจะไม่แถจนเกินงามถึงแม้ไอน์สไตน์จะบอกไว้ว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่ภายใน169 นาที ของหนังเนี่ยก็ยังไม่พอสำหรับให้จินตนาการของเรากับคนทำมันจูนเข้าหากัน...แล้วเกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้คือก่อนไปดูเพิ่งอ่าน เจน ญาณทิพย์ จบมาใหม่ๆ แล้วมันก็ยังไม่หายไปจากจินตนาการทำให้เราเผลอเอามิติทางไสยศาสตร์ไปจับไปเติมส่วนที่เราไม่เข้าใจจนมั่วไปกว่าเดิมแต่มันก็สนุกไปอีกแบบ..มีแอบคิดว่าพวกที่ตายในดาวอื่น หรือตายในอวกาศวิญญาณคนพวกนั้นจะกลับโลกได้หรือเปล่านะ? หรือต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่แถวทางช้างเผือก...ไปกันใหญ่!!!
 
สุดท้ายความรู้สึกหลังจากดูรสชาติก็ประมาณ 2001: A Space Odyssey กับ Doraemon มาแจมกันนั่นแหละๆ...

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7.5
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
7.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
9 พฤศจิกายน 2557 12:00:38

Interstellar ทะยานจากฟากฟ้าสู่จิตใจ.... [No Spoil]

 

เมื่อโนแลนด์ทำหนังอวกาศจะเป็นอย่างไร? การถ่ายทอดแนวความคิดอันลุ่มลึกจนตกผลึกอย่างเข้มข้น วิธีการถ่ายทอดเรื่องราวอันซับซ้อน ลึกซึ้ง ลักษณะแอคชั่นที่มีสไตล์ไม่ซ้ำใคร รวมไปถึงการกำกับการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์อย่างมาก ทำให้หลายล้านคนทั่วโลกตั้งตารอคอยที่จะได้ดูอภิมหาภาพยนตร์ “Interstellar” กันตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่หนังเข้าฉายกันเลยทีเดียว กระแสตอบรับจากผู้ชมทั่วไปและแฟนๆของโนแลนด์ก็แบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจน ส่วนเสียงจากนักวิจารณ์เป็นไปในทางบวกเสียมาก การจัดอันดับและให้คะแนนในเวปไซต์ต่างๆค่อนข้างให้คะแนนเฟ้อสูงมาก แต่ก็ไม่ได้ผิดคาดแต่อย่างใด และเห็นด้วยกับเสียงสนับสนุนและเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ต่างๆ  หากจะกล่าวว่า “คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ได้สร้างสรรค์ Interstellar ให้เป็นภาพยนตร์ที่จะเป็นตำนานของโลกขึ้นมาอีกเรื่อง” ก็คงไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด

 

ด้วยการทำการค้นคว้าและวิจัยข้อมูลเชิงลึกมาหลายปีมาก รวมถึงแนวความคิดของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมาจากนักฟิสิกส์ผู้เชี่ยวชาญหลักกลศาสตร์อวกาศ และแรงโน้มถ่วง รวมไปถึงการศึกษาเชิงลึกเรื่องทฤษฏีรูหนอนอวกาศ หลุมดำและมิติอื่นๆในอวกาศ ร่วมพัฒนาบทโดยสองพี่น้องคริสโตเฟอร์และโจนาธาน โนแลนด์ ทำให้Interstellar ไม่เป็นเพียงภาพยนตร์อวกาศชวนเพ้อฝัน แต่กลับเต็มไปด้วยเนื้อเรื่องที่หนักแน่น นำเสนอการปฏิบัติการทางอวกาศเชิงลึก อีกทั้งInterstellarยังนำเสนอแนวคิดเรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพและเวลาได้อย่างน่าสนใจมาก นับว่าเป็นการทำการบ้านอย่างหนักหน่วงน่าชื่นชมของคนเขียนบทและผู้กำกับอย่างมาก 

 

