Downsizing - มนุษย์ย่อไซส์
เข้าฉาย 1 กุมภาพันธ์ 2561
ผู้ชม : 16,833
ผู้กำกับ
: Alexander Payne
ความยาวหนัง
: 135.00
Text Size
หนัง Downsizing หรือชื่อไทยว่า มนุษย์ย่อไซส์ โลกกำลังเข้าสู่สภาวะประชากรล้นโลก และหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดของมนุษย์คือการเข้ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ย่อส่วนให้ตัวเองเล็กลงและใช้ชีวิตในสังคมขนาดจิ๋วที่เหมือนโลกจริงๆทุกประการเพียงแต่มันถูกย่อส่วนลงมาเท่านั้น แมตต์ รับบทเป็น พอล ชายหนุ่มที่ตัดสินใจพร้อมกับภรรยา พาตัวเองย่อส่วนเพื่อไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า ซึ่งตัวอย่างแรกของ Downsizing ฉายให้เห็นเพียงด้านดีของการย่อส่วนลง แต่ยังไม่ได้บอกว่า หายนะอะไรกำลังจะเกิดขึ้นให้ แมตต์ เดม่อนได้เผชิญกับการแก้ปัญหานี้
หนัง Downsizing หรือชื่อไทยว่า มนุษย์ย่อไซส์ A social satire in which a guy realizes he would have a better life if he were to shrink himself.
Downsizing - มนุษย์ย่อไซส์
135 min | Comedy/Sci-fi | Directed by Alexander Payne
ดาวน์ไซส์ซิ่งคือภาพยนตร์ที่พูดถึงวิกฤตการณ์พลังงานในโลกอนาคตอันใกล้ (ซึ่งเป็นประเด็นที่หนังไซไฟ ดิสโทเปีย ยูโทเปีย ทั้งหลายหยิบมาใช้ ก็แน่ล่ะเพราะมันเป็นประเด็นที่รีเลทกับชีวิตจริงเราอยู่ประมาณนึง แต่อาจไม่ถึงขั้นนั้น) ซึ่งเรื่องนี้เป็นในส่วนของทรัพยากร อาหาร น้ำต่างๆ ในอนาคตใกล้ ทำให้กลุุ่มนักวิทยาศาสตร์คิดค้นการย่อส่วนร่างกายมนุษย์ให้เล็กลงเพื่อลดการใช้ทรัพยากร ซึ่งไอเดียนี้ค่อนข้างน่าสนใจมาก ยิ่งมาอยู่ในมือของหนึ่งในผู้กำกับ underrated ที่ผมชอบมากที่สุดคนนึง มันยิ่งทำให้ดูมีอะไรและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
แต่ทว่าพอได้ชมแล้วกลับกลายเป็นหนึ่งในหนังที่น่าผิดหวังมากที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ คืออย่างที่บอกแนวคิดตั้งต้นของหนังมันน่าสนใจมาก แต่ในขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ตั้งแต่ก่อนดูว่าหนังจะหาทางลงให้กับหนังยังไง ช่วงแรกของเรื่องก็น่าสนใจมาก แต่พอเข้าสู่ช่วงองค์ที่สอง (หรือประมาณที่ตัวเอกย่อส่วนไปแล้วได้สักพัก) สิ่งที่น่าเสียดายมากคือมันไม่ได้พาไปสำรวจโลกของจิ๋วมากเท่าไหร่นัก แถมยังไม่ได้เล่นลูกเล่น (โอเคประเด็นนี้ไปคาดหวังเอาจากแอนท์แมนก็ได้ แต่มันก็เสียดาย) และที่สุดคือการที่หนังพยายามจะเก็บทุกประเด็นเท่าที่จะทำได้ ทั้งเรื่องของตัวเอก เรื่องสังคม เรื่องของคนชายขอบต่าง ๆ รวมไปถึงการจิกปนกัดพวกทฤษฎีสมคบคิดและพวกหัวอนุรักษ์หน่อยๆ ซึ่งหนังแทบไม่ได้ขยี้หรือเคลียร์ประเด็นที่เปิดมาเลย หนังเลยไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง
สิ่งที่พอจะทำให้หนังยังดำเนินต่อไปได้โดยที่ผู้ชมยังไม่ละความสนใจก็คือมุกตลกร้ายที่ยอมรับว่าเรียกเสียงหัวเราะได้ประมาณนึง ทั้งจากตัวคริสตอฟ วอลซ์ที่เรื่องนี้น่าจดจำมากประมาณนึง และ Hong Chau นักแสดงสาวชาวเวียตนามที่สร้างสีสันให้กับหนังได้ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนภาพรวมของหนังเท่าใดนัก
ถือว่าเป็นอีก 1 เรื่อง อีก 1 โปรเจคที่น่าเสียดายมาก เพราะนอกจากที่กล่าวไปแล้ว การหาทางลงของหนังก็แสนจะธรรมดากว่าที่คิดมาก หรือหนังจะตั้งใจว่าอนาคตอันใกล้หรืออันไกลที่จะเกิดขึ้นนี้ มันก็ยังธรรมดาแสนธรรมดาต่อไป ไม่ได้จะเกิดอะไร หรือล้ำโลกอะไรมากนักแบบที่คนสมัยก่อนเคยคิด
สรุปผลวิจารณ์หนัง