0

เข้าฉาย ไม่ระบุ
ผู้ชม : 1
ผู้กำกับ : ไม่ระบุ
ความยาวหนัง : ไม่ระบุ

รีวิววิจารณ์หนัง (0)

27 มีนาคม 2567 21:58:48

Exhuma ขุดมันขึ้นมาจากหลุม ภาพยนตร์ระทึกขวัญจากแดนเกาหลี ที่มีความน่าสนใจมาก ๆ ทั้งพล๊อตและ 4 นักสแดงนำมากความสามารถอย่าง อีโดฮยอน  คิมโกอึน ชเวมินซิก และ ยูแฮอิน ในเรื่องราวของการทำพิธีย้ายหลุมศพลึกลับในที่ดินผืนอัปมงคลตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ที่จะพาไปพบเรื่องราวประหลาดลึกลับ และอันตรายภายหลังจากที่บางสิ่งบางอย่างได้เล็ดลอดออกไปจากโลงศพนั้น 

ที่บอกว่าน่าสนใจ เพราะเรื่องราวเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่อง Exhuma นี้ได้อิงประวัติศาสตร์ในยุคสงครามโยงเข้ากับพล๊อตหนังผีเกาหลีและมีปีศาจแบบญี่ปุ่น (หรือขอเรียกง่าย ๆ ว่าโยไก) ได้อย่างน่าสนใจ ที่ถึงแม้ในหนังตัวผีเองจะไม่น่ากลัวเลยสักนิดก็ตาม แต่ด้วยบรรยากาศที่ชวนหลอน ชวนอึดอัด ถือว่าทำออกมาได้ดีมาก เป็นหนังที่หลอนได้ด้วยบรรยากาศ ความอึมครึมกดดัน จังหวะเสียงประกอบโดยไม่ต้องพึ่งผีหรือจังหวะจั้มสแกร์เลย (ซึ่งมีแค่ครั้งเดียวเองมั้งในเรื่อง) หรือถ้ามีใครที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์เกาหลี-ญี่ปุ่น มาบ้างก็อาจจะอินขึ้นมาหน่อยก็ได้

ว่ากันเรื่องของโปรดัคชั่นในภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนตัวแล้วชอบมาก ๆ ทั้งในเรื่องขององค์ประกอบภาพ แสงสี บรรยากาศ กราฟฟิกและเสียงประกอบที่เข้ากัน พอทุกอย่างมันลงตัวครบเครื่องในความยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่านี้ก็เลยไม่ทำให้รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย  เสียงกลองระรัวเป็นจังหวะตอนทำพิธีก็ชวนให้ตื่นเต้นไปด้วย ส่วนตัวชอบจังหวะเล่นเสียงของเรื่องนี้มาก จังหวะไหนควรเงียบ จังหวะไหนควรบิ้วอารมณ์ถือว่าทำถึงมาก ส่วนตัวโยไกในเรื่องก็ทำออกมาได้ดูลึกลับและน่าเกรงขาม เสียอย่างเดียวว่าเรื่องนี้จริง ๆ ก็มีบางส่วนที่รู้สึกขาดหายไป ทำให้ดูจบเราเองก็ยังมีแอบสงสัยบางจุดเล็ก ๆ 

ขอบอกเลยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้กับ 4 นักแสดงชื่อดังแถวหน้าแห่งวงการภาพยนตร์เกาหลี ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงมีกระแสตอบรับที่ดีทั้งแต่เข้าฉาย อีกทั้งการดำเนินเรื่องที่ไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป เข้าเรื่องไวไม่ยืดเยื้อ มีพล๊อตที่น่าสนใจและตัวโปรดัคชั่นของเรื่องก็ถือว่าดีมาก ๆ ถึงแม้จะไม่ได้หลอนมากเท่าไร แต่ด้วยบรรยากาศที่ดูอึมครึมจังหวะการเล่นซาวด์ทำให้อึดอัด ระทึกขวัญไปด้วยไม่น้อยเลย  ถือเป็นหนังระทึกขวัญเรื่องแรกของปีเลยที่เราดูจบแล้วรู้สึกว่ามันสนุกและชอบมากขนาดนี้ 

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8.5
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
8.6
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
27 มีนาคม 2567 20:09:19

ชื่อเรื่องแผนปล้นยัยส้มซ่า ดูไปครึ่งเรื่องอาจจะรู้สึกไม่ค่อยแผนอะไรมาก แต่พอดูจบก็ โอเครพอได้ๆ

เริ่มมามันจะเป็นพระเอกเนี่ยแหละโดนตำรวจจับแล้วก็ไปอยู่กับนักโทษอีกคนนึง ทำไปทำมาเหมือนนักโทษบอกว่าเคยแหกคุกบ่อย พระเอกก็จะหว่านล้อมให้เพื่อนช่วยกันแหกคุก ก็เลยเล่าเรื่องว่าไปปล้นมายังไงไปทำมายังไงถึงได้มาติดคุก ก็เล่าไปถึงเรื่องแฟน มาร์มาเล็ด แล้วก็เรื่องแม่ป่วยอยู่ที่บ้าน ตามที่เรื่องย่อเล่าไป ตัวหนังจะเป็นฟิลๆหักมุม หักเหลี่ยมกันนี่แหละ ดูเอาสนุกก็ถือว่าพอได้นะ เบาสมองน่ารักๆได้ มันเป็นหนังแนวทุนไม่สูงมาก เน้นไปที่บทกับการแสดง เรื่องนี้ก็เรียกได้ว่า บทละครคุณธรรมจัด555 (แต่ดีกว่านะ) ก็คือรู้สึกเหมือนละครสั้นแนวตั้งตามเพจไลฟ์โค้ชฝรั่ง แต่เอามาทำเป็นแบบยาว ยังไงอย่างงั้นเลย ยิ่งตอนเฉลยนะ เพลงละครคุณธรรมดังในหัวเลย555 พอได้พูดถึงเพลง ก็ต้องบอกว่า รู้สึกชอบมิวสิคสกอร์เรื่องนี้นะ มันเพราะมันดูมีอะไรของมัน มีเอกลักษณ์ดี ถือว่าทำออกมาได้ดีใช้ได้ทีเดียว คือมันไม่ใช่เพลงง่อยๆเปิดๆไปอะ มีความตั้งใจคิดตั้งใจทำ มี Theme มี motif ใช้ได้

ด้านงานภาพก็ถือว่าทำออกมาใช้ได้ ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก แต่ถ่ายทำออกมาได้สวยเลย หลายๆช็อตมีความตั้งใจใช้มุมกล้อง สัดส่วนคอมโพสภาพดี ถ่ายนักแสดงออกมาให้รู้สึกโดนเด่นได้ โดยเฉพาะนางเอก

และเรื่องนี้ต้องยกให้พลังนักแสดง ทั้งพระเอก เพื่อนพระเอกที่เป็นคนผิวดำ  เอาจริงๆไม่ได้มีบทอะไรกันมากเล่นอาจจะไม่ได้โดดเด่นสำหรับ 2 คนนี้ เพราะที่โดดเด่นจริงๆ คือนางเอก มาร์มาเลด ไม่รู้ว่านักแสดงคือใครมาจากไหนเหมือนกัน แต่รู้สึกว่า เล่นโคตรดี มีคาแลคเตอร์ที่ชัดเจนโดดเด่นมาก ต้องยกเครดิตให้เต็มๆเลย บวกกับความสวยสะกด เรียกได้ว่า นางเอาคนดูอยู่หมัดแน่นอน 

 ดูไปเรื่อยๆอาจจะงงๆมีคำถามว่า มันได้หรอ แบบนี้ก็ได้หรอ? แต่ตัวหนังจะเฉลยปมต่างๆให้ในตอนจบ ถึงแม้ว่าเนื้อหามันจะไม่ได้หนักแน่น การสื่อสารออกมาอาจจะไม่ได้หนักหน่วง แต่ดูเพลินๆกับ ดูการแสดงของนางเอก ก็ถือว่าดูสนุกได้อยู่

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6.5
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.2
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
26 มีนาคม 2567 00:11:46

Immaculate บริสุทธิ์ผุดปีศาจ ภาพยนตร์สยองขวัญสั่นประสาทในเนื้อหาที่เกี่ยวโยงกับศาสนาและมีแม่ชีเป็นตัวดำเนินเรื่อง (อีกแล้ว) โดยได้ ซิดนีย์ สวีนนีย์เป็นทั้งผู้สร้างและนักแสดงนำ ในเรื่องราวของแม่ชีเซซิเลียที่ได้รับคำเชิญให้มาปฏิญาณตนที่โบสถ์แห่งหนึ่งในประเทศอิตาลีซึ่งเป็นที่พำนักสุดท้ายสำหรับแม่ชีชราและทุพพลภาพ แม้จะรู้ภาษาถิ่นเพียงน้อยนิด แต่ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าเธอได้เดินหน้าเข้ามาเพื่อปฏิญาณตนและบวชเป็นแม่ชีประจำโบถส์แห่งนี้ จนกระทั่งเธอได้พบกับเรื่องราวลึกลับบางภายในโบสถ์ และเธอได้เกิดตั้งท้องอย่างปริศนาขึ้นมา ซึ่งเหล่านักบวชในอารามต่างก็คิดว่ามันเป็นปฏิหาริย์ที่จะปลดปล่อยความทุกข์ทั้งปวง 

ต้องบอกเลยว่า การแสดงของนักแสดงสาวอย่างซิดนีย์ สวีนนีย์ในบทบาทของแม่ชีเซซิเลียนั้น ถือว่าทำถึงมาก แบกเอาไว้ทั้งเรื่องอย่างแท้จริง เล่นเอาลุ้นตามไปด้วยเลย แต่ในส่วนของเนื้อหานั้นน่าเสียดายมากส่วนตัวคิดว่าในช่วงแรก ๆ ของเรื่องนั้นค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย

คลิกเพื่อซ่อนหรือแสดงข้อความ
 

ตัวหนังแบ่งออกเป็น 3 ช่วง 2 ไตรมาสแรกจะเป็นส่วนของการปูเนื้อหาซึ่งจะค่อย ๆ ดำเนินเรื่องมาแบบเนือย ๆ เรื่อย ๆ แต่พอช่วงท้ายไตรมาสที่ 2 เข้าช่วงไตรมาสที่ 3 ต้องถือว่าเป็นส่วนที่เรารู้สึกมีส่วนร่วมด้วยที่สุดแล้ว ทั้งความหวาดเสียวชวนสยองเกล้า ความทุ่มเท แสดงแบบใส่เต็มที่ ทุ่มสุดตัวของซิดนีย์ สวีนนีย์ ที่ต้องบอกเลยว่าสุดยอดมาก  ส่วนตัวคิดว่าเค้าโครงเรื่องมีความน่าสนใจ แต่ก็มีบางจุดที่ยังทำให้รู้สึกว่ายังขาดหายไป แม้จะไม่น่ามีผลโดยตรงกับการดำเนินเรื่อง แต่คิดว่าจะน่าสนใจขึ้น หากเสริมเข้ามาบ้าง อย่างเรื่องราวของแม่ชีสีแดง ที่ก็ยังไม่มีที่มาที่ไปว่าคืออะไรกันแน่ หรือมีบทบาทสำคัญอย่างไรในอารามแห่งนี้ 

โดยรวมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจ นักแสดงเองก็ทุ่มสุดตัวเต็มที่มาก ๆ แต่ว่าบางจุดก็ยังรู้สึกขาดหายไปบ้างหลังจากดูจบส่วยตัวก็ยังมีบางส่วนให้ขบคิดว่า เอ ตรงนี้มันยังไงกันแน่นะ  แต่ถ้าดูในส่วนของความสยอง ในแบบขนลุกขนพองมือไม้แทบเปลี้ยเนี่ย ยกนิ้วแทบไม่ไหว เลือดสาดสะใจสมกับที่ได้เรท R ในพาร์ทสุดท้ายของหนังนี้บอกเลยว่าสุดมาก ชอบที่มีจังหวะมืดสนิท เงียบสนิทในช่วงที่ไล่ล่ากัน รู้สึกลุ้นตาม อึดอัดแทนสุด ๆ แถมตอนท้ายเรื่องซิดนีย์ สวีนนีย์ก็จัดเต็มซีนอารมณ์ ความทรมานแบบสุดตัวจนแทบจะเจ็บแทนเลย นั่นแหละ แม่แบกแทบทั้งเรื่องจริง ๆ

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
6.5
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
2 มีนาคม 2567 22:01:55

How to have sex เป็นเรื่องราวของสามสาวที่เป็นเพื่อนซี้กัน แทส สกาย เอ็ม ซึ่งน่าจะเป็นในช่วงสอบไฟนอลเสร็จเตรียมขึ้นมหาลัย จึงเป็นช่วงของวันหยุดยาวซัมเมอร์ ทั้งสามเลยไปฉลองวันหยุดที่พูลวิลล่า โดยมีเป้าหมายเล่นๆคือ เพื่อนๆอยากพาแทสไปโดนเปิดซิง 

หนังจะเป็นแนวเปิดชีวิตวัยรุ่น coming of age นิดๆ แต่ไม่มาก โฟกัสอยู่แค่ช่วงเวลา สถานที่ที่เดียว ที่พลูวิลล่า เพื่อนซี้สามคนก็ไปฉลองกินเหล้ากันสนุกสนานเมามันส์ อายุถึงหรือเปล่าก็ไม่ทราบหรือกฏหมายเขาอาจจะอนุญาตก็ไม่แน่ใจ หนังถ่ายทอดเรื่องของ แทส เป็นเมนหลัก ว่าเด็กผู้หญิงคนนึงที่ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย แต่แอบจิ้นมานาน สุดท้ายเพื่อนพามาเจอของจริง มันจะเป็นแบบไหน

ส่วนตัวว่าบทของ แทส ก็ดูเรียลๆดีนะ ดูอินโนเซ็นจริงๆ ตอนไปอ่อยไปอะไรก็ดูอินโนเซ็นจริงๆ ตอนเห็นว่าเด็กฝรั่งไปปาร์ตี้เมามันส์ขนาดนั้นก็ว่า เออ เขาโตเร็วดีนะ ดูสุดๆ แต่พอกับเรื่องเซ็กตัวละคร แทส ก็รู้สึก สู้เด็กไทยไม่ได้นิ555 ฟิลลิ่งแบบ ได้ออกมาปลดปล่อยตัวเอง ออกมาเจอโลกเจอคนเยอะๆที่สถานการณ์ใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ ถ้าเป็นเราจะทำตัวยังไง รู้สึกยังไง  หนังน่าจะสื่ออะไรประมาณนี้

ด้านงานโปรดักชั่น เอาจริงๆ มันเหมือนงานหนังโปรเจ็คจบนักศึกษาซะมากกว่า ด้านความเป็น Cinematic มันยังไม่ค่อยถึง งานภาพก็ไม่มีอะไรหวือหว้า เรียบๆความจริงๆหนังไม่ได้มีอะไรมากน่าจะใช้การถ่ายช่วยให้รู้สึกอะไรมากกว่านี้ได้ แต่มันเรียบไปแบบสุดๆ

ฝีมือนักแสดง อันนี้รับยอมว่า นักแสดงแบกจริงๆ ผู้กำกับน่าจะเก่งในเรื่องนี้ด้วยแหละ เล่นออกมาได้มีคาแลคเตอร์ได้ชัดเจนและทำให้คนดูเชื่อได้จริงๆ จากงานโปรดักชั่นระดับนักศึกษากลายเป็นหนังโรงได้เพราะนักแสดงเลยจริงๆ ยกให้

ดนตรีประกอบก็ไม่มีอะไรมาก ถือว่าเบสิค

รวมๆแล้วเป็นหนังที่ไม่ต้องไปดูในโรงก็ได้ รอดูในสตีมเอา เอาไว้ดูฆ่าเวลาได้อยู่ ส่วนตัวดูแล้วไม่รู้สึกอะไรมาก เฉยๆจ้า

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6.5
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
6.5
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
5.5
คะแนนเฉลี่ย
6.8
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
2 มีนาคม 2567 00:50:13

หนัง Sci fi ฟอมยักษ์ สุดอลังการ ที่ได้รับเสียงวิจารณ์แง่บวกจากนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วโลก ที่ส่วนตัวรู้สึกว่า เฉยๆอะ แต่ให้คะแนนเยอะนะ อิอิ

 

เอาที่งานภาพก่อน จากที่ได้ไปดูในระบบ i max เลยได้เห็นแบบเบิ้มๆ งานภาพดีออกมาดีมากติดตรงมันมืดไปหน่อย ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับโรงหนัง โดยรวมงานภาพคืออยู่ในระดับงานศิลปะดีๆนี่เอง แต่พอมันเป็นหนังฟอมยักษ์ความยาวเกือบ3ชม.อะ  รู้สึกมันไม่ได้พาเราเข้าไปให้โลกของเขาขนาดนั้นอะไม่รู้ทำไม อาจจะเป็นเพราะเนื้อเรื่องด้วยหรือการนำเสนอด้วย มันยังไม่ได้ฟิลแบบเดอะลอร์ดออฟเดอะริงอะ ยังไม่รู้สึกผูกพันธ์กับสถานที่ต่างๆในหนังได้เท่าเดอะลอร์ด แต่ถามว่ามันดีไหม มันดีมาก บอกได้เลยว่า ต้องไปดูในโรงเท่านั้น และต้องไอแม๊กด้วย

ด้านงานออกแบบเสื้อผ้าหน้าผม เครื่องจักรต่างๆ ให้คะแนนเต็มเลย ดูแล้วนึกถึงสมัยเล่นเกม Dune2000 เขาทำมาแล้วได้ฟิลดีจัดๆ ไม่เคยอ่านนิยายเหมือนกัน แต่หลายอย่างคล้ายในเกมเลย อะไรหลายๆอย่างที่ตอนเด็กไม่เข้าใจในเกม อย่างเนื้อเรื่องหรือสกิลของยูนิทต่างๆ พอได้มาดูเรื่องนี้แบบว่าเก็ทเลย ใครเป็นแฟนเกมมาดูรับรองมีกรี๊ดว้าว ได้อินกันแน่นอน 

เนื้อเรื่องก็คงจะตามนิยายอะแหละ แต่ส่วนว่า มันเนิบไปหน่อยซึ่งเข้าใจว่าเป็นสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ หลายๆเรื่องก็ชอบงานเขานะ แต่อันนี้มันเนิบเกินไปแล้วเหมือนมันวนลูบอยู่ที่เดิมๆไม่ไปไหนไม่ได้สำรวจอะไรในจักรวาลดูนขนาดนั้น มันเลยไม่ค่อยอินมัน จะแฟนซีก็ไม่สุด จะการเมืองก็ไม่สุด รู้สึกตัวร้ายที่เป็นหลานฮาโคเนน ปูนมาดีแล้วนะ แต่ไม่เห็นอะไรที่มาเชือดเฉือนฟาดฟันอะไรกับพระเอกเท่าไหร่เลย ทั้งที่หนังมันการเมืองการสงครามการวางแผน มาเฟียอะไรพวกนั้นแล้ว รู้สึกแต่ละคนมันมีเรื่องราวอะไรบางอย่างแต่ไม่เห็นรู้สึกมันมีแรงขับเคลื่อนให้ทำสิ่งนั้นจริงๆ ไม่รู้หนังไปเสียเวลากับอะไรตั้งเป็นชั่วโมงๆ แล้วมันไม่เดินหน้าทั้งด้านเนื้อเรื่องทั้งด้านความรู้สึก ยังขาดมิติมากๆ แต่ถ้าดูพอสนุก ก็ถือว่าง่วงอยู่ดีอะ555 

ด้านเพลงประกอบ เสียงประกอบ

กระหึ่มสัส การทำซาวด์ของเรื่องนี้คือ ดีมาก ส่วนเรื่องเพลงแม้ว่าโมทีฟจะไม่ได้เด่นชัดจัดๆ แต่การทำซาวด์ของดนตรีมันชัดเจนพอที่จะทำให้รู้ว่ามาจากเรื่องนี้ได้ ก็สมกับเป็น ฮานซิมเมอร์ ระดับอาจารย์

 

รวมๆคือถึงจะมีจุดด้อยเป็นการดำเนินเรื่องซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่พอดูแล้วก็รู้สึกว่า โอเครนะ มันต้องไปดูไอแม๊กสักรอบ 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
9.5
กราฟฟิก
9.5
คะแนนเฉลี่ย
8.6
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
28 กุมภาพันธ์ 2567 21:14:32

หลังจากผ่านมาแล้วถึง 3 ภาค ในที่สุด ภาค 4 ก็ได้คลอดออกมาให้เราได้ฮาปนหลอนกันอีกครั้งกับผีพี่นาค 4 ที่คราวนี้มาในเรื่องราวปมชีวิตของโทมินจุน หรือคุณโท ที่ต้องการกลับมาบูรณะโบสถ์เก่าที่วัดแห่งหนึ่งและต้องพบกับเรื่องราวที่น่าเศร้าของเพื่อนในวัยเด็กคนหนึ่ง

 

ส่วนตัวติดตามแฟรนไชส์หนังพี่นาคมาตั้งแต่ภาคแรกเพราะติดใจคุณเอม วิทวัสมาก(รับบทเป็นเจ๊บอลลูน)  คุณเอมเป็นเหตุผลแรก ๆ เลยที่ทำให้เราติดตามหนังเรื่องนี้55  แต่ตัวเนื้อเรื่อง พล็อตก็เป็นอีกส่วนสำคัญเหมือนกัน เพราะถ้าไม่สนุกต่อให้มีคุณเอมกี่คนก็คงไม่เสียเวลาไปดู ตั้งแต่ภาคแรกแล้วที่เราสนใจในตัวผีพี่นาคมาก เพราะดูเป็นตัวละครผีที่มีเอกลักษณ์  มีผีพี่นาคที่ต่างกันออกไปในทุก ๆ ภาคและปมต่างกันออกไป เนื้อหาเหมือนจะไม่เชื่อมโยง แต่ในภาคที่4 นี้บอกเลยว่าเหมือนปูมาตั้งแต่ภาค 3 ความฮา ความหลอน สยองขวัญยังทำได้ดี แต่ส่วนตัวว่าบางทีก็เน้นฮามากไปหน่อยจนบางจุดเราก็ไม่ค่อยเก็ทสักเท่าไร 

 

การดำเนินเรื่องถือว่าโอเคมาก ๆ แต่ก็มีจังหวะนึงที่ทำให้เรารู้สึกเอื่อย ๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่นานนัก  ชอบที่ได้เห้นพัฒนาการของบทหนังไทย โดยเฉพาะมุกตลกที่ค่อนข้างโฟลว์ ฉากฮาถือว่าทำถึง แต่ที่ถึงกว่ามากคือ จังหวะจั้มแสกร์ที่พัฒนาขึ้นมาก ๆ ถือว่าดูดีทีเดียวละ มีจังหวะหลอกที่ดีมาก เล่นเอาสะดุ้งไปหลายรอบเลย แล้วก็บรรยากาสในเรื่องคือน่ากลัวจริง ชวนหลอนมาก แต่พอเข้าตับฮาแล้วก็คือเอาอยู่ มาถูกจังหวะไม่ทำให้ช็อตฟีลความหลอนใด ๆ และในเรื่องมีการเล่าถึงตำนานหลายอย่างและมีการเสริมซีจีเอฟเฟคเข้ามาเยอะ อย่างฉากที่มีพญานาคโผล่ออกมา ส่วนตัวมองว่า ก็ทำได้ถือว่าพอโอเค ไม่ถึงกับลอยมาก แต่บางจุดก็รู้สึกแปลกตาไปนิดนึง แต่ออกมาพอไปกับฉากอื่น ๆ รวมกันแล้วไม่แย่เลย 

 

โดยรวมของ พี่นาค 4 แล้วนั้น ส่วนตัวบอกเลยว่าไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรมาก แม้บางจุดจะรู้สึกว่ายังอ่อนไปหน่อย แต่ตัวหนังยังคงความฮาและความหลอนไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยทำมาและมีการพัฒนาขึ้นมาด้วยดีมากในจุดนี้ และบอกเลยว่ามีการปูเนื้อหาไปต่อในภาคที่ 5 ด้วยตั้งแต่ต้นเรื่องเลย ถ้าเป็นแฟนฟนังแฟรนไชส์พี่นาคบอกเลยว่าไม่ควรพลาดจริง ๆ แต่ถ้ายังไม่เคยดูมาก่อน แนะนำว่าต้องย้อนดูตั้งแต่ภาคแรกก่อนจะเข้าใจมากขึ้น

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
6
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
6
คะแนนเฉลี่ย
6.7
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
19 กุมภาพันธ์ 2567 22:39:06

จากภาพยนตร์สุดฮอต Mean Girl 2004 (พ.ศ. 2547) ได้ถูกนำมารีเมคเป็น Mean Girl 2024 (พ.ศ. 2567) โฉมใหม่ที่ถูกปรับให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันและใส่ความเป็น Musical เข้ามา เพิ่มดรีกรีความแซ่บระดับตัวแม่ ในเรื่องราวการแก้แค้น และการทรยศหักหลัง ของสาว ๆ แก๊งพลาสติก และเคดี้ที่ช้ำรักจนต้องจัดการกับสาวสวย เรจิน่า จอร์จ ควีนตัวแม่ที่ทำให้เธอช้ำใจกับรักครั้งใหม่ครั้งนี้ให้สาสม

 

ในส่วนของเนื้อหาบอกได้เลยว่าแทบจะไม่ต่างกันกับต้นฉบับเลย ตัวบทอะไรที่สำคัญ ๆ แทบจะยกมาแบบ เป๊ะ ๆ ในส่วนนี้ก็จะไม่ขอพูดถึงมาก แต่อยากจะบอกว่าในส่วนของเนื้อหาเพลงที่เสริมเข้ามา ส่วนตัวชอบมาก โดยเฉพาะพาร์ทของเพื่อนเคดี้อย่าง เจนนิสและเดเมี่ยน จากที่ต้นฉบับดูไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไรนอกจากการวางแผนแก้แค้นเรจิน่า จอร์จ จนกระทั่งมาในฉบับรีเมค ที่กลายเป็นตัวเปิดเรื่องและร้องเพลง เป็น storyteller ในบางช่วง จะบอกว่าเพลงเพราะดี แต่ก็ต้องมีวิจารณญาณกันนิดนึง ส่วนตัวเห็นมีผู้ปกครองพาน้อง ๆ ที่อายุต่ำกว่า 13 ปีเข้ามาดูด้วย คิดว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเกินวัยของน้อง ๆ โขอยู่ เนื่องด้วยมีการใช้คำหยาบคายค่อนข้างเยอะและมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศอย่างชัดเจน อาจจะต้องระวังกันมากกว่านี้ 

ว่ากันด้วยเรื่องของงานภาพ กราฟฟิคอะไรต้องบอกว่าด้วยความที่ตัวภาพยนตร์ฉายมาเป็นเวลานานมาก จึงได้ถูกปรับให้บรรยากาศ เทคโนโลยี ตรรกะความคิดของตัวละครภายในเรื่องบางอย่างก็ถูกพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย (ถึงแม้จะมีบางอย่างที่คงความคิดเดิมไว้เนื่องจากเป็นเนื้อหาหลักของตัวหนัง) มีการปรับให้เป็น Musical มากขึ้น จึงมีการใส่เอฟเฟค ความฟรุ้งฟริ้งเข้ามาแบบจัดเต็ม ก็ดูสวย โอเคดี และในเรื่องของนักแสดง ส่วนตัวชอบนักแสดงที่เล่นเป็นเรจิน่า จอร์จมาก สวย สมกับคาแร็คเตอร์ตัวแม่ ได้จริตควีนสุด ๆ (แล้วเสียงก็ดี เซ็กซี่สุด ๆ) คาแร็คเตอร์ของแคเรนก็ถูกเปลี่ยนสัญชาติไป ต้องบอกว่าแคเรนในฉบับรีเมคนี้สวยจึ้งมาก แต่ส่วนตัวชอบแบบเดิมมากกว่า และมีแอบเซอไพรส์เล็ก ๆ ในช่วงท้ายเรื่องด้วยที่ได้ ลินซีย์ โลฮาน (เคยรับบทเป็น เคดี้ แฮรอนในภาคต้นฉบับ) กลับมารับบทเป็นผู้คุมการแข่งขันคณิตศาสตร์ เห็นแล้วหุบยิ้มไม่ได้เลย แม่ยังสวยจึ้งมาก 

โดยส่วนตัวคิดว่า Mean Girl ในฉบับรีเมคนี้ ในฉากสำคัญ ๆ แทบไม่มีอะไรที่ต่างจากต้นฉบับเลย บทคือเป๊ะ  ๆ แต่มีการเสริมส่วนของ Musical เข้ามาทำให้ดูน่าสนใจมากขึ้น แต่ส่วนตัวก็แอบเบื่อ ๆ ช่วงต้นเรื่องไปพักหนึ่งอยู่เหมือนกัน แต่พอกลาง ๆ เรื่องขึ้นไปก็พอโอเคอยู่บ้างละ ถ้าถามว่าชอบไหน บอกเลยว่าเฉย ๆ ไม่ได้ว้าว หรือใหม่อะไรขนาดนั้น เน้นเสริมข้อคิดที่สื่อสารออกมาโต้ง ๆ ทั้งเรื่องเลย เนื้อหาก็ไม่ได้ทิ้งเดิมเท่าไร เอาเป็นว่าเหมือนมาดูเปลี่ยนบรรยากาศจากยุค Y2K เป็นยุคปัจจุบันทันสมัย แค่นั้นเลย เพลงเพราะตามมาตรฐานภาพยนตร์ Musical ทั่วไป 

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
7
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
6.5
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
9 กุมภาพันธ์ 2567 17:22:12

Review: อย่างแรกด้วยขนาดฟอนต์ในรอบสื่อใหญ่มากบางฉากฟอนต์เกินจอ จึงทำให้ดึงอรรถรสเยอะไม่รู้ว่ารอบจิงจะปรับไหม ส่วนพล็อตของหนังดูน่าสนใจมาก การเปิดเรื่องมาชวนน่าติดตาม แต่ว่าพอช่วงกลางเรื่องมา ดูเอื่อยๆ ไม่มีอะไรสักเท่าไรนอกจากการค้นหาความลับ และที่มาที่ไปของผีตัวนี้ จนมาสนุกอีกทีช่วงไคลแมกซ์

แต่จุดอ่อนของหนังก็มีคือความรู้สึกขัดใจกับการกระทำของตัวละครที่ดูโง่ไปหน่อย โดยไม่เอะใจกับอะไรเลย

ความน่ากลัว ความตื่นเต้นลุ้นระทึกมีช่วงแรกกับช่วงท้าย นอกนั้นเฉยๆ

ภาพรวมจึงเป็นหนังที่พอดูได้ แต่อาจจะต่ำกว่าที่คาดหวังไว้ ซึ่งสิ่งที่ดึงดูดและทำให้เราคาดหวังกับหนังคือโปสเตอร์ที่ดูน่ากลัวกว่าหนังซะอีก

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
4
การดำเนินเรื่อง
5
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
6.5
กราฟฟิก
6
คะแนนเฉลี่ย
5.7
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
31 มกราคม 2567 23:41:16

Miller’s Girl หลักสูตรร้อน ซ่อนรัก เรื่องราวของความสัมพันธ์รักต้องห้ามของเด็กสาววัย 18 ปี Cairo Sweet (นำแสดงโดย Jenna Ortega)  นักเรียนคลาสการเขียนเชิงสร้างสรรค์ผู้มีพรสววรค์ในด้านงานเขียน และ Jonathan Miller (นำแสดงโดย Martin Freeman)  อาจารย์ประจำคลาสของเธอ ผู้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานชิ้นใหม่ของเธอ และด้วยโปรเจคนี้เองที่ทำให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกันจนเกิดเป็นความสัมพันธ์ต้องห้ามที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเอาเสียเลย 

อย่างแรกเลยคือ ไปดูเพราะความไบแอสอีกแล้วจ้า ด้วยความที่ตัวหนังได้สองนักแสดงมากความสามารถอย่าง Jenna Ortega และ Martin Freeman มาเข้าคู่กัน บอกกับตัวเองตั้งแต่เห็นตัวอย่างเลยว่าไม่พลาดแน่นอน ซึ่งบอกได้เลยว่า การแสดงของทั้งสองคนนั้น ส่วนตัวไม่ผิดหวังเลย Jenna เองก็สามารถแสดงได้ฉีกจากบทบาทที่เราเคยเห็นมาก่อนได้อยู่ แม้บางทีอาจจะเห็นภาพทับซ้อนไปบ้างแต่ต้องบอกว่าในเรื่องนี้น้องเซ็กซี่มากจริง ๆ  ชอบมาก คาแร๊คเตอร์อะไรก็ดูดีไปหมด น่ารักก  ส่วนในด้านของ Martin ก็ถือว่าทำได้ดีมาก เวลาเข้าคู่กันก็คือดี เอาอยู่ การส่งสายตาอะไรกัน โอเคเลย  และในเรื่องของการใช้ภาษาในเรื่องนี้ส่วนตัวว่าเป็นการใช้ภาษาที่ค่อนข้างสละสลวยพอสมควรเลยและเข้าใจง่ายดี ชอบในการใช้ภาษาจริง ๆ  งานภาพ แสง สี ก็ถือว่าสวยงาม วิจิตร ดูดีมาก ๆ 

