First Man - มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์
หนัง First Man หรือชื่อไทยว่า มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์ เดเมี่ยน ชาเซลล์ ผู้กำกับที่สามารถคว้าออสการ์ 6 รางวัลมาครอง จากภาพยนตร์ La La Land และ ไรอัน กอสลิง กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง ใน First Man ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวภารกิจของนาซ่าในการส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ โดยเน้นเล่าเรื่องนีล อาร์มสตรอง ในช่วงระหว่างปี 1961-1969 เรื่องราวของมนุษย์คนแรกที่เดินทางไปถึงดวงจันทร์สร้างจากหนังสือของเจมส์ อาร์. แฮนเซน โดยภาพยนตร์จะเผยเรื่องราวการเสียสละและความสำคัญที่มีต่ออาร์มสตรองและต่อชาติ
A look at the life of the astronaut, Neil Armstrong, and the legendary space mission that led him to become the first man to walk on the Moon on July 20, 1969.
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
First Man " มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์ "
141 min | Drama/Biography | Directed by Damien Chazelle
เรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ?
หนังว่าด้วยเรื่องของโครงการส่งมนุษย์ไปบนดวงจันทร์ของนาซ่า กับชายคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ไปเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ นีล อาร์มสตรอง กับความเป็นมารวมไปถึงความยากลำบากของภารกิจนี้ กว่าจะกลายเป็นโครงการอพอลโล จะต้องสูญเสียหรือทุ่มเทอะไรมากแค่ไหน ในการเขียนหน้าประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญในครั้งนี้
ความรู้สึกแรกหลังดูจบ..
ผลงานชิ้นที่ 3 ของ เดเมียน ชาเซลล์ ผู้กำกับหน้าใหม่ที่ถือว่ามีมาตรฐานมากที่สุดคนนึงในยุคนี้ เพราะสองงานก่อนหน้านี้จัดว่าน่าประทับใจมากสำหรับ Whiplash และ La La Land แต่ใน First Man นั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง จากหนังเพลง สู่หนังดราม่าชีวประวัติ ซึ่งหลังดูจบ ยอมรับก่อนเลยว่าอาจจะชอบน้อยที่สุดในบรรดา 3 เรื่อง อาจจะเพราะ pacing ของหนังที่ไม่คุ้นเคย (สำหรับหนังของชาเซลล์นะ) ความจัดจ้าน ดุดันของภาพที่เปลี่ยนไป แต่ยังไงก็ยังต้องชื่นชม ที่หนังยังรักษามาตรฐานได้ดี ไม่น่าเบื่ออย่างที่คาด แม้จะน้อย แต่พอได้โชว์งานวิชวล ก็สวยงามน่าสนใจ
ตัวหนังนั้นมุ่งเน้นไปที่ตัวของนีล ซึ่งก็มุ่งเน้นจริงๆ เพราะแม้แต่มุมกล้อง แทบจะตลอดทั้งเรื่องคืออัด cu / super cu เข้าไปที่ตัวละครของไรอัน กอสลิ่งหรือนีล อาร์มสตรอง รัวๆ เน้นความรู้สึก เน้นอารมณ์ของตัวละครที่มีต่อสถานการณ์นั้นเต็มๆ โดยที่เรื่องราว และภารกิจต่างๆ กลายเป็นเพียงแบ็คกราวเท่านั้นเอง ซึ่งในช่วงแรกๆ ตอนที่ยังปรับตัวไม่ได้ แอบไม่ get เหมือนกัน กับวิธีการแบบนี้ แต่พอเข้าถึงได้ ก็ต้องชื่นชมนักแสดงทั้งกอสลิ่ง รวมไปถึงคนอื่นๆ ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างดีเยี่ยม
สิ่งที่น่าชื่นชม
และถึงแม้ว่ามูดและโทนของหนังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับสองเรื่องแรก แต่ผู้กำกับก็ยังไม่ทิ้งลายเส้นในส่วนของสีสันงานวิชวลต่างๆ และเพลงประกอบภาพยนตร์อันเป็นเอกลักษณ์ งานผสมเสียงของหนังยังเด่นเล่นกับอารมณ์ ทำงานกับผู้ชมได้ดีเหมือนงานก่อนๆ รวมไปถึงงานวิชวลอย่างที่บอกไป แม้หนังจะเน้นไปที่ตัวละครค่อนข้างมาก แต่ในส่วนที่ได้โชว์งานภาพสวยๆ จริงๆ ก็มีหลายต่อหลายซีน โดยเฉพาะซีนดวงจันทร์ที่อาจจะไม่ได้ดูใหม่ แต่มันก็สวยงาม อ้างวาง ตอบรับกับอารมณ์ของตัวละครที่หนังพยายามปูมาตลอดทั้งเรื่องจริง ๆ
สรุป
โดยรวมแล้ว First Man ยังคงเป็นภาพยนตร์คับไปด้วยคุณภาพ แม้ว่าหนังจะมีความยาวที่ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด และถึงแม้ว่าคุณอาจรับรู้เรื่องราวของภารกิจไปยังดวงจันทร์นี้มาบ้าง หรือบางคนอาจจะรู้ทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ แต่รับรองว่าหนังเรื่องนี้จะให้มุมมองที่แตกต่างออกไปจากหนังเรื่องอื่นอย่างแน่นอน ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะในระบบ IMAX ที่จะช่วยให้ซีนวิชวลสวยๆ ออกมาอลังการงานสร้างมากขึ้นกว่าเดิม !!
[รีวิว] First Man - มนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์
--- 9/10 ---
สวยงาม มีเสน่ห์ Epic สุดๆ
“ภาพโคตะระสวย ยิ่งฉากเดินทางสู่ดวงจันทร์นี่ลุ้นสุดๆ”
อีกหนึ่งผลงานยอดเยี่ยมกับผู้กำกับมือรางวัลจากเรื่อง La La Land อย่าง Damien Chazelle ที่คราวนี้เขาไม่ได้ทำหนังแนวเพลงอย่าง La La Land และ Whiplash แล้ว แต่เขากลับมาทำหนังแนว Drama Sci-Fi เกี่ยวกับมนุษย์คนแรกบนดวงจันทร์แทน
First Man เล่าถึงเรื่องราวของ Neil Armstrong ที่องค์กร NASA มีภารกิจจะส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ โดยเล่าผ่านตัวละครที่คนทั้งโลกต่างรู้จักชื่อเขาอย่างมนุษย์แขนแข็งแรง Neil Armstrong (รับบทโดย Ryan Gosling) เราจะเห็นถึงชีวิตของชายคนนี้ทั้งครอบครัว เพื่อนๆ ตัวเขาเองในจุดเริ่มต้น ความกดดัน ความพยายาม และความสูญเสีย จนมันส่งผลเป็นก้าวเล็กๆ ของชายคนหนึ่ง สู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ชาติในประวัติศาสตร์
ผู้กำกับยังคงลายเซ็นตัวเองชัดเจนทั้งในด้านงานภาพและงานเสียง ในด้านภาพผู้กำกับคุมโทนของหนังในแต่ละซีนไว้ดีมากทั้งแสงและสี งดงาม สวย องค์ประกอบภาพยอดเยี่ยม เรารู้สึกได้ถึงความสมจริง ความกดดันของตัวละครในหลายๆ ฉาก มีการใช้มุมกล้องแทนสายตาของตัวละครนั้นๆ หรือใช้มุมแคบๆ CU / ECU ที่มุ่งเน้นตัวละครอย่าง Neil Armstrong เต็มๆ เพื่อให้เรารู้สึกกดดัน อึดอัดไปกับตัวละครนี้ไปด้วย ซึ่งผู้กำกับสามารถทำให้เรารู้สึกเหมือนที่ตัวละครตัวนั้นรู้สึกได้จริงๆ เช่นในห้องขับตอนต้นเรื่อง และฉากการลงจอดบนดวงจันทร์ซึ่งบอกเลยว่าโคตรลุ้น! ตื่นเต้น! และทำออกมาได้ Epic แบบสุดๆ คือมันเป็นฉากที่ดูแล้วรู้สึกตามไปเลยจริงๆ รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่มาก
ทางด้านงานเสียง เนื่องจากผู้กำกับเคยทำหนังเกี่ยวกับเพลง หนังดนตรีมาก่อน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเรื่องนี้ถึงทำออกมาได้ดีขนาดนี้ หลายๆ ซีน หลายๆ ฉาก ผู้กำกับเลือกเพลงมาประกอบได้อย่างลงตัว ไร้ที่ติ ในทุกๆ ฉากจริงๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้สึกมันลงตัวโคตร
หนังเรื่องนี้ค่อนข้างแตกต่างจากหนังแนวนี้ในประเภทอื่นพอสมควร เพราะหนังไม่ได้พาเราไปดูเทคโนโลยีสุดล้ำ หรือการวางแผน หรือการสร้างยาวอวกาศอันน่าปวดหัวสักเท่าไหร่ แต่หนังจะพาเราไปเจาะลึกในตัว Neil Armstrong ตัว Neil Neil และก็ Neil ล้วนๆ ให้เห็นความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ตอนได้รู้ว่าไปดวงจันทร์ก็ไม่มีฉากปลุกใจ ไม่มีการมอบรางวัลที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีการกลับบ้านไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงเมียกับลูก ว่าผมได้ไปดวงจันทร์แล้วนะ เป็นฉากสนทนาธรรมดาๆ ที่คุณก้มลงไปฉกป๊อปคอร์นก็อาจพลาดได้ รวมไปถึงหนังพาเราไปรับรู้ เหตุการณ์ สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวของเขาเสียมากกว่า มีการเล่นประเด็นเกี่ยวกับสภาพสังคม การเมืองในตอนนั้นเกี่ยวกับการนำภาษีไปใช้ในการทดลองที่ล้มเหลว และส่งคนไปตาย นอกจากนั้นเราก็จะได้เห็นว่า Neil เขาพยายามแค่ไหน ความเสี่ยง ความกดดันที่เขาต้องแบกรับนั้นมันมากมายมหาศาลเหลือเกิน รวมถึงเส้นทางที่กว่าจะได้ไปดวงจันทร์ จวบจนเหยียบลงบนดวงจันทร์ และกลับมายังโลก หนังเรื่องนี้สามารถสื่อออกมาให้เราได้เห็นเรื่องราวเหล่านั้นอย่างชัดเจน แต่เหตุการณ์บนดวงจันทร์คุณไม่ต้องไปคาดหวังว่าจะได้เห็นอะไรเท่ๆ ทั้งฉากปักธงหรือคำพูดคมๆ หนังสื่อให้เราเห็นเรื่องราวบนดวงจันทร์ในแง่มุมที่สุดแสนจะธรรมดา ความตื่นเต้น ลุ้น ทั้งหมดมันอยู่ที่ระหว่างทาง ไม่ใช่ปลายทาง
ทางด้านการแสดงต้องขอยกนิ้วให้ Ryan Gosling เลยจริงๆ ผู้ชายอะไรไม่รู้ หน้านิ่งได้โคตรเศร้า คือเรียกได้ว่าแค่เขาทำหน้าเฉยๆ ก็รู้สึกสงสารเขาแล้วอะ เขาสามารถเล่นให้เราเชื่อได้ว่าเขาคือนักบินอวกาศจริงๆ เขาคือ Neil Armstrong จริงๆ บวกทั้งการแสดงของคนที่รับบทเป็นภรรยาอย่าง Janet Armstrong ที่รับบทโดย Claire Foy เธอก็เข้าถึงบทดราม่าได้สุดจริงๆ
จุดด้อยของหนังคงเป็นการดำเนินเรื่องที่ช้า เนิบ และเนือยมาก ใครง่วงๆ ไปดูนี่อาจจะหลับได้เลย บวกกับหน้าของพระเอกอย่าง Ryan Gosling แล้ว ยิ่งทำให้มันดูเนิบเข้าไปใหญ่ อีกเหตุผลหนึ่งคือด้วยความที่มันเป็นหนังของ Neil Armstrong หลายๆ ตัวละครหนังไม่ได้ทำให้เราจดจำบุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านั้นได้เท่าที่ควร ไม่ได้ให้ความสำคัญสักเท่าไหร่
สรุป เป็นหนังที่ควรค่าแก่การดูสุดๆ ผู้กำกับทำให้เรื่องไกลตัวเรา รู้สึกว่าใกล้ตัวมากขึ้น เป็นหนังเรื่องแรกที่อยากแนะนำให้ดูแบบ 4DX เลย (เสียดายที่ไม่ได้ดูแบบนั้น มันน่าจะยอดเยี่ยมมาก ทั้งภาพ เสียง และเหตุการณ์ต่างๆ) ไม่เสียดายตังแน่นอนครับ รีบดูก่อนมันจะออกโรงน้า
สรุปผลวิจารณ์หนัง