0 Wonder+Woman+1984+-+%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C+%E0%B8%A7%E0%B8%B9%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99+1984

Wonder Woman 1984 - วันเดอร์ วูแมน 1984

เข้าฉาย 17 ธันวาคม 2563
ผู้ชม : 25,525
ผู้กำกับ : Patty Jenkins
ความยาวหนัง : 155.00
Text Size

หนัง Wonder Woman 1984 หรือชื่อไทยว่า วันเดอร์ วูแมน 1984 ผ่านช่วงเวลาหลายปีจากเหตุการณ์ในภาคแรกมาสู่ช่วงยุคสงครามเย็น ในครั้งนี้ Diana จะได้เผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหม่ Cheetah และต้องรับมือกับ Maxwell Lord แถมยังมีเหตุการณ์สุดช็อคกับการกลับมามีชีวิตอีกครั้งของ Steve Trevor 


Fast forward to the 1980s as Wonder Woman's next big screen adventure finds her facing two all-new foes: Max Lord and The Cheetah.

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

24 ธันวาคม 2563 16:10:30

WW84 จดหมายบอกลาสตีฟ เทรเวอร์

หนังเดี่ยวฮีโร่หญิงยุคหลังๆ ที่สร้างออกมาแล้วปัง คงหนีไม่พ้นขุ่นแม่ วันเดอร์วูแมน ที่แถบจะเป็นเดอะแบก คนแรกของ DCEU จักรวาลหนัง DC เลยก็ว่าได้ (เพราะเป็นเรื่องแรกที่ได้คะแนนมะเขือสด) เป็นหนังที่หลายเสียงลงความเห็นว่าภาคแรกนั้นกลมกล่อมเล่าเรื่องออกมาได้น่าติดตามเป็นอย่างมาก ไม่วายที่จะได้สานต่อภาคใหม่ แต่ก็ยังคงคอนเซปที่ว่า ยังไม่ได้สานต่อในไทม์ไลน์ปัจจุบัน ที่เป็นเหตุการณ์หลัง Justice League แต่จะเล่าย้อนไปปี 1984 สมัยที่สีสันแฟชั่นของคนยุคนั้น น่าหลงไหล

เรื่องราวในภาคนี้ จะดำเนินอยู่ในช่วงปี 1984 หลังจากที่เธอได้เรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมของมนุษย์โลกปกติ เธอยังคงออกปกป้อง และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรืออันตรายต่างๆ ในนามวันเดอร์ วูแมน จนมาวันนึง ก้อนหินวิเศษที่ใครก็ตามสัมผัสหินก้อนนี้แล้ว อธิฐานขอพร แล้วพรนั้นจะสำฤิทธิ์ผล ทีแรกไดอาน่าเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นจริง เธอก็เลยลองขอพรเล่นๆอยากให้คนรักเก่าอย่าง สตีฟ เทรเวอร์ กลับมา จนแล้วจนรอดสตีฟก็กลับมาจริงๆ ถึงแม้จะอยู่ในร่างของผู้ชายคนนึงที่ไม่เคยเห็นหน้าก็ตาม ด้วยความมหัศจรรย์ของหินวิเศษนี้ทำให้วันเดอร์ วูแมนต้องออกสืบค้นที่มาของหินก้อนนี้ เพราะมันอาจแฝงมาด้วยภัยร้ายครั้งใหม่ ที่สามารถทำให้อารยธรรมของมนุษย์ทั้งโลกต้องสูญสิ้นไปเลยก็ได้

หลังจากได้ชมแล้ว ต้องบอกเลยว่า ผู้สร้างมีความกล้าที่จะเล่าเรื่องที่แตกต่างจากภาคแรกโดยสิ้นเชิง ตัวหนังจะไม่ได้เน้นไปในทางแอคชั่น ต่อสู้ตูมตามแบบที่ภาคแรกทำไว้ ในภาคนี้จะเน้นการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย เน้นวิธีการค่อยๆปูแบคกราวตัวละครหลักในเรือง ไม่เว้นแม้กระทั้งการปูเรื่องของตัวร้าย อะไรที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนๆนึง สามารถพลิกตัวเองให้มาร้ายได้ ถ้าไม่ได้การปูเรื่องในจุดนี้ คงไม่สามารถทำให้ไคลแมกซ์ช่วงท้ายเรื่องส่งผลกับคนดู หรือทำให้คนดูอิน และเห็นใจทุกตัวละครเลยแม้กระทั่งตัวร้ายก็ตาม ถือเป็นหนังฮีโร่ที่มีตัวร้ายที่มีมิติ น่าติดตามเป็นที่สุด

สรุปแล้ว ถ้ามองในมุมมองของคมสำหรับผมแล้วนั้นเป็นหนังภาคที่สร้างมาเพื่อให้ไดอาน่า ได้มีโอกาสได้ลองใช้ชีวิต ในแบบที่เธอเคยวาดฝันมาตลอด คือเธอต้องการใช้ชีวิตกับผู้ชายที่เธอรักมากที่สุดอย่างสตีฟ เทรเวอร์ และได้ชดเชยปมที่เธออยากจะบอกลาชายผู้เป็นที่รักเสียที หลังจากที่ภาคก่อนนั้นไมได้มีโอกาสที่ว่าเลย 8.5/10

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
8.5
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
22 ธันวาคม 2563 16:03:25

Wonder Woman 1984

" เราทุกคนต่างต้องเอาชนะกิเลศในใจ "

151 min | Action/Fantasy | Directed by Patty Jenkins

     หลังจากความสำเร็จอย่างมหาศาลในภาคแรก Wonder Woman กลายเป็นไทเทิลหลักที่ชุบชีวิตให้ DC กลับมาน่าสนใจในวงการภาพยนตร์อีกครั้ง ฉะนั้นการจะสานต่อมายังภาคต่อจึงเป็นเรื่องที่หลักเลี่ยงไม่ได้ หนังในภาคนี้เลือกหยิบช่วงรุ่งเรืองของอเมริกาในยุค 80s มาเล่า โดยที่ ไดอาน่า ได้กลับมาพบกับสตีฟ เทเวอร์อีกครั้งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่กำลังวุ่นวายไปทั่วโลกจากต้นตออย่าง แม็กซ์เวล ลอร์ด รวมไปถึงภัยร้ายอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ตัวของพวกเธอด้วย

     ต้องบอกว่าภาคนี้ของ Wonder Woman แม้ว่าจะยังอยู่ในมือของแพตตี้ เจนส์กิ้นก็จริงแต่รสชาติ ความรู้สึกและมู้ดแอนด์โทนของหนังเปลี่ยนไปชัดเจนมาก ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ชื่นชอบมากเพราะรู้สึกว่าเออเขากล้าทำกล้าเล่าดี อย่างในภาคก่อนมันเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็จะมีความหม่นๆ แต่อันนี้จะสดใสกว่า เปรี้ยวกว่า โมเดิร์นกว่าเดิมมากในระดับนึง แต่ที่รู้สึกว่าหลายคนอาจจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ก็คือ pacing หรือพวกจังหวะในการเล่าแต่ละช่วงของหนังมันใช้เวลานานไปหน่อย ส่วนหนึ่งก็คือหนังนานด้วย สองชั่วโมงครึ่ง แล้วหนังไปใช้เวลากว่า 70% ในการปูเรื่องราว ปูตัวละครใหม่หรือเก่าในเรื่องซะเยอะ แถมก็ไม่ได้ทำไม่ได้ดึงดูดมากมายนัก ทีนี้พอมันนานไปมันมีโอกาสที่จะตัดสัมพันธ์กับคนดู ให้คนดูโฟกัสหลุดจากหนังไปได้เยอะทีเดียว แน่นอนว่าหลายคนก็ทราบกันดีบ่อยครั้งถ้าเราโฟกัสหลุดกับหนังไปแล้ว มันค่อนข้างทรมานนะ ต่อให้เครื่องกลับมาติดบางทีมันทำงานได้ไม่เต็มที่แล้วจุดนี้เป็นจุดบอดที่น่าจะใหญ่มากที่สุดแล้วของหนังภาคนี้ เพราะถึงแม้ว่าตัวละครมันจะพัฒนาได้ดีจริง ปมหนังน่าสนใจจริงแต่การใช้เวลามากเกินไปแบบนี้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลเสียมาก

     อีกทั้งภาคนี้ความโครมครามแอ็กชั่นของหนังก็ดูจะเบาลงเยอะด้วย นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มู้ดหนังเปลี่ยนไป แต่ตรงนี้มองว่าเหมือนทุเรียนอะใครชอบก็รักเลย ใครไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย แต่ผมอยู่ในส่วนที่กินได้แต่ไม่ได้มักหรือรักมันมากนักเพราะมันกินยากไปหน่อยจริงๆ แต่นอกนั้นเสน่ห์ของตัวละครอะไรก็ยังดีอยู่นะ Gal Gadot กับ Chris Pine แกแบกหนังได้ดีมาก คาริสม่าออกมาเต็มทั้งคู่ เป็นพระนางที่เออเราอยากเห็นเขาอยู่ด้วยกันให้นานที่สุดจริงๆ นั่นเป็นสิ่งที่หนังทำได้ดีมากในจุดนี้ คือก็ต้องชมผลพวงมาจากภาคแรกพอมันเซ็ท แกล ให้เป็นวอนเดอร์วูเมนที่เรารักได้แล้วมันจึงอินกับหนังไม่ได้ยากเท่าไหร่

     โดยรวมสำหรับผมกลางๆ นะ คือก็แอบผิดหวังตรงที่เราคาดหวังไว้มากกว่านี้หน่อยแต่ตัวหนังไม่ได้ถึงกับแย่อะไร ถ้าคุณเป็นแฟน DC รักแกลก็ควรชมอยู่แล้ว เพราะภาคนี้เป็นการพัฒนาตัวละครจากภาคแรกมาเป็นคุณแม่ปัจจุบันแบบชัดเจนที่สุด ซึ่งผมว่านั่นแหละคือหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้เลย

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.2
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
22 ธันวาคม 2563 00:24:57

[รีวิว] Wonder Woman 1984 

--- 6/10 ---

ค่อนข้างน่าผิดหวัง บทมีความเชย ตัวร้ายง่อยไร้เสน่ห์

สนุกแค่ฉากเปิดเรื่อง และตราตรึงด้วยความสวยของ Gal Gadot เท่านั้น

หลังจากเลื่อนฉายมานานด้วยเหตุผลใดๆ และ Covid-19 ก็ได้ดูกันสักทีกับ Wonder Woman 1984 ภาคต่อจาก Wonder Woman (2017) ในภาคนี้ยังคงเป็นผลงานการกำกับของ Patty Jenkins ที่บอกเล่าเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ในภาคแรกหลายสิบปี

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในภาคนี้ดึงคนดูได้ตั้งแต่ตัวอย่าง มีจุดน่าสนใจเยอะเลยทีเดียว ไล่ไปตั้งแต่ Gal Gadot สวยวันสวยคืนสุดๆ, สีสันแห่งยุค 80s, วายร้ายตัวใหม่ Cheetah กับ Maxwell Lord และเชื่อว่าสิ่งที่หลายคนอยากจะรู้ที่สุด คือการกลับมาของ Steve Trevor

ไอ้สิ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เป็นเครื่องกระตุ้นให้เราอยากดู และไอ้ความที่ภาคแรกมันทำออกมาได้ค่อนข้างดี นำเสนอความเป็น Wonder Woman ออกมาได้น่าติดตาม และแทบจะทิ้งโทนความเป็น DC ดาร์คๆ ไปเสียหมด แถมยังมีแนวทางของตัวเองที่ค่อนข้างชัดเจน จึงทำให้ภาคนี้ยังไงก็ต้องดู...แต่ผลปรากฏว่า มันค่อนข้างออกไปทางผิดหวังเสียมากกว่า

หนังความยาว 2 ชั่วโมงครึ่ง นับว่าเป็นหนังยาวพอสมควร และมันก็มีจุดน่าเบื่ออยู่เยอะเหมือนกัน หนังเปิดเรื่องด้วยซีน Diana ตอนเด็กแข่งกีฬาไรสักอย่าง เรามองว่านั่นคือสิ่งที่สนุกที่สุดในหนังละ

หลังจากนั้น หนังค่อนข้างมีความเรื่อยๆ เอื่อยๆ ไม่ค่อยมีอะไรดึงให้น่าติดตาม หลายฉากมีความเชยมาก ไม่คิดว่าจะได้เห็นในหนังยุคปัจจุบันแบบนี้ (เอ๊ะ หรือเค้าจงใจให้มันเหมือนยุค 1984 นะ) แต่ก็อยากเห็นอะไรแปลกใหม่มากกว่านี้

เอาจริงๆ เหตุผลการกลับมาของ Steve Trevor ไม่ได้ยากเกินคาดเดา แต่ก็เป็นเหตุผลในการกลับมาที่ยอมรับได้ พาร์ทโรแมนติก กุ๊กกิ๊กกันของพระ-นาง ก็ถือว่าทำให้คนดูยิ้มได้ ไม่มากไป ไม่น้อยไป อยูในระดับที่พอดี แต่ราวกับเล่นมุกเดิม แบบในภาคแรกให้ Diana มาเจอโลกโก๊ะๆ โดยมี Steve พาไปรู้จักนู่นนี่นั่น ภาคนี้ก็ใช้มุกเดิมให้ Steve กลับมาเจอโลกในยุคใหม่ โดยมี Diana พาไปแนะนำแทน มันก็ยังคงน่ารักแหละ แต่พาร์ทนี้ก็มีความไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เช่นมีฉากนึงตอนแรกบอกรีบ แต่ก็มีมาแวะชมนกชมไม้กันซะอย่างนั้น เอาจริงๆ มันมีความเป็นหนังรักที่ฉาบหน้าด้วยหนังฮีโร่อยู่เหมือนกันนะ

ทางด้านตัวร้ายนี่เหมือนจะดีนะ ปูทางตอนแรกมาดีเลย แต่หาทางลงให้ตัวร้ายง่ายเหลือเกิน และยิ่งตอนท้ายสู้กับ 2 ตัวร้ายนี่ง่อยมากเลย แนวทางในการสู้กับตัวร้ายยิ่งดูแบบ "ห๊ะ ไรวะเนี่ย" สุดๆ ในภาคแรกฉากแอ็คชันดีกว่าเยอะเลย และหนังโคตรโลกสวยเลยจริงๆ นักแสดงทั้งสองที่รับบทรู้สึกว่า Pedro Pascal แกเล่นใหญ่ไปหน่อยนะ ส่วนทางด้าน Kristen Wiig แสดงดีเลยแหละ

จริงๆ ไอ้การสร้างความวายป่วงของ Maxwell Lord ชวนให้นึกถึงหนังเรื่อง Bruce Almighty อยู่เหมือนกันนะ

ชุดทองที่เห็นในตัวอย่างในโปสเตอร์ที่ดูเทพเหมือนจะมีอะไร สร้างเรื่องราวขึ้นมาบลาๆ แต่เอามาใช้จริงได้ไม่คุ้มเอาซะเลย ได้แค่ใส่ออกมาให้เห็นเท่ๆ แค่นั้นอะ

สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของเรื่องก็ยังคงเป็น Gal Gadot เอาจริงๆ แค่ใบหน้าสวยๆ ของเธอก็เอาคนดูอยู่แล้ว แต่บางฉากหนังใส่บทมาให้เธอได้ตลกจริงๆ และจากภาคแรกมาภาคนี้เราได้เห็นพัฒนาตัวละครของเธอได้ดี มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และเห็นเค้าความเป็นหญิงแกร่ง Wonder Woman ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

สรุปแล้ว Wonder Woman 1984 เป็นหนังภาคต่อที่ค่อนข้างน่าผิดหวังและชวนหาวไม่ใช่เล่น ตัวร้ายก็ยังคงไม่ทรงพลังไม่น่าจดจำอยู่ดี ความกุ๊กกิ๊กของพระนางถึงแม้จะมุกเดิมๆ แต่ก็ยังคงน่ารัก Gal Gadot ก็ยังสวยไม่เปลี่ยน งานภาพสวย แต่โดยภาพรวมแล้วยังไม่อิน และภาคแรกสนุกกว่ากันเยอะเลย

ปล. มี Mid-Credit ตัวเดียว

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
4
การดำเนินเรื่อง
4
ดนตรีประกอบ
6
ฝีมือนักแสดง
7
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
6
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
18 ธันวาคม 2563 19:59:28

แม่ก็คือแม่....

ก่อนดูได้ยินแว่วๆ ว่ากระแสดี หนังดี 'ตัวร้ายดี'... ตัวร้ายดี? คืออะไร? จะไม่สปอยล์ละกันแต่ปล่อยให้สงสัยและไปดูกันเองว่าตัวร้ายดีคืออะไร แต่ "ดี!!!" ดีจัด กลมกล่อม มีมิติสไตล์ DC จริงๆ หนังโทนจะไม่ดาร์กระดับโจ๊กเกอร์ ยังคงเอ็นจอยกว่า มันส์ บู๊ ระห่ำ แอคชั่นอย่างเท่ห์ เปิดตัวแม่ไดอาน่า (Gal Gadot) ได้อย่างเท่ ไม่ว่าจะเป็นวิธีเปิดตัวตอนแรก หรือเปิดตัวตอนใส่ชุดจะสู้ หรือเปิดตัวตอนใดๆก็ตาม ชอบความ "เปิดตัวแม่อย่างเท่" ตลอดเวลา นึกถึงเพลงธีมของหนังที่จะมีเสียงกีต้าร์ไฟฟ้าร็อคๆ หน่อย มาตอนไหนเท่ตอนนั้นเลยอ่ะ ปัง! ปังมาก! ปังสุดๆ!!! คิวบู๊อย่างเท่จัด มุกต่อสู้ครีเอทีฟสุดๆ ส่วนคุณพระเอกคริส ไพน์ในบทสตีฟก็หล่อแม้จะเฮียแกจะเริ่มแก่ขึ้นบ้างแล้วก็ทำให้ดูมาดเท่มีเสน่ห์สไตล์หนุ่มใหญ่ขึ้น (ส่วนตัวรู้สึกเหมือนดูวูล์ฟเวอรีนที่ในบทเป็นอมตะแต่เฮียแจ็คจะดูแก่ขึ้นไปทุกภาคๆ) แต่คุณกัล กาโด(ออกเสียงถูกไหมหว่า)นางพระเอกของเราสวยแกร่งราวสต๊าฟไว้อย่างเดิมเลยฮ้าฟ น่ารักน่าเอาใจช่วยสุดๆ (เขินแม่ตลอดเวลาเลย อิอิ...) 

ส่วนบทหนังก็ดีเลย ประเด็นที่เล่าก็อินกำลังดี แม้จะดูซุปเปอร์ฮีโร่ประมาณนึงเลยแต่ก็โอเคฮะ มีฉากรักหวานซึ้ง ฉากสุขก็มี ฉากเศร้าก็มี ฟีลคล้ายๆภาคก่อน ส่วนงานสร้าง ซีจีอะไรก็ทำได้อลังการดี ในเรื่องย้อนยุคไปเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ก็ทำออกมาได้ดีเลย ทั้งฉาก เครื่องแต่งตัว พร๊อพต่างๆ ใดๆ ก็ดูดีดูเก๋ไปหมด


จะมีติดหน่อยๆ เป็นส่วนตอนจบ ใครอยากรู้ก็กดดูเนื้อหาส่วนนี้เอาละกัน ไม่ถึงกับสปอยล์แต่ก็ไม่อยากรบกวน....

คลิกเพื่อซ่อนหรือแสดงข้อความ
 

คือรู้สึกว่าจบกลมกล่อมไปหน่อย ไม่ค่อยแซ่บ ตัวร้ายไม่ได้ถูกทำอะไรให้สูญสลายทรมานสะใจอะไรมาก แต่ก็เป็นอะไรที่ใหม่ และมีมิติมากเลยแหละ

ดูจนจบจะมี End Credit อยู่หนึ่งทีหลังจบชื่อนักแสดง ไม่มี End Credit ตอนหลังจบเครดิตสุดท้ายไม่ต้องรอจนจอดับนะ จบend scene แรกก็ลุกออกได้เลย ออกมาก็ยังอินรู้สึกวู้ว้าใจเต้นรัวอยู่ อันนี้ดูจอธรรมดา แต่คิดว่าถ้าได้ดู IMAX ก็น่าจะฟินหนัก คุ้มชัวร์ เพราะแค่จอนี้รู้สึกว่าเอ็นฯประมาณนึงแล้ว ถ้าจอยักษ์น่าจะฟินกว่านี้ในหลายๆฉาก

- เด็กเดินตั๋ว -

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8.5
การดำเนินเรื่อง
9
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
10
คะแนนเฉลี่ย
9.3
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)

GUEST
นัฐวุฒิ ชมภูนุช
21 ธันวาคม 2563 17:24:26
สนุกมากครับมีสาระและวัฒนธรรมได้ดี
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย