The Kid Who Would Be King - หนุ่มน้อยสู่จอมราชันย์
หนัง The Kid Who Would Be King เรื่องราวของเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งที่บังเอิญไปดึงดาบ Excalibur ออกจากหินได้ ทำให้เชาต้องรวมทีมกับเพื่อนๆ ของเขาเหล่าอัศวิน และพ่อมดในตำนาน Merlin เขาต้องเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แบบที่เขาไม่คาดฝันมาก่อนในชีวิต
A band of kids embark on an epic quest to thwart a medieval menace.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
[รีวิว] The Kid Who Would Be King - หนุ่มน้อยสู่จอมราชันย์
--- 6/10 ---
ตำนานคิงอาเธอร์ที่ถูกบอกเล่าใหม่ในรูปแบบเด็กๆ
The Kid Who Would Be King หนังที่น่าดูตั้งแต่โปสเตอร์ยันตัวอย่าง กับเรื่องราวของ เด็กน้อยที่ไปบังเอิญเจอดาบของคิงอาเธอร์ปักอยู่ แล้วเขาก็ดั๊นหยิบมันขึ้นมาได้ ทำให้ต้องแบกความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่งปกป้องโลกจากอันตรายจากแม่มดร้ายมอร์กานา จริงๆ มันก็คือเรื่องของคิงอาเธอร์ที่เราคุ้นเคยกัน ถูกเล่าแล้วเล่าอีก เพียงแต่ในคราวนี้มันลดทอนความรุนแรง ดราม่า และเป็นตำนานคิงอาเธอร์ในเวอร์ชั่นเหมาะสำหรับเด็กแทน
จริงๆ เราอาจจะคาดหวังมันไว้สูงไป หรือเราอาจจะโตไปสำหรับหนังอะไรพวกนี้แล้วก็ได้ - -” หนังมันค่อนข้างดำเนินเรื่องเรื่อยๆ เชยๆ คาดเดาได้ การแสดงก็ไม่ได้โดดเด่น พาร์ทดราม่าก็ไม่อิน กับเรื่องราวของลูสเซอร์ เด็กเนิร์ดของโรงเรียนที่ถูกกลั่นแกล้งตลอด จนกลายมาเป็นฮีโร่ คือมันไม่มีอะไรแปลกใหม่ แล้วตลอดทั้งเรื่องหนังก็ทำให้เราว้าวไม่ได้เลยสักฉาก แม้กระทั่งฉากสู้กันที่ฝึกคนทั้งโรงเรียนจากในตัวอย่าง มันก็ยังเฉยๆ มากเลย รวมทั้งมุกในเรื่องมันก็พอยิ้มได้ ฮาบ้าง แต่ส่วนใหญ่มันจะแป้กซะมากกว่า
สิ่งที่น่าชื่นชมของหนังคือการวางตัวละคร ต่างวัย ต่างเชื้อชาติ ต่างนิสัย ไม่ว่าจะเป็นอันธพาล เด็กผิวสี เด็กอินเดียน ซึ่งมันเป็นการสอดแทรกประเด็นความสามัคคี ปลูกฝังให้แก่คนได้แบบเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าชื่นชมแบบสุดๆ อีกอย่างนึงที่ไม่พูดถึงเลยก็คงไม่ได้ มันคือ CG ซึ่งในเรื่องนี้ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดี เนียนตา และสวยเลยทีเดียว
ปกติเนี่ยหนังแนวๆ นี้พอดูจบแล้วมันจะสร้างอะไรในใจ และทำงานกับเราในบางอย่าง แต่เรื่องนี้กลับไม่ทำให้เรารู้สึกอะไรเลยหลังดูจบ จบแล้วก็จบไปงั้นๆ เฉยมากจริงๆ อย่างที่บอกไปตอนแรกว่า “เราอาจจะโตไปสำหรับหนังแบบนี้ก็ได้” แต่มันอาจจะเหมาะสำหรับเด็ก และก็ครอบครัวที่พาลูกหลานมาดู คงจะเอ็นจอยกับหนังเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย
สรุปผลวิจารณ์หนัง
The Kid Who Would Be King " หนุ่มน้อยสู่จอมราชันย์ "
120 min | Action/Adventure | Directed by Joe Cornish
เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร?
หนังว่าด้วยเรื่องราวของเด็กน้อยธรรมดาๆ คนนึง ที่ชื่นชอบในหนังสือประวัติศาสตร์โบราณของอังกฤษมาก และจับพลัดจับผลูไปดึงดาบ Excalibur ขึ้นมาจากหินได้ โชคชะตาของเขาจึงเปลี่ยนไป เขาต้องรวบรวมพรรคพวกอัศวินเพื่อรับมือและหยุดยั้งการล้างแค้นของราชินีปีศาจ ก่อนที่โลกจะถูกยึดครองโดยพวกมัน
ความรู้สึกแรกหลังดูจบ..
โห แทบไม่อยากเชื่อว่าหน้าหนังที่ดูเป็นหนังผจญภัยเด็กจะสอดแทรกไปด้วย นัยยะทางการเมืองที่น่าสนใจขนาดนี้ คือถ้ามองไปที่แค่ตัวหนังเอง เค้าก็ค่อนข้างเล่าได้สนุกน่าสนใจดี ดูได้เพลินๆ แต่สาระสำคัญของหนังมันคือการที่หนังเป็นตัวแทน เป็นเหมือนสัญญะของการเผชิญหน้ากันระหว่าง 2 Generation ใหม่เจอเก่า โบราณเจอกับสมัยใหม่ ที่พอดูเข้าก็แอบมีความ Related กับบ้านเราอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
สิ่งที่น่าชื่นชม
ต้องชื่นชมตัวผู้กำกับ ที่สามารถหากึ่งกลางระหว่างหนังผจญภัยเด็กกับการส่งสารได้อย่างลงตัว คือในพาร์ทของความเป็นแฟนตาซี ผจญภัย มันก็อาจจะไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดี อีกทั้งยังรู้สึกชอบการที่หนังยังแฝงถึงประเด็น ความคาดหวัง (ความจูนิเบียว) ของเด็กที่รู้สึกว่าตัวเองสำคัญและเป็นฮีโร่ได้อย่างน่าสนใจ
แต่ที่ชอบมากเลยคือตัวละครเมอร์ลิน ที่รับบทโดย Angus Imrie และตัว Alex ที่รับบทโดย Louis Ashbourne Serkis ลูกชายของ Andy Serkis ที่ทำให้ตัวละครในหนังดูมีมิติขึ้นมาบ้าง เพราะตัวละครอื่นๆ ในเรื่องก็แอบแบนไปนิดเหมือนกัน แต่หนังได้สองคนนี้แหละที่ให้ความรู้สึกว่าเล่นดี (โดยเฉพาะไอ้คาถามือของเมอร์ลินนี่ก็น่าจดจำแล้ว แม้ว่าจะจำไม่ได้ว่าทำยังไงก็ตาม)
สรุป
โดยรวมแล้ว The Kid Who Would Be King ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูได้เพลินๆ มีอะไรซ่อนไว้มากกว่าการเป็นหนังกลุ่มเด็กผจญภัยธรรมดา เพียงแต่ว่าด้วยธรรมชาติการเล่าเรื่องสไตล์หนังอังกฤษอาจจะดูแห้งไปบ้าง ถ้าหลายคนไม่ชอบก็พอจะเข้าใจได้ เพียงแต่ข้อความที่เขาซ่อนไว้ในหนังมันดีงามจนไม่อยากให้มองข้ามเลย
The Kid who would be king เปิดตำนานบทใหม่ของกษัตริย์อาเธอร์และดาบในหิน
เป็นอีกครั้งที่เรื่องราวของตำนานคิงอาเธอร์และอัศวินโต๊ะกลม ได้ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง นับตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พึ่งจะผ่านสายตาไปไม่นานอย่าง King Arthur legend of the sword ที่กำกับโดยกายริชชี่ และมาครั้งนี้ได้ถูกตีความใหม่ เมื่อตำนานที่ว่าได้กลับมาเป็นจริงอีกครั้งในยุคปัจจุบัน และเกิดขึ้นกับเด็กอีกด้วย
เนื้อเรื่องก็ว่าด้วย อเล็กซ์ เด็กชายโนเนมคนนึงที่ได้ไปพบเจอกับดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ปักอยู่ในหินเข้า เลยต้องจับพลัดจับผลู ฟอร์มทีมจากเพื่อนๆ และคู่อริให้กลายเป็นเหล่าอัศวินร่วมกับพ่อมดเมอร์ลิน เพื่อเอาชนะแม่มดร้าย มอร์กาน่า ให้ได้ โดยที่มีอนาคตโลกเป็นเดิมพัน เล่าแค่นี้ก็น่าติดตามแล้วผมอยากให้ไปดูด้วยตาจริงๆ
ต้องบอกตรงๆ ว่าโปสเตอร์และตัวอย่างหนังของเรื่องนี้นั้นชวนที่จะไม่ขายของหรือขายหนังได้เลย มันเหมือนหนังเด็กผจญภัยทั่วไป แต่ผิดคาดจริงหลังจากที่ได้ดูนั้น ตัวหนังเองนอกจากจะตอบโจทย์คือทำให้ผู้ใหญ่เอ็นจอยไปกับหนังได้แล้วยังแฝงข้อคิดและคำคม ที่เหมาะสมกับบรรยากาศการเมืองของบ้านเราในช่วงนี้อีกด้วย 7.5/10
สรุปผลวิจารณ์หนัง