แต่ถึงกระนั้นInterstellarไม่ได้เป็นสารคดีเชิงวิทยาศาสตร์ที่เต็มไปด้วยทฤษฎีน่าปวดหัว แต่เป็นภาพยนตร์แอคชั่นไซไฟอวกาศที่สนุกน่าติดตามและไม่ได้เสพยากเลย การทำความเข้าใจไม่ใช่เรื่องยาก(อาจต้องพยามตั้งใจดูมากขึ้นเล็กน้อย ตามสไตล์ภาพยนตร์ของโนแลนด์) มีการเซทอัพปูเนื้อเรื่องค่อนข้างนาน เพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจและเข้าถึงอารมณ์ของภาพยนตร์อย่างเต็มที่ ระยะเวลาการเซทอัพเนื้อเรื่องคร่าวๆก็ประมาณ1ชั่วโมงเต็มของภาพยนตร์ความยาวเกือบสามชั่วโมงเต็ม อาจจะค่อนข้างนานแต่หากสั้นกว่านี้อารมณ์ของภาพยนตร์หลังจากนั้นจะไม่ได้พลังเท่ากับ ณ ที่เป็นอยู่ขณะนี้เลยก็ว่าได้ 

 

“จงออกไป...เพื่อครอบครัว และมวลมนุษยชาติ”

 

คูปเปอร์นักบินอวกาศได้รับภารกิจให้ออกไปสำรวจดาวที่เหมาะสมแก่การอยู่อาศัยของมนุษย์ในกาแลกซี่อื่น ซึ่งทริปนี้ไม่มีกำหนดกลับบ้านแน่นอน หรืออาจจะไม่ได้กลับมา! แต่ทันทีที่ขึ้นสู่ฟากฟ้าเป้าหมายเดียวของคูปเปอร์คือรอดชีวิตกลับมาหาครอบครัวของเขาอีกครั้ง ท่ามกลางห้วงอวกาศกว้างใหญ่เอนกอนันต์ โอกาสที่จะสำเร็จภารกิจแทบไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซนต์ แต่การเดินทางครั้งนี้ทำให้คูปเปอร์ค้นพบคำตอบในหลายๆอย่างทั้งเกี่ยวกับจิตใจของตัวเขาเอง และคำตอบในเรื่องลี้ลับบางอย่างที่เขาไม่อาจพิสูจน์ได้ในโลก แต่สามารถหาคำตอบได้ในมิติที่ไกลโพ้นออกไป 

 

Interstellarได้นักแสดงนำที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คูปเปอร์นักบินอวกาศมาดกวน รักครอบครัวนำแสดงโดยนักแสดงมากความสามารถดีกรีนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ แม็ธธิว แม็คคอนนาเฮย์ ที่ถ่ายทอดบทบาทของคูปเปอร์ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่มีอะไรหน้ากังขา  นักแสดงนำหญิงก็มือรางวัลเช่นกัน แอน แฮทธาเวย์ รับบทนักวิจัยที่ร่วมเดินทางในภารกิจกอบกู้มวลมนุษยชาติด้วยเช่นกัน ทั้งคู่รับบทที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างอยู่หมัด แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ไม่ได้ตีความการแสดงของตนเป็นแบบซูปเปอร์ฮีโร่แต่อย่างใด ทั้งคู่กลับมองการแสดงเป็นเพียงการถูกผลักดันให้ออกไปปฏิบัติภารกิจอย่างมีเงื่อนไข อุทิศตนแต่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เพื่อมวลมนุษยชาติ แต่เพื่อครอบครัว ลูกหลาน สิ่งนี้ออกมาอย่างชัดเจนมากในการแสดงของทั้งแมธธิวและแอน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ความมีมิติและลึกซึ้งของตัวละครได้รับการใส่ใจในการตีความและการแสดงอย่างพิถีพิถันจนแทบจะเข้าขั้นมาสเตอร์พีซเลยทีเดียว ส่วนนักแสดงสมทบส่วนมากจะเป็นดาราเจ้าเก่าที่โนแลนด์คุ้นเคยและเรียกใช้ ซึ่งล้วนเป็นยอดฝีมือมากประสบการณ์ทางการแสดงอยู่แล้ว ทำให้เพิ่มมิติและความหนักแน่นของInterstellarเข้าไปอย่างหนักหน่วงเลยทีเดียว

