Halloween - ฮาโลวีน
หนัง Halloween หรือชื่อไทยว่า ฮาโลวีน เจมี่ ลี เคอร์ติส กลับมารับบทเด่นของเธอ “ลอรี่ สโตรด” เธอต้องกลับมาเผขิญหน้ากับไมเคิล ไมเยอร์ส ชายในหน้ากาก ผู้ซึ่งตามหลอกหลอนเธอ นับตั้งแต่เธอหนีรอดจากการฆ่าเพื่อความสนุกสนานของเขา ในคืนฮาโลวีน 40 ปีก่อน จอห์น คาร์เพนเตอร์ ปรมาจารย์ของภาพยนตร์สยองขวัญ จะกลับมารับหน้าที่บริหารงานสร้าง ให้คำปรึกษาในด้านครีเอทีฟ โดยที่ เจสัน บลัม ผู้สร้างภาพยนตร์สยองขวัญระดับท็อปในยุคนี้ (Get Out, Split, The Purge, Paranormal Activity) Halloween ได้รับแรงบันดาลใจจากงานสุดคลาสสิคของจอห์น คาร์เพนเตอร์ โดยเดวิด กอร์ดอน กรีน และแดนนี่ แมคไบรด์ สร้างสรรค์เรื่องราวในแบบใหม่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ปี 1978 กรีน รับหน้าที่ผู้กำกับ Halloween ร่วมสร้างโดย มาเล็ค อัคคาด จากทรานแคส อินเตอร์เนชั่นแนล ฟิล์ม ซึ่งสร้างซีรีย์ Halloween ตั้งแต่เริ่มต้น และบิล บล็อค (Elysium, District 9) นอกเหนือจากคาร์เพนเตอร์ และเคอร์ติส กรีนและแมคไบรด์ ยังร่วมบริหารงานสร้างภายใต้รัฟเฮาส์ พิคเจอร์ส อีกด้วย
Laurie Strode comes to her final confrontation with Michael Myers, the masked figure who has haunted her since she narrowly escaped his killing spree on Halloween night four decades ago.
[รีวิว] Halloween
--- 9/10 ---
การกลับมาที่คุ้มค่ากับการรอคอย
“ไล่ล่าโหด สนุก ระทึก ตื่นเต้น เพลงประกอบก็ดี แถมยังเคารพต้นฉบับสูงมาก”
ต้องบอกเลยว่า ส่วนตัวชอบหนังแนวนี้มาก และติดตามมาโดยตลอด ตั้งแต่ได้ข่าวว่าจะมีการนำหนังเรื่อง Halloween มาทำใหม่ ก็รู้สึกตื่นเต้น ปนดีใจอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งใกล้ถึงวันฉาย ก็แทบจะรอไม่ได้ที่จะต้องหาเวลาไปดูให้จงได้ แต่ก็มีแอบหวั่นๆ ใจอยู่เล็กน้อย เพราะหลายๆ ภาคของแฟรนไชส์เรื่องนี้ที่ถูกทำออกมามันมักจะไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นคะแนนรีวิวชุดแรกจากต่างประเทศของภาค 2018 นี้ ก็ชื่นใจ และกระตุ้นต่อมอยากดูได้เป็นอย่างดี
หนังเรื่องนี้เป็นการนำมาทำใหม่ครั้งที่ 11 แล้ว โดยจะมีเนื้อหาต่อจากต้นฉบับในปี 1978 และนางเอกอย่าง Laurie Strode ก็ยังได้ Jamie Lee Curtis มารับบทเดิมอีกด้วย คือถ้าใครได้ดูภาคต้นฉบับมาก็จะเข้าใจหลายๆ อย่างในเรื่องนี้มากขึ้น แต่ถ้าใครไม่ได้ดูก็จะยังคงเข้าใจอยู่ดี เพราะมีการกล่าวถึงเล็กๆ น้อยๆ ถ้าอยากหาดูก็ดูแค่ภาคแรก Halloween 1978 ก็พอ
เรื่องราวในเรื่องนี้จะเป็นเหตุการณ์ 40 ปีให้หลังเหตุการณ์ในต้นฉบับ เมื่อ Michael Myers หรือไอ้เจ้าฆาตกรหน้ากากขาวเนี่ย หนีออกมาเพื่อมาตามไล่ล่า Laurie น้องสาวของเขา แต่ในครั้งนี้ Laurie ไม่ยอมเป็นผู้ถูกล่าอย่างเดียว เพราะเธอจะล่าบ้าง! เธอได้เตรียมการต้อนรับ Michael เป็นอย่างดี
ก่อนดูรู้สึกตื่นเต้นมาก พอหลังจากดูจบรู้สึกดีใจ อิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก โดยความประทับใจแรกตั้งแต่เปิดเรื่องเลยคือ “เพลง” เสียงเพลงที่เราคุ้นเคยกันกับแฟรนไชส์ Halloween ในเรื่องนี้ก็ยังคงถูกนำมาถ่ายทอดให้เราได้ฟังกัน ซึ่งขึ้นมาปั๊บ เผลอยิ้มออกมาอย่างดีใจ หนังเรื่องนี้ให้ความเคารพความเป็นต้นฉบับสูงมาก ทั้งตัวอักษร มุมกล้อง การลำดับภาพ เสียงประกอบฉากต่างๆ หรือฉากต่างๆ ที่คุ้นเคยจากในภาคต้นฉบับ รวมทั้งมีฉากเชยๆ ของเหล่าเหยื่อโง่ๆ เช่นการสะดุดล้มแล้วโดนฆ่าอะไรทำนองนั้น แต่ก็กลบได้ด้วยความโหด รุนแรง แทน แถมยังมีการเรียกชื่อของ Michael Myers อย่างที่ต้นฉบับทำอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น “Boogeyman” หรือชื่อที่ผู้กำกับต้นฉบับ John Carpenter เรียก Michael Myers ไว้ในสคริปท์อย่าง “The Shape”
เรื่องที่ชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ หนังไม่จำเป็นต้องให้เราเห็นฉากฆ่าทุกฉาก เหมือนดั่งที่ต้นฉบับเคยทำไว้ แต่ปล่อยให้คนดูจินตนาการถึงการฆ่าเหล่านั้น ว่ามันจะโหดได้แค่ไหน แต่พอให้เห็นฉากฆ่าเต็มๆ มันก็ช่างรุนแรง โหด ซะเหลือเกิน
อีกหนึ่งอย่างที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ตัวหนังและเนื้อหาเลยก็คือ “ดนตรีประกอบ” มันทั้งลงตัวเข้ากันกับหนังมากๆ และมาในจังหวะที่ถูกที่ควรอยู่เสมอๆ มีกลิ่นอายความเป็นหนังเชือดแบบคลาสสิค ทั้งหมดนั้นก็ต้องชื่นชม John Carpenter ผู้กำกับหนังต้นฉบับ Halloween 1978 ด้วยความที่เขาชอบแต่งเพลงประกอบให้หนังที่เขากำกับอยู่แล้ว ซึ่งในเรื่องนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
จุดที่หักคะแนนไปคือประเด็นแม่และลูกของ Laurie ที่ดูจะเปราะบางไปหน่อย และการแสดงของ Jamie Lee Curtis ที่ถือว่าเธอเล่นดีเลยแหละ แต่มีการแสดงอารมณ์หลายๆ ช่วงมันโดด และไม่ต่อเนื่อง จนทำให้มันรู้สึกแปลกๆ ไปหน่อย และรู้สึกมันเล่นใหญ่เกินเบอร์ไปสักหน่อย กับสิ่งที่ทุกคนหวาดผวาในตัว Michael จริงๆ มันจะไม่แปลกเลย ถ้ามันไม่ได้ต่อจากภาคแรก แต่ไอ้เหตุการณ์ที่ Laurie เตรียมรับมือกับ Michael นั้นคิดว่ามันมากไป เพราะมันเป็นเหตุการณ์ต่อจากภาคแรก Michael พึ่งฆ่าคนไปไม่กี่คน แต่ตัว Laurie เองเหมือนเจอกับ Michael มาแล้วหลาย 10 ครั้ง ฆ่าคนมาแล้วหลาย 100 คนยังไงยังงั้น แต่ทั้งๆ ที่พึ่งฆ่าไปจริงๆ ในภาคแรกแค่ 5 คนเท่านั้น เลยหักคะแนนไปสักหน่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้หนังมันสนุกน้อยลง
สรุป คอหนังแนวนี้หรือแฟนคลับของ Michael Myers ไม่ควรพลาดจริงๆ และใครที่อยากหาหนังสนุก ระทึกดูสักเรื่อง ต้องบอกว่าเรื่องนี้ตอบโจทย์มากๆ จ้า
สรุปผลวิจารณ์หนัง