It : Chapter Two - อิท โผล่จากนรก 2
หนัง It Chapter Two หรือชื่อไทยว่า โผล่จากนรก 2 เพราะตัวตลกปีศาจเพนนี่ไวซ์จะกลับมาเยือนเมืองเดอร์รี่ รัฐเมนในทุก ๆ 27 ปี "It: Chapter Two - อิท โผล่จากนรก 2" จึงพาเหล่าตัวละครที่แยกย้ายจากกันไปนานกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 3 ศตวรรษหลังจากเหตุการณ์สยองเกิดขึ้นกับพวกเขาตอนเด็กในภาพยนตร์ภาคแรก สานต่อความสำเร็จจาก IT เมื่อปี 2017 โดยฝีมือกำกับของ แอนดี้ มุสชีเอตติ ผู้พาภาพยนตร์กวาดรายได้ทั่วโลกสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ในภาคต่อนี้ได้ตัวนักแสดงมากฝีมือมากมายมารับบทเป็น "กลุ่มขี้แพ้" ในวัยผู้ใหญ่ นำโดยผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เจสสิก้า แชสเทน (ภาพยนตร์ Zero Dark Thirty, Mama) รับบท เบเวอร์ลี่, เจมส์ แม็คอะวอย (ภาพยนตร์ Split, Glass) รับบท บิล, บิล เฮเดอร์ (ซีรีส์โทรทัศน์ Barry, The Skeleton Twins) รับบท ริชชี่, ไอเซห์ มุสตาฟา (ภาพยนตร์โทรทัศน์ Shadowhunters: The Mortal Instruments) รับบท ไมค์, เจย์ ไรอัน (ภาพยนตร์โทรทัศน์ Mary Kills People) รับบท เบน, เจมส์ แรนซัน (ซีรีส์ The Wire) รับบท เอ็ดดี้ และแอนดี้ บีน (ภาพยนตร์ Allegiant, Power) รับบท สแตนลีย์ ร่วมด้วยทีมนักแสดงเด็กหน้าเก่าผู้กลับมารับบทสมาชิกกลุ่มขี้แพ้ นำโดย โซเฟีย ลิลลิส รับบท เบเวอร์ลี่, แจเดน มาร์เทล รับบท บิล, ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด รับบท ริชชี่, โชเซน จาคอบส์ รับบท ไมค์, เจเรมี เรย์ เทย์เลอร์ รับบท เบน, แจ็ค ดีแลน เกรเซอร์ รับบท เอ็ดดี้, ไวแอตต์ โอเลฟฟ์ รับบท สแตนลีย์ รวมถึงนักแสดงตัวหลักที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ บิล ซาร์สการ์ด ที่กลับมาทวงตำแหน่งตัวตลกปีศาจในตำนาน เพนนี่ไวซ์
27 years later, the Losers Club have grown up and moved away, until a devastating phone call brings them back.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
IT CHAPTER TWO
" โตเป็นผู้ใหญ่แต่ก็ยังก้าวไม่พ้นวัยแห่งความเจ็บปวด "
169 min | Horror/Drama | Directed by Andy Muschietti
ภาพยนตร์อีกเรื่องที่ดัดแปลงจากนิยายของนักเขียนเรื่องสยองชื่อดัง Stephen King กับการ remake อีก 1 งานที่ถือว่าเป็น Iconic ของโลกแห่งภาพยนตร์สยองขวัญ ตัวตลก Pennywise ซึ่งเดินทางมาถึงพาร์ทที่ 2 ที่เป็นพาร์ทจบกับบทสรุปเรื่องราวสุดประหลาดและบ้าคลั่งในเมือง Derry ที่เด็กๆ กลุ่ม Loser Club กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบ 27 ปี เพราะมันกลับมาพร้อมกับบาดแผลที่เคยฝากไว้กับพวกเขาในอดีต
ยังคงรักในข้อความแฝงของหนังเสมอ คือเดิมที่ It เองก็มีความเป็น coming of age ที่ดีมากแล้วประมาณนึงแต่เหมือนกับว่าตัวผู้กำกับ Andy Muschietti มาเหลาให้มันกลมกล่อมยิ่งขึ้น คือพาร์ทเด็กก็ดีไปแบบนึง ส่วนพาร์ทผู้ใหญ่คือไม่น่าเชื่อว่าเค้ายังเน้นในเรื่องของการก้าวผ่านวัย ผ่านคอนเซ็ปต์ที่ว่า บางครั้งวันเวลาผ่านไป แต่ใจเราไม่ได้ก้าวผ่านมันไปจริง แล้วทางไหนกันที่จะเข้าใจและกลายเป็นผู้ใหญ่ได้แบบเต็มตัวสักที ซึ่งด้วยการเล่าเรื่องเอย หรือแม้แต่ทีมนักแสดงที่ต้องบอกว่าแคสต์มาได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ Jessica Chastain, James McAvoy และ Bill Hader ที่โคตรขโมยซีน รวมไปถึงคนอื่นๆ ที่มาเป็น Cameo ทำให้ทุกอย่างมันออกมาลงตัวเกินคาด
แถมในพาร์ทของความบันเทิงก็ค่อนข้างตอบโจทย์ แม้ความยาวหนังจะเหมือนเป็นทุกขกิริยามากๆ เพราะการเป็นหนังผีก็อาจจะหนักหนาเกินพอแล้วประมาณนึง แต่การเป็นหนังผี/สยองขวัญที่มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง แถมยังมีไคล์แม็กซ์ที่ต้องบอกว่ายาวนาน จัดเต็ม ดูจบแล้วอาจจะรู้สึกว่าเหนื่อยมากๆ แต่ก็ไม่รู้สึกเลยว่าหนังยาวหรือมีช่วงไหนที่น่าเบื่อแม้แต่นิด
โดยรวมแล้ว IT Chapter Two เป็นหนังที่คนดูภาคแรกมาแล้วต้องดู คนที่ยังไม่ดูภาคแรกก็อาจจะพอดูรู้เรื่องได้เพราะตัวหนังก็มีการท้าวความไปถึง มีฉากแฟลชแบ็คช่วยอยู่ตลอด เป็นหนังที่ดูเอาบันเทิงก็ดูได้ ยิ่งถ้าถอยออกมาแล้วมองรวมกันทั้ง 2 ภาค "IT" ถือเป็นหนังสยองขวัญ/ดราม่า ปนกลิ่นอายก้าวผ่านวัยที่ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมมากจริง ๆ
สรุปผลวิจารณ์หนัง
รีวิว IT ฉบับเด็กเดินตั๋ว
สนุกมาก เร้าใจ ตื่นเต้น เสียวและลุ้นระทึกแทบตลอดทั้งเรื่อง... เดชะบุญ! ผู้กำกับใจดี มีช่วงให้พักอารมณ์พักหายใจ เหมือนพาเรานั่งรถไฟเหาะธีมบ้านผีสิงตัวตลก แล้วพาเราไปหยุดห้อยไว้บนยอดรางรถไฟสักพัก ก่อนพาดิ่งลงมาลึกและแรงต่อเนื่องๆ แล้วก็พาเราไปพักหายใจอีกครั้งหนึ่งแบบนี้วนไปเรื่อยๆ
เทียบกับChapter I
สำหรับเด็กเดินตั๋วคิดว่าเหมือนเดิมนะ รสชาติ-ฟิลลิ่งที่ได้รับไม่ต่างกันเลย ความอบอุ่นของเพื่อน ความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้น ความ nostalgia หรือว่าความหวนรำลึกถึงอดีตอันอบอุ่นแทบเหมือนเดิมเลย จังหวะวิธีการหลอกของเพนนีไวซ์ การลุ้นเอาใจช่วยบรรดาตัวละครให้เอาชนะความกลัวต่างๆ ยิ่งดูยิ่งคิดถึงอยากกลับไปดูภาคแรก
บอกเลยว่าตอนจบลี้ลับและเด็ดมากๆ [ไม่สปอยล์]
รู้มาบ้างเล็กน้อยว่าฉบับวรรณกรรมจบแบบไหน แต่ก็รอดูว่าจะเล่าออกมาแบบไหน ซึ่งทำออกมาได้ค่อนข้างเซอร์ไพรส์เหมือนกัน ว่ามีการตีความใหม่และไม่ได้เหมือนวรรณกรรมซะทีเดียว ไม่ต้องเดาหรอก ไปดูวิธีการเล่าดีกว่าเนอะ...
งานสร้างอลังการขึ้นนะ แถมนักแสดงเบอร์ใหญ่ที่มาเล่นก็คมมากๆ แถมเบนก็หล่อมากด้วย หนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับพาแฟนไปดูให้จิกแขนจับมือกันเบาๆนะ ไปกับเพื่อนก็สนุกดี แต่ต้องดูภาคแรกมาก่อนนะ
- เด็กเดินตั๋ว -
สรุปผลวิจารณ์หนัง
[รีวิว] It Chapter Two
--- 7/10 ---
รุนแรงกว่าเดิม โหดขึ้น ดุขึ้น!
คงความสยอง ความหลอนไว้ครบ (แต่ด้อยกว่าพาร์ท 1)
โดยรวมแล้วชอบพาร์ท 1 มากกว่า
It Chapter Two คือเรื่องราวหลังจากภาคแรก 27 ปี กลุ่ม Loser Club ต้องกลับมายังบ้านเกิดที่เมือง Derry อีกครั้ง เพราะการกลับมาของตัวตลก Pennywise ทำให้พวกเขาต้องมาหยุดยั้ง “มัน” แบบถาวร!!!
It Chapter One - ขอท้าวความไปภาคแรกกันสักหน่อย น้องชายของ Bill อย่าง Georgie ได้โดนตัวตลก Pennywise รับประทานไปเรียบร้อย และกลุ่มเด็กๆ เพื่อนของ Bill ก็โดน “มัน” ตามมาหลอกหลอน ทางเดียวของพวกเขาคือต้องกำจัดมันไป และพวกเขาก็ได้กำจัดมันทิ้งไปสำเร็จ แต่ “มัน” ยังไม่ตาย!!! พวกเขาจึงได้ทำสัญญาเลือดด้วยการกรีดมือและบอกว่า จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ถ้า “มัน” กลับมาปรากฏตัวในเมืองแห่งนี้
จริงๆ เราเฉยๆ กับต้นฉบับมาก ค่อนไปทางไม่ชอบด้วยซ้ำ แต่ฉบับรีบูทพาร์ท 1 เราดันชอบมากกกกกก จนทำให้อยากดูพาร์ท 2 แบบสุดๆ
สิ่งที่ต้องชื่นชมก่อนเลยคือหนังเรื่องนี้มันมีการขยายความ เพิ่มรายละเอียดเข้าไปในหลายๆ จุดที่ในต้นฉบับเล่าเอาไว้แบบงงๆ (ทั้งพาร์ท 1 และ 2) เอาล่ะ เรามาพูดถึงพาร์ท 2 กันดีกว่า คือถ้าใครเคยดูต้นฉบับมาคงพอจะรู้แหละว่าหนังมันดำเนินไปในทิศทางไหน คือในฉบับรีบูทพาร์ท 2 นี้ มันก็ยังคงโครงเรื่องเดิมเอาไว้ แต่มีดีเทลที่แตกต่างกันพอสมควร ขยายหลายๆ อย่างให้เราเข้าใจง่ายขึ้น และมันออกมาค่อนข้างดูดีกว่าต้นฉบับพอสมควรเลย
ระหว่างพาร์ทนี้กับพาร์ทแรก บอกเลยว่าชอบพาร์ท 1 มากกว่า (มากกว่ามากๆ ด้วย) ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา วิธีการเล่า ความหลอน ความสยอง พาร์ท 1 ชนะขาดในทุกๆ ด้าน
แต่สิ่งที่มันมีปัญหาก็อยู่ที่ความยาวกับการดำเนินเรื่องของมันเนี้ยแหละ ซึ่งในพาร์ท 2 มีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 49 นาทีเลยทีเดียว ถ้าไปรวมกับพาร์ท 1 อีก 2 ชั่วโมง 15 นาที มันก็จะมีความยาวมากถึง 5 ชั่วโมงนิดๆ เลยทีเดียว!!! ซึ่งนับว่าเป็นความยาวที่ยาวมากกกกกกก (ต้นฉบับรวมกัน 3 ชั่วโมง 12 นาที) ไอ้จุดนี้แหละที่ไม่ค่อยโอเค เพราะขนาดต้นฉบับที่ยาวขนาดนั้นโดยส่วนตัวยังคิดว่ามันเวิ่นเว้อ ขนาดมีเวลาเล่าเยอะขนาดนั้นยังทำให้งงอยู่ดี และในฉบับนี้ก็รู้สึกว่ามันใช้เวลานานอย่างไม่จำเป็น หลายๆ ฉากก็ตัดได้ ย่อให้มันสั้นได้ พอมันเป็นแบบนี้เลยกลายเป็นว่ามันยืดเยื้อเกินไป (มากๆ)
มาพูดถึงความหลอน ความสยองกันบ้างดีกว่า Bill Skarsgård กลับมารับบทตัวตลก Pennywise เช่นเดิม และภาคนี้เรียกได้ว่าเหมือนอัพเกรดความโหดมาแบบเต็มขั้นมาก เลือดเป็นเรื่อง เขมือบให้เห็นกันแบบเต็มๆ แต่จังหวะการหลอกแตกต่างกับพาร์ทหนึ่งอย่างชัดเจน พาร์ท 1 จะมีแบบจั้มสแกร์ ตุ้งแช่ โผล่มาแบบหลอนๆ พาร์ท 2 นี้ ไม่ใช่ไม่มีนะ แต่จะเน้นความโผล่มาแล้วอยู่ยาว Slow Burn ให้คนหลอนๆ กับฉากนั้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันกลายเป็นว่าในจุดนี้ พาร์ท 1 ทำได้ดีกว่าเยอะเลย ทั้งหลอนกว่า และสยองกว่า
หนังมีตอนจบที่โคตรไม่โอเค 555 ทั้งบทสรุปและวิธีการจบ ซึ่งบอกเลยว่ามันไม่เหมือนกับต้นฉบับ (ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะต้นฉบับก็จบได้แย่เช่นกัน) แต่มันดันจบไม่ดีอีกน่ะสิ
ขอพูดหน่อยเถอะ 5555 (สปอยล์)
การที่ให้กลุ่มตัวละครไปรุมพูด “ตัวตลกๆๆๆๆๆๆๆ” กับ Pennywise จนให้มันรู้สึกไม่แข็งแกร่ง และตัวค่อยๆ หดเล็กลง เล็กลงเรื่อยๆ กลายเป็นเหมือนเด็กทารกร้องไห้อะ และก็ไปควักหัวใจมาบีบ โอเคไอ้ตรงควักหัวใจมาบีบมันก็ใช้ได้แหละ แต่ไอ้การที่ไปรุมพูดจนมันตัวเล็กเนี่ยนะ!!! มันใช่หรอว๊าาาาาา เหมือนเด็กโดนแกล้งแล้วร้องไห้เลยอะ กลายเป็นหนังตลกไปเลย
สิ่งที่พอจะสู้กับพาร์ท 1 และควรปรบมือให้ ก็คือทีมนักแสดง ไล่ไปตั้งแต่ Bill Skarsgård ในบท Pennywise ที่ยังคงแสดงได้มาตรฐาน คงความเป็นตัวละครนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และเหล่ากลุ่ม Loser Club ที่โตแล้ว ต้องบอกเลยว่าเล่นได้ดีทุกคนจริงๆ เข้ากับคาแรคเตอร์ตอนเด็กทุกคนเลย ทั้ง Jessica Chastian ในบท Marsh, James McAvoy ในบท Bill ที่ต้องคอยพูดติดอ่าง, Isaiah Mustafa ในบท Mike, Andy Bean ในบท Stanley, James Ransone ในบท Eddie ผู้หัวร้อน, Jay Ryan กับบทเด็กอ้วน Ben ที่โตมาโคตรหล่อ สาวหลง ประทับใจแน่นอน แต่คนที่โดดเด่นและแย่งซีนที่สุดขอยกให้ Bill Hader ในบทตัวโจ๊กอย่าง Richie ที่บอกเลยว่าโคตรดีย์ เด่นแบบโดดออกมาจากทุกคนเลยจริงๆ อ๋ออีกคน ป้าคนนั้นแกก็แสดงได้หลอนดีนะ 555
สรุปแล้ว It Chapter Two เป็นหนังพาร์ทต่อที่ยังคงความสยองและความหลอนไว้เหมือนเดิม ต่างกันที่มันด้อยกว่าพาร์ท 1 และยาวไป (มากๆ) โดยไม่จำเป็น และพาร์ท 1 ก็ยังดีกว่าในทุกๆ ด้านอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นอยู่ดี
ปล. เป็นหนังภาคต่อ ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องเดียวกันที่แบ่งเป็น 2 พาร์ท และจำเป็นอย่างมากที่ต้องดูพาร์ทแรกมาก่อน เพื่อทำความเข้าใจเนื้อเรื่อง ตัวละคร
It Chapter Two เมื่อความกลัวในวัยเด็กกลับมาตอกย้ำอีกครั้ง
เมื่อปี 2014 Warner Bro ได้หยิบเอา It ผลงานจากสตีเฟ่นคิงกลับมาปัดฝุ่นซะใหม่ หลังจากที่เคยทำเป็นเวอร์ชั่น Mini Series ฉายทางทีวีไปเมื่อปี 1990 ครั้งนี้นำกลับมาขึ้นจอใหญ่ พร้อมทั้งได้รับคำชมอย่างล้นหลาม รวมไปถึงรายได้ที่เรียกได้ว่าพุ่งทะยานเป็นหนังสยองขวัญเรท R ที่ทำเงินสูงสุดตลอดการไปแล้ว โดยภาคก่อนนั้นใครที่เคยดูคงจำได้ว่าฉากจบของเรื่อง ผู้กำกับได้มีการเฉลยว่า มันคือ It Chapter One หรือมันคือเนื้อเรื่องแค่ครึ่งเดียวของหนังสือทั่งเล่มนั่นเอง ซึ่งเมื่อจบแบบนี้มีหรือที่หนังทำรายได้ดี คำวิจารณ์ดีแบบนี้จะไม่มีภาคต่อ ด้วยความนิยมของ It ภาคแรก ถึงขั้นว่ามีแฟนๆหนังได้มีการ แคสติงนักแสดงแก๊ง Loser วัยผู้ใหญ่เลยทีเดียว ซึ่งเอาเข้าจริง 80% แทบจะตรงกับสิ่งที่ค่ายหนังเลือกนักแสดงมาใช้เลยทีเดียว
เรื่องราวในภาคนี้จะเล่าห่างจากภาคแรก 27 ปี ในช่วงที่แก๊ง Loser นั่นได้ออกจากเมืองเดอร์รี่ ไปมีชีวิตในเมืองต่างๆ ยกเวนไมค์ เพื่อนผิวสีเพียงคนเดียวที่ยังคงอาศัยอยู่ที่เมืองเดอร์รี่ และสืบหาวิธีกำจัด เพนนี ไวส์ และเมื่อเหตุการคนหาย หรือฆ่าตกรรมปริศนา ได้เริ่มเกิดขึ้นบ่อยครั้งในเมืองเดอร์รี่ ไมค์จึงได้เริ่มโทรถามเพื่อนในแก๊งค์แต่ละคนให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อกำจัด "มัน" หรือเพนนี ไวส์ อีกครั้ง ซึ่งจะทำได้หรือไม่ได้ผมอยากให้ไปลองชมในหนังจริงๆ บอกได้เลยว่าไม่ผิดหวัง
หลังจากดูจบต้องยอมรับในตัวผู้กำกับหนังคนนี้จริงๆ ที่สามารถถ่ายทอดงานเขียนของสตีเฟ่น คิง ได้ออกมาใกล้เคียง หรือเทียบเท่าต้นฉบับที่เป็นหนังสือได้ดีขนาดนี้ เพราะเอาเข้าจริงแล้วถ้ามองไปยังเวอร์ชั่นหนังสือเอง มันจะมีบางช่วงของมันที่ออกแนวเวิ่นเว้อมาก มีบางอย่างที่ไม่จำเป็น ผู้กำกับคนนี้เลือกที่จะตัดส่วนนั้นและเสริมส่วนใหม่ๆเข้ามาเพื่อให้มีความเหมาะสมในการเป็นภาพยนตร์ฉายโรงจริงๆ ถึงขั้นว่าดราฟแรกของหนังนั้นมีความยาวถึง 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว และไม่วายเมื่อมีการตัดต่อให้สั้นกระชับขึ้นเป็นเวอร์ชั่นฉายโรงก็ยังยาวเกือบๆ 3 ชั่วโมงอยู่ดี ถึงแม้ว่าหนังจะยาวขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้มีความน่าเบื่อเลยสำหรับตัวผมเองค่อนข้างชอบภาคนี้ ที่มีการปูเรื่องย้อนไปยังแก๊ง Loser วัยเด็ก แต่ก็ไม่ได้ใช้การย้อนไปฉากซ้ำๆจากภาคแรก เหมือนเป็นการย้อนเพื่อเติมเต็มเรื่องราวที่ขาดหายไปของภาคแรก ทำให้อารมณ์ร่วมของผมเอง หรือตัวผู้ชมเองนั้นมีอารมณ์ร่วม และเอาใจช่วยให้ทุกคนปราบกับเพนนี ไวส์ให้จงได้
สรุปแล้วส่วนตัวผมเองนั้น ยกให้ทั้ง It ภาคแรก และภาค 2 นี้เป็นหนังอีกเรื่องที่สามารถดัดแปลงจากหนังสือของสตีเฟ่น คิง ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบในแบบที่ภาพยนตร์เรื่องนึงจะเป็นไปได้เลย 8.5/10
สรุปผลวิจารณ์หนัง