ในส่วนของเนื้อหาต้องบอกว่าตัวพล็อตนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างเล่นกับหลักศีลธรรมมากพอสมควร  ก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะ ทำไมเมืองนอกถึงได้ Rate R ไปแม้จะไม่ได้มีฉากที่ถึงพริกถึงขิงอะไรกันขนาดนั้นก็ตาม ในเรื่องของการดำเนินเรื่องมันค่อนข้างจะเรื่อย ๆ ส่วนตัวแอบเบื่อด้วยนิดหน่อย เพราะจริง ๆ นี่ไม่ค่อยถนัดหนังแนวนี้เท่าไรนัก ตัวบทส่วนตัวว่ายังไม่ค่อยถึงเท่าไร ถ้าไม่นับเรื่องของการใช้ภาษาที่สละสลวยอย่างกับอยู่ในนิยาย บทการพูดการจาอะไรก็คือดูดีมาก แต่เอาจริง ๆ ถ้าไม่ได้ชอบแนวนี้จริง ๆ อาจจะแอบเบื่อหน่อย แต่ก้ดูเพลิน ๆ ได้พอโอเคอยู่ มีการนำเสนอแบบตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน ใครที่ชอบหนังแนวนี้ สไตล์นี้ก็คือไม่ควรพลาดจริง ๆ 

 

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
6.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
31 มกราคม 2567 20:56:06

เชื่อว่าหนังเรื่อง Blue giant จะกลายเป็นหนังดนตรี top 5 ของใครหลายๆคน อาจจะติด top 10 หนังในดวงใจใครหลายๆคนด้วย

บทหนังจริงๆดูเรียบง่ายมาก คือเด็กคนนึงอยากตามฝันเป็นนักดนตรีแล้วก็ออกเดินทางไปเมืองใหญ่ เจอเพื่อนเล่นดนตรี รวมวงกันจนได้ไปถึงจุดที่เล่นดนตรีมีคนมาฟัง ประสบความสำเร็จ คือไอเนื้อเรื่องง่ายๆนี่แหละ แต่เขาเอามาทำได้แบบว่า ถึงพริกถึงขิง แบบมันสุดจัดในแทบทุกมิติที่จะเป็นหนังเรื่องนึง ยกเว้นเรื่องรักโรแมนติกนะ

 

เรื่องนี้ออกฉายไป อาจจะทำให้ดนตรี Jass กลับมาเป็นที่นิยม รึเปล่าไม่รู้ แต่ตัวหนังน่าจะเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เคยไปดูมาแล้วรอบนึง อาจจะมีไปซ้ำอีกหลายๆรอบได้555

ว่ากันด้วยดนตรี Jazz นั่นมีรากมาจาก ดนตรีบลูส์ ซึ่งก็พัฒนามาเรื่อยๆจนเป็นเพลงป๊อปที่พวกเราฟังๆกันนี่แหละยิ่งสมัยนี่เพลงป๊อปนิยมเอาทางแจ๊สกลับมาใช้กลายแนว Neo soul อะไรพวกนั้นไป ส่วนตัวก็ไม่ได้รู้เรื่องเพลงแจ๊สมาก แต่เพลงแจ๊สของวงพระเอกน่าจะเป็นแนว Fusion Jazz มั่งไม่แน่ใจ แต่ก็ช่างแม่ง ในจุดนี้

เคยได้ยินมาว่าเพลงแจ๊สนั้นแค่อิมโพรไวส์หรือด้นสดกันขึ้นมาก็เป็นเพลงแจ๊สแล้ว ซึ่งในหนังก็มีจับเรื่องนี้มาเป็นประเด็นแล้วดันทรงพลังมาก น้ำตาแทบร่วงแล้วมันจะมีอีกหลายประเด็นในหนังที่ได้ฟิลแบบแรงบันดาลใจมากๆ มันจะฟิลแบบนี้..... ตอนต้นเรื่องเริ่มมา เปิดหัวมาด้วยตัวละครคิดแบบนี้ทำแบบนี้แล้วดำเนินไปเรื่อยๆ แล้วมันจะมีจังหวะคอนฟลิกท์มาหักแล้วเกิดเป็นแรงบันดาลใจสุดอิมแพคให้คนดู ซึ่ง  คนดูไม่จำเป็นต้องรู้ดนตรีแจ๊ส หรือแม้กระทั่งรู้เรื่องดนตรีเลยก็อินไปกับหนังไม่ยาก รับประกันได้เลย

แล้วการคิดคาแรคเตอร์ อันนี้ต้องขอชมว่า ยอดเยี่ยมมาก เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องดนตรี แต่มันคือการให้เห็นชีวิตกับแนวคิดไปจนถึงการทำลายกำแพงของตัวเองและเติบโตหรือก้าวไปอีกขั้นนึงของคนๆนึง ซึ่งส่วนตัวให้ สิ่งนี้เป็นเมนหลักของหนัง และมันสุดยอดมากที่ทำให้กลมกลืนไปกับหนังได้อย่างแนบเนียนไร้ที่ติมาก

แนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ไปดูในโรงครับเรื่องนี้ ทั้งภาพและเสียง เรื่องราว มันต้องในโรงสักครั้ง ตั๋วไม่แพงด้วย

ส่วนตัวไปซ้ำแน่นอน

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9.5
การดำเนินเรื่อง
10
ดนตรีประกอบ
10
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
10
คะแนนเฉลี่ย
9.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
31 มกราคม 2567 20:53:49

อีกหนึ่งภาพยนตร์สยองขวัญต้อนรับปี 2024 หลุมหลอน ซ่อนคำสาป  ภาพยนตร์สยองขวัญจากญี่ปุ่น เรื่องราวของครองครัวของไอฮาระ นาโอตะ ที่ได้สูญเสียภรรยาไปอย่างกระทันหันและเกือบจะสูญเสียลูกชายไปในวันเดียวกัน แต่ทว่า ฮารูโตะลูกชายกลับได้ฟื้นมาจากความตายทั้งสองคนเสียใจกับการจากไปของมิยูกิผู้เป็นภรรยาและแม่ ของพวกเขาทั้งสอง กระทั่งฮารูโตะได้นำนิ้วมือของแม่ไปฝังและเริ่มท่องบทสวดบางอย่างที่ครั้งหนึ่งพ่อของเขา นาโอตะ เคยสอนให้ทำหลังจากที่ฝังหางของกิ้งก่าเอาไว้ และเชื่อว่ามันจะงอกออกมาเป็นตัวใหม่ และในครั้งนี้ฮารูโตะก็คาดหวังให้แม่ของเขานั้นกลับคืนมาจากการฝังนิ้วของแม่และสวดภาวนาให้แม่ได้กลับคืนมาเหมือนเดิม ทว่าสิ่งที่คืนกลับมา ดันไม่ใช่แม่ของเขาอีกต่อไป

 

ในเรื่องของการดำเนินเรื่องนั้นถือว่าไม่ช้าไม่เร็ว กำลังดีเลย ไม่เวิ่นเว้อ ด้วยความยาวเกือบสองชั่วโมง ส่วนตัวว่าดูเพลิน ๆ หนังรเื่องนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลย พล็อตก็น่าสนใจ มีความหักมุมเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ แต่จังหวะจั้มสแกร์สำหรับเราแล้วรู้สึกยังไม่ค่อยถึงเท่าไร เฉยไปหน่อย ด้วยลักษณะเมคอัพผีก็ไม่ได้น่ากลัวมาก แถมช่วงท้าย ๆ ส่วนตัวดันรู้สึกเหมือนคุณผีกลายเป็นซอมบี้ไปซะอย่างนั้น แฮร่ ๆ ๆ ตลอดเลย

 

ในด้านของนักแสดงต้องบอกเลยว่าถึงมาก แต่ละคร แสดงแบบจัดเต็มทุกอารมณ์ โดยเฉพาะซีนที่ต้องหวาดกลัวก็คือนางเอกเราไม่ห่วงสวยแล้ว ถึงมาก ตาเหลือกกันเก่งทุกคนเลย ทั้งคนทั้งผี 55 ข้าม ๆ ถือว่านักแสดงเรื่องนี้เค้าเก่งจริงเราเชื่อเลยว่ากลัวจัด ๆ กลัวกันจริงๆ อย่างฉากในลิฟท์ก็เล่นเอาหลอนเลยนึกว่าจะมีอะไร แต่ก็ผ่านมาเฉยๆ ไม่มีอะไรเลยหลอกกันแนบเนียน

 

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าภาพยนตร์หลุมหลอนซ่อนคำสาป ถือเป็นภาพยนตร์สยองขวัญจากญี่ปุ่นที่สามารถดูได้เพลิน ๆ เนื้อหาดำเนินไปไม่ช้าไม่เร็ว กำลังดี แต่ว่ารวม ๆ แล้วสำหรับหนังสยองขวัญนี่ว่าหลอนไม่มากเท่าไร จนถึงไม่ค่อยหลอนเลยแหละ แต่ยอมใจนักแสดงจัดเต็มกันจริง ๆ และตัวพล็อตก็น่าสนใจมีหักมุมด้วย ชอบมาก

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
5.5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
4
ฝีมือนักแสดง
7
กราฟฟิก
6
คะแนนเฉลี่ย
5.7
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
24 มกราคม 2567 20:00:41

ลิฟท์ซ่อนผี หรือ  Elevator Game หนังสยองขวัญที่มีเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่ทำรายการล่าท้าผีที่เข้ามาลองดีเล่นเกมในลิฟท์แห่งหนึ่งที่เชื่อกันว่ามีหญิงสาวชั้นห้า และเมื่อทำสำเร็จลิฟท์จะพาเราไปยังมิติโลกคู่ขนานได้ ว่ากันว่ามีคนที่มาลองดีได้หายตัวไปกันหลายราย
 

ว่ากันที่เรื่องการดำเนินเรื่องส่วนตัวรู้สึกช่วงแรกจะเนือย ๆ เนิบ ๆ น่าเบื่อไปหน่อย ส่วนตัวโฟกัสไปไม่นานก็รู้สึกง่วงขึ้นมาหน่อยละ ต้องพยายามตั้งสตินิดนึง ตัวเนื้อหาถือว่าน่าสนใจพอประมาณ ส่วนตัวมองว่าใครที่ต้องการหาหนังสยองขวัญดูแก้เซ็งเรื่องนี้ก็พอดูได้แหละ เพลิน ๆ ด้านงานภาพก็ถือว่าเฉย ๆ ไม่ได้น่าสนใจเป็นพิเศษเท่าไร จังหวะหลอก ตุ้งแช่ก็ถือว่าทำได้ดี ชวนลุ้นตามอยู่บ้าง ถือว่าโอเคพอสมควรเลยแต่นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากเท่าไร เมคอัพตัวผีก็ไม่น่ากลัวสมเป็นผีเท่าไร ส่วนตัวว่าเหมือนฆาตกรใส่หน้ากากมากกว่า ไม่ค่อยดึงดูดเท่าไร 

 

ในส่วนของเอฟเฟคกราฟฟิคก็ไม่ได้มีความหวือหวาอะไร เล่นแสงนิดหน่อย พอหอมปากหอมคอ ดีหน่อยที่เรื่องนี้ฉากมืดก็ไม่ได้มืดมากจนไม่เห็นรายละเอียดอะไรเลยเหมือนหลาย ๆ เรื่องทีผ่านมา ซาวด์ประกอบชวนลุ้นดีเป็นบางฉาก ส่วนตัวชอบการดำเนินเรื่องช่วงสุดท้ายนะ พอจะคาดเดาได้แต่ก็เกินคาดนิดหน่อยเหมือนกัน ในส่วนของการแสดงนี่รู้สึกไม่ค่อยอินเลยกับสักตัวละคร บทไม่ส่ง ความอินไม่ได้เท่าที่ควร เป็นหนังสยองที่ส่วนตัวไม่รู้สึกสยองตามเท่าไร

 

โดนส่วนตัวแล้วต้องขอบอกเลยว่าส่วนตัวอาจจะแอบตั้งความหวังไว้นิดหน่อยตอนเห็นโปสเตอร์ แต่ถ้าได้ดูแล้วบอกได้คำเดียวเลยว่า ไม่คาดหวัง เราก็จะไม่ผิดหวัง ด้วยความที่ตัวพล็อตที่เคยถูกนำมาทำเป็นซีรีย์ครั้งหนึ่งของเกาหลี (ซึ่งส่วนตัวชอบฉบับซีรีย์มากกว่า) การทำให้น่าสนใจ หรือไม่ทำให้เบื่อนั้นอาจจะยาก เพราะรูปแบบอะไรก็เหมือนกัน ส่วนตัวเลยเริ่มรู้สึกเบื่อตั้งแต่ช่วงที่หนังพาเข้ามายังเนื้อเรื่องหลักจนถึงช่วงเกือบจบ มีดึงขึ้นมาให้ลุ้นตามได้นิดนึงแล้วก็จบไปแบบนั้นเลย ส่วนตัวคงเลือกไม่ดูซ้ำแน่นอน เพราะการดำเนินเรื่องค่อนข้างน่าเบื่อเลยทีเดียว 

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
4
การดำเนินเรื่อง
4.5
ดนตรีประกอบ
5
ฝีมือนักแสดง
4.5
กราฟฟิก
4
คะแนนเฉลี่ย
4.4
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
17 มกราคม 2567 19:34:04

ก็ถือได้ว่าเป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีกับงานของจิบลิสำหรับ The boy and the Heron จากค่ายจิบลิที่ห่างหายไปนาน งานภาพตามสไตล์จิบลิ เนื้อเรื่องจากอ.ฮายะโอะ มิยาซะกิ และเพลงประกอบจาก อ. โจ ฮิซะชิ ถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าถามว่ามันสนุกไหม? ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ รู้สึกว่าการเดินเรื่องนั้นเป็นไปอย่างช้าๆ บางทีช้าเกินไปมีหาวบ้าง ลายเส้นเนื้อเรื่องต่างๆ มันชัดเจนว่าเป็นสไตล์เขาละ แต่เนื้อเรื่องนี้ยอมรับเลยว่าในแง่ความรู้สึกกับตัวหนังมันยังเบาบางไม่ได้โดนเด่นขนาดมากระแทกใจเท่า เจ้าหญิงโมโนะโนะเกะ หรือ สปิริตอะเวย์ (อันนี้ส่วนตัวนะ) แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังเป็นงานที่ค่อนข้างเทพอยู่ดี ก็ในระดับที่สมกับเป็นฮายะโอะแหละ ซิกเนเจอร์ของการต่อต้านสงครามและยึดมั่นเรื่องสันติภาพ เรื่องของชีวิต ยังคงสอดใสมาในเรื่องราวได้อย่างชวนให้คิดตาม แม้ว่าอาจจะมีหลายๆจุดที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ เช่นฉากประตูทอง ดูแล้วไม่ค่อยเก็ทแต่มันมีความหมายอะไรแอบแฝงอยู่แหละ ตามสูตร ตัวหนังมีกลิ่นของการ์ตูนหลายๆเรื่องของจิบลิ การทำซีนต่างๆ แล้วก็การเชิดชูพลังหญิง ซึ่งจะมีอยู่แทบทุกเรื่องของอ.ฮายะโอะ ก็เรียกได้ว่าประทับใจเหมือนเดิม ด้านงานภาพนั้นคงเส้นคงวา แต่อาจจะมีเทคนิคอะไรเพิ่มเติมจากในอดีตให้น่าตื่นตาขึ้น ซึ่งก็ตามยุคสมัย แต่ต้องบอกว่า การออกแบบฉากในเรื่องนี้คือ ตัวส่วนชอบมากมีดูอลังการไปหมด เอาจริงๆชอบกว่าเนื้อเรื่องอีก เนื้อเรื่องมันก็โอเค แต่เนิบๆ แต่สิ่งที่ตรึงใจไว้กับหนัง ต้องยอมให้งานออกแบบฉากจริงๆ โคตรสวย

 

ด้านงานเพลงของอ.โจ ฮิซะชิ เรื่องนี้รู้สึกมันไม่ได้โดนเด่นขนาดนั้น ถามว่าตีมชัดไหมก็โอเครนะ แต่มันไม่ได้กระแทกในเท่าเรื่องที่ผ่านๆมา ถ้าไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ มีดีระดับอาจารย์ทำให้เด็กๆมันดูแหละ แล้วก็รู้สึกได้ความรู้ขึ้นจากการฟังเพลงประกอบอันนี้ด้วย แต่ถ้าถามว่า ชอบขนาดไหน รู้สึกชอบงานเก่าๆมากกว่า

สรุปรวมๆ คือมันดีและต้องเข้าไปดูในโรงเท่านั้น 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
10
คะแนนเฉลี่ย
8.4
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
16 มกราคม 2567 22:44:09

 

สายบู๊ล้างผลาญ เอาคืนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่บังอาจมารบกวนความสงบในชีวิตของ”เขา”อย่างสาสมและสุดมันส์ต้องเรื่องนี้เลย Beekeeper นรกเรียกพ่อ ผลงานของผู้กำกับ Suicide Squad และ Fury ซึ่งหลังจากที่ได้รับชมภาพยนตร์แอคชั่นสุดมันส์อย่าง Beekeeper นรกเรียกพ่อ ที่ได้เจสัน สเตแธมมารับบทนำบู๊ล้างผลาญ พูดน้อยต่อยหนักจัดเต็มจนสะใจ ไม่พูดมากเจ็บคอ ลุกขึ้นมาต่อยกันเลยดีกว่ามา!! 55

ต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องที่เราดูแล้วอินจัดจนใจเต้นเพราะมันส์เหนือความคาดหมายจากที่คิดไว้จริง ๆ การดำเนินเรื่องก็ไม่ช้าจนเกินไป ออกจะเข้าเรื่องเร็ว กระชับ และเข้าใจง่ายมาก ๆ ดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรง ๆ ไม่ต้องคิดตกผลึกอะไรมากมาย เราปล่อยจอย ปล่อยอารมณ์ไปตามเนื้อหาได้สบาย ๆ เลย จังหวะการตัดต่อก็ทำออกมาได้ลงตัวกลมกล่อมสมกับเป็นภาพยนตร์แอคชันที่เน้นคิวบู๊มันส์ ๆ ตัวบทก็ลื่นไหล ต่อมุขกันโบ๊ะบ๊ะ 

ในส่วนของเรื่องกราฟฟิก เอฟเฟคอะไรก็ถือว่าโอเค แบบถ้าไม่ใส่ใจนักจะไม่สังเกตหรอก ถือว่าปล่อยผ่านไปก็ได้ไม่มีปัญหา ไม่มีผลกระทบกับอรรถรสในการรับชมเลย เพลงประกอบเข้ากับเรื่องมาก ส่งอารมณ์ให้รู้สึกลุ้น มันส์ไปกับตัวภาพยนตร์ด้วย ถ้าถามว่าไปดูเพราะไบแอสนักแสดงอีกไหม ก็ส่วนหนึ่ง แม้จะมีความซ้ำซากตามแบบฉบับหนังสูตรสำเร็จตายตัวที่เราจะสามารถเดาทางได้ง่าย แต่เป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้เรารู้สึกสนุก และเอาเราอยู่หมัดจริง ๆ ฉากบู๊ก็ โหด ดิบ เถื่อนสาแก่ใจมาก คนพิการพี่แกก็ไม่เว้น555

ส่วนตัวบอกได้เลยว่าก่อนไปดูไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะสนุกขนาดนี้ คิดว่าจะเป็นหนังบู๊แอคชั่น ล้างแค้นทั่ว ๆ ไป แต่พอได้ดูจริง ๆ แล้วคือสนุกเกินเบอร์มากกว่าที่คิดไว้ ตัวบทก็ใส่มุขโบ๊ะบ๊ะ ฮา ๆ มาเรื่อย ๆ เสริมด้วยเพลง และซาวด์เอฟเฟคเร้าใจ ตัวนักแสดงก็แสดงได้ตามมาตรฐานที่ผ่านมา คนเดียวเอาอยู่หมัดแทบทั้งเรื่อง แก๊งตัวร้ายก็ปูมาตรง ๆ เลยว่ากลัวจริงแต่ก็สู้สุดใจ ใครชอบแนวแอคชั่น บู๊มันส์ ๆ มาดูเอาเพลินๆ ก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.4
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
15 มกราคม 2567 09:23:16

เป็นหนังที่ให้ดูด้านแย่ๆ ขาลงของนาโปเลียนซะส่วนใหญ่ การนำเสนอก็ออกมาเฉยๆ ไม่ได้ดีไม่ได้แย่แต่ที่ต้องชมจริงๆ คือฝีมือนักแสