ขุนพันธ์ 2 - Khun Phan 2
หนัง Khun-Pun 2 หรือชื่อไทยว่า ขุนพันธ์ 2 ความดีจะกลับตาลปัตร ขุนพันธ์จะถือคำสัตย์ข้างโจร ในยุคที่กฎหมายอ่อนแอ คนชั่วครองเมือง ความยุติธรรมเป็นเพียงคำพูด ทุกพื้นที่ภาคกลางถูกครอบครองด้วยอิทธิพลแห่งเสือฝ้ายและเสือใบที่ลือกันว่า ทั้งแกร่ง ทั้งเดือด และอาคมแรงกล้าที่สุดจนไม่เคยมี “ตำรวจ” คนไหนเฉียดใกล้แม้แต่ปลายเล็บ ขณะนั้น “ขุนพันธ์” (อนันดา เอเวอริงแฮม) หมดศรัทธาในกฎหมายและถูกบีบจากทางราชการ คงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะกับเขาเท่าการเป็นหนึ่งในโจรเชิ้ตดำของ “เสือฝ้าย” (ผู้พันเบิร์ด-พันเอก วันชนะ สวัสดี) และ “เสือใบ” (เป้-อารกษ์ อมรศุภศิริ) ขีดสุดแห่งพลังอาคมจะถูกท้าทาย เสือร้ายจะปล้นไม่เลือกหน้า ศรัทธาจะล้มหาย ความดีจะกลับตาลปัตร ขุนพันธ์จะถือคำสัตย์ข้างโจร เสือ 3 ตัวจะท่องอาคมเดียวกัน ดวลด้วยเวทย์ สยบด้วยคาถา ล่าหัวกันด้วยอาคม
รีวิววิจารณ์หนัง (0)
[รีวิว] ขุนพันธ์ 2
--- 7/10 ---
"กลบจุดด้อย สานต่อจุดดี และนี่คือหนังฮีโร่ไทยสุดเท่ห์!"
เมื่อปี 2016 ได้มีหนังแอ็คชั่นแฟนตาซี กับหนังเรื่องขุนพันธ์ ที่นับว่าเป็นปรากฏการณ์ เพราะเราไม่ได้เห็นหนังแนวนี้ในยุคหลังของวงการหนังไทยสักเท่าไหร่ ถึงแม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อาจจะผสมปะปนกันไป หนังสนุกแต่บทเละเทะ สะเปะสะปะ ตัดต่องงๆ และข้อผิดพลาดในฉากอีกมากมาย ส่วนข้อดีและจุดแข็งของภาคแรกก็คือคาแรคเตอร์ตัวละคร ทั้งขุนพันธ์ และอัลฮาวียะลู ที่พี่น้อย แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงแม้จะไม่ได้ดีมากแต่มันก็ส่งผลให้มีภาคต่อในปีนี้ขึ้นมา
โดยส่วนตัวแล้วไม่ประทับใจกับภาคแรกเสียเท่าไหร่ (ผิดหวังด้วยซ้ำ) แต่พอมีข่าวว่าจะทำภาคสอง ต่อมความอยากดูในตัวผมมันก็ลุกโชนขึ้นมา พร้อมกับกระแสตอบรับคนดูที่ให้ความสนใจอย่างน่าเหลือเชื่อ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ยุคหลังๆ หนังไทยก็มีแต่แบบเดิมๆ รักๆ ใคร่ๆ จนเราเริ่มเบื่อกับมัน พอมีแนวนี้ออกมา ย่อมเป็นธรรมดีที่เราจะตื่นเต้นกับมัน บวกกับนักแสดงที่เรียกคนดูได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยเนื้อเรื่องในภาคนี้เป็นการเล่าถึงการปราบปรามเสือเมืองสุพรรณของขุนพันธ์ โดยจับประเด็นของเสือฝ้าย และเสือใบ ที่ยังคงการเล่าเรื่องสไตล์คาวบอยผสมความเป็นไทยด้วยคาถาอาคม เรื่องราวยังคงอิงเอามาจากประวัติศาสตร์และแต่งเติมอีกนิดหน่อยเพื่อความบันเทิงให้กับหนัง
ภาคนี้เหมือนเป็นการ “กลบจุดด้อย” ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภาคแรกทั้งเรื่องความผิดพลาดในบางฉาก, เรื่องการตัดต่อ และบท ภาคนี้ใส่ใจรายละเอียดในจุดเล็กจุดน้อยมากขึ้นกว่าเดิม บทที่ดูกลมกล่อมลงตัวมากขึ้น การตัดต่อที่ดูไม่เละเทะสะเปะสะปะเหมือนภาคแรก แถมในภาคนี้ยังมีประเด็นการเมือง คุณงามความดี ประเด็นกรโกงกิน การเอาเปรียบ อำนาจของเงินตรา ให้ขบคิดในหลายๆ ฉาก ซึ่งมันทำให้หนังมีมิติขึ้นเยอะกว่าภาคแรกพอสมควร และ “สานต่อจุดดี” ด้านคาแรคเตอร์ตัวละคร ที่ยังคงความเอกลักษณ์ชัดเจนในแต่ละตัวละคร
เริ่มจากบทขุนพันธ์เหมือนตีบวกความเท่ห์ขึ้นไปอีกขั้น ดูสุขุม ดูมีมาด และเท่ห์โคตรๆ แทบทุกอริยาบทของขุนพันธ์ อนันดาได้ถ่ายทอดความเท่ห์ออกมาได้ตลอดทั้งเรื่องเลยจริงๆ
และอีกสองตัวละครที่สุดยอดไม่แพ้กันนั่นคือเสือฝ้าย ที่รับบทโดยผู้พันเบิร์ด แค่ยืนนิ่งๆ ก็เห็นถึงรัศมีความน่าเกรงขาม และนึกไม่ออกจริงๆ ถ้าไม่ใช่เขา ใครจะมารับบทได้เหมาะสมเท่านี้อีกแล้ว เห็นแล้วนึกถึงและให้อารมณ์คล้ายๆ กับ God Father เลยจริงๆ
ส่วนคนสุดท้ายคือ เสือใบ โดยในตอนแรกเราคิดว่ายังไง๊ยังไง เป้ ก็ไม่เหมาะสมกับบทนี้ ทำไมต้องเป้ด้วยว๊า คนอื่นก็มีอีกตั้งเยอะตั้งแต่ แต่พบดูจบปั๊บ...อยากตบปากตัวเองสัก 300 ทีแล้วถ่ายคลิปส่งให้ดู! “เป้เล่นโคตรดี” คือเล่นดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ไม่น่าเชื่อว่าเป้จะทำได้ขนาดนี้ แย่งซีนอนันดาเลยก็ว่าได้
ฉากการเปิดตัวของทุกตัวละคร ทำออกมาได้เท่ห์ น่าสนใจ และบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ชัดเจน ทางด้านตัวละครรองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใครเลย เริ่มจากนันทวุฒิ ที่รับบทอัศวิน ที่เล่นได้พอสูสีปะทะฝีมือกับทั้งสามได้ไม่เลวเลย รวมไปถึงก้อย รัชวิน ที่ดูมีสเน่ห์ น่าดึงดูด น่าค้นหามากกกกกกกก
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาของหนังเรื่องนี้เลยอย่างแรก รู้สึกขัดใจกับมุมกล้องของภาคนี้พอสมควร ในหลายๆ ฉาก ที่เราคิดในใจว่า มุมกล้องมันน่าจะส่งอารมณ์ได้มากกว่านี้นา อีกทั้งฉากบางฉากที่ใส่มาอย่างไม่จำเป็น และเหมือนภาคนี้จะออกแบบฉากแอ็คชั่น ฉากต่อสู้ ได้ไม่ดีเท่าภาคแรก ถึงแม้ภาพรวมในภาคนี้มันจะดีกว่า แต่เราเอ็นจอยและสนุกกับฉากแอ็คชั่นในภาคแรกมากกว่า กับเรื่องการแบ่งบทตัวละครที่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้อย่าง แม็กกี้ อาภา ส่วนเรื่องที่น่าเสียดาย ก็คงจะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการเล่า พาให้เราไปรู้จักกับเหล่าเสือสักเท่าไหร่ (ถึงแม้หนังจะยาว 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว)
โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ ประเด็นเรื่องความดีกับสังคมเทาๆ ปกครองด้วยคนมีอำนาจเท่านั้น ที่หนังต้องการจะใส่ลงไป ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเราเองและสังคม เรื่องคุณงามความดี ทำให้เรามองขุนพันธ์เหมือนเป็นตัวของฮีโร่ที่ลุกมาต่อต้านกับระบบ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าใครสักคนต้องทำอะไรบางอย่าง
ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านต้องพิสูจน์ในโรงภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ก็จะตอบได้ว่ามันดีไม่ดียังไง แต่ผมอยากให้สนับสนุนหนังไทย อยากให้มีผลงานแบบนี้ต่อๆ ไป อยากเห็นวงการหนังไทยเติบโตไปมากกว่านี้ และเติบโตไปเรื่อยๆ อยากเห็นหนังแนวอื่นๆ นอกเหนือจากรอม-คอม ดราม่า ที่มีอยู่เกลื่อนไปหมดในปัจจุบัน และแน่นอนมีเอ็นเครดิตด้วยนะจ๊ะ
เป็นหนังที่ดีอีกเรื่องหนึ่งจากค่ายสหมงคลฟิล์ม ดีเยี่ยมจริงๆ เกินความคาดหมาย เพราะภาคแรกทำไว้ดีประมาณนึง แต่ผิดหวังที่ซีจีแบบดูลอยๆ แบบสุดสาคร จ๊ะทิงจากินไปหน่อย(ในภาคแรก) เลยไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากขุนพันธ์ภาคสองมากนัก
แต่พอดูเสร็จได้ฟิลลิ่งดีเหมือนดูหนังดีๆ เรื่องหนึ่งเลย มีความสนุก บันเทิง เข้มข้น ดาร์ก เถื่อน มืดหม่น จริงจัง จังหวะหนังดีมาก ทั้งแอคชั่นหรือการเล่าเรื่อง ซึ่งกำกับภาพยนตร์โดย ก้องเกียรติ โขมศิริ ผู้กำกับหนังเข้มข้น จริงจัง โหดดิบเถื่อนเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ที่ฝากผลงานสุดเถื่อนไว้อย่าง ‘เฉือน’ ซึ่งเป็นหนังทริงเลอร์สยองขวัญจริงจังที่ดีมากเรื่องหนึ่งเลย
ฟิลลิ่งที่ได้รับ
ความสนุกสนานของเรื่องนี้ได้ฟีลลิ่งผสมผสานระหว่างหนังแอคชั่นมันส์ๆ ผสมกับหนังเจ้าพ่อแบบ God Father ผสมกับหนังเวทย์มนต์ (แต่ไม่เหมือนแฮร์รี่ พอตเตอร์สักเท่าไหร่ เหมือนพวกหนังพ่อมด ซาตานมากกว่าที่ดูน่าสยองขวัญ) และผสมหนังซุปเปอร์ฮีโร่สายดาร์กแบบ Watchmen หรือ Batman Darknight rise
สิ่งที่หงุดหงิด
ไม่ชอบสุดๆ ดูแล้วหงุดหงิดเลยคือ... ‘เสื้อผ้า’ ดูแล้วรู้สึกว่ามันแปลกๆ ผิดความสมจริงสมจังของยุคนั้นไปหน่อย ด้วยลายผ้า คัตติ้ง รูปแบบเสื้อผ้า มันดูแปลกเกินไป เหมือนชุดซื้อมาจากแพลตตินัม ตลาดนัด หาสไตล์วินเทจหน่อยๆแล้วเอามาเข้าฉากเลย มันทำให้ดูแล้วหงุดหงิด ไม่ว่าจะสูท เสื้อเชิ้ต เดรส ล้วนดูทำให้หนังเรื่องนี้ด้อยค่าลง ยิ่งสังเกตุเด็กเดินตั๋วยิ่งหงุดหงิดเลย มันทำลายคุณภาพหนังอยู่พอสมควร รู้สึกเสียดายสไตล์หนังดีๆ เรื่องนี้
นอกจากเรื่องเสื้อผ้าที่ขัดตาขัดใจแล้ว ส่วนอื่นๆ ดูเบาบางบรรเทา แทบไม่ได้มีปัญหาเลย แม้แต่ตัวซีจีเอง ที่ลอยนิดหน่อยก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้เลย
ส่วนเรื่องการแสดง เรื่องนี้ได้อนันดามารับบทขุนพันธ์ต่อจากภาคแรก เปรียบเสมือนฮีโร่ของเรื่อง การแสดงก็เป็นสไตล์อนันดาเหมือนที่อนันดาเล่นในทุกๆ เรื่อง วิธีการพูด การยิ้ม หัวเราะดูเป็นเอกลักษณ์ของอนันดามาก นอกจากนี้ยังได้เป้ อารักษ์มารับบทเสือไบ (ตามที่ได้ hint ไว้ในตอนจบภาคแรก) ซึ่งการแสดงของเป้ อารักษ์น่าชื่นชม ดูเป็นจิ๊กโก๋เมืองสุพรรณจริงๆ ดูนักเลงหัวไม้ วัยรุ่นเกเรๆ และอีกคนที่มารับบทบาทสำคัญคือ ‘ผู้พันเบิร์ด’ ในบทเสือฝ้าย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เห็นผู้พันเบิร์ดสวมบทโจรผู้ร้ายครั้งแรก การแสดงของผู้พันเบิร์ดก็ดูร้ายแต่หล่อจริงๆ อีกคนคือ ‘ก้อย รัชวิน’ ในเรื่องนี้ก็เห็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมในจอเงินของเธอ
รวมๆ ชอบมากเลยครับ ในฐานะคอหนังเจ้าพ่อ และชื่นชอบ God Fatherและหนังซุปเปอร์ฮีโร่ค่าย DC อยู่แล้ว รู้สึกปลาบปลื้มในความดาร์ก ขมขื่นในจริยธรรมที่ถ่ายทอดออกมา รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีดีกว่าแค่บันเทิงมากๆ มีคุณค่าทางแนวคิด จริยธรรม ความเชื่อมั่นในมนุษย์แฝงอยู่มาก
- เด็กเดินตั๋ว -
เม้าท์ต่อซีนไหนที่เห็นแล้วนึกถึงหนังเรื่องอะไรบ้าง
ที่ดูแล้วรู้สึกเลยว่าได้รับแรงบันดาลใจจากหนังเรื่องต่างๆ หรือคล้ายๆใกล้เคียง ดูแล้วนึกถึงมีหลายซีนอยู่...
- ฉากที่เสือฝ้ายออกไปตัดผม... แล้วออกมานั่งสามล้อ กำลังออกจากตลาด แล้วโดนยิงกราดใส่
>> ทำให้นึกถึง God Father ภาคแรก ตอนดอนวิโต้ คอลลิโอเน่ไปซื้อมะเขือเทศและหนังสือพิมพ์ แล้วโดนกราดยิงใส่ปางตาย
https://www.youtube.com/watch?v=QNuzgDrUXP0&frags=pl%2Cwn
-ตอนฉากแรกในทุ่งหญ้า ที่คาถาของขุนพันธ์ทำให้ปีนแตก ช่างได้ฟีลลิ่งเหมือนการเข้าสปีดฟอร์ซในหนังซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง The Flash หรือ Quick Silver ใน X-MEN เลย
>> https://www.youtube.com/watch?v=xckrrXdUFBk
-ฉากที่ขุนพันธ์ใช้เชือกรัดปืนเป็นอาวุธ ทำให้นึกถึงอาวุธบ่วงวิเศษของ Wonder Woman
>>https://youtu.be/Yrdih26Dv_g?t=2m3s
สรุปผลวิจารณ์หนัง