 

ด้านวิชวลหรือด้านภาพก็เป็นองค์ประกอบที่โดดเด่นมาก หลายๆคนอาจได้ผ่านตาในบางฉากจากเทรลเลอร์แล้ว ภาพตัวอย่างนั้นไม่ได้หลอกขายของ เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น วิชวลในเรื่องนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้แฟนตาซี แต่ถูกออกแบบมาให้เป็นธรรมชาติที่สุด ฉากนอกโลกเราจะได้เห็นความจริง สิ่งที่ควรเป็น บรรยากาศจริงที่ควรเป็น ลักณะภาพจะคล้ายๆในภาพยนตร์เรื่องกราวิตี้ในด้านอุปกรณ์ปฏิบัติการทางอวกาศ แต่ในส่วนของการเข้าสู่ผิวดาวดวงอื่นจะถูกออกแบบมาให้เป็นธรรมชาติ ภาพอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติสร้างความอัศจรรย์และตื่นตาและยิ่งชมภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยระบบIMAX แล้ว ภาพแห่งความยิ่งใหญ่ของอวกาศและดวงเคราะห์ดวงอื่นๆที่ใหญ่โตมโหฬารจะทำให้เราจมเข้าไปฉากนั้นและแทบรู้สึกได้ถึงความเล็กของชีวิตเราจนแทบจะเป็นเสมือนฝุ่นละอองเลยทีเดียว ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำด้วยกล้องIMAXมากกว่า50เปอร์เซนต์ของฉากต่างๆทั้งเรื่อง ยิ่งเป็นฉากอวกาศยิ่งคุ้มค่าที่จะเข้าไปชม 

 

อีกองค์ประกอบที่ทำให้Interstellar ถึงอารมณ์อย่างหนักหน่วงคือเพลง จากนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ระดับโลกที่โนแลนด์เรียกใช้เป็นประจำอย่าง ฮานส์ ซิมเมอร์ ที่ฝากผลงานตราตรึงอย่างเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องInception ที่โดดเด่นและร่วมสมัยอย่างมาก แม้ในInterstellarไม่ได้โดดเด่นเกินซึน แต่ช่วงดึงอารมณ์และเกื้อหนุนองค์ประกอบอื่นๆอย่างได้พลังและค่อนข้างถาโถมเต็มเหนี่ยว กล่าวได้ว่า ฮานส์ ซิมเมอร์ได้จัดเต็มไว้อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

 

ความยิ่งใหญ่ในแนวคิดเรื่องเชิงลึก ทั้งตัวบท การแสดง เพลงประกอบและการกำกับอันน่าชื่นชมของคริสโตเฟอร์ โนแลนด์ล้วนผลักดันให้Interstellar เป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าชื่นชมที่สุดเรื่องหนึ่งของโนแลนด์เลยก็ว่าได้ Interstellarตอบโจทย์ของผู้ที่เป็นแฟนโนแลนด์ หรือเป็นผู้เสพหนังไซไฟ อย่างมากและจะเป็นภาพยนตร์ไซไฟอันดับต้นๆในใจของคอหนังหลายๆคนแน่นอนทันทีที่ดูจบ

 

-เด็กเดินตั๋ว-

 

Nov 09 14

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
10
การดำเนินเรื่อง
10
ดนตรีประกอบ
10
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
10
คะแนนเฉลี่ย
10
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)

GUEST
kamp
8 พฤศจิกายน 2557 00:27:59
เสียดายตอนหลังลูกพระเอกแก่ น่าจะมีต่อ ภาค 2
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
GUEST
gonumstate
30 ตุลาคม 2557 15:09:17
verygood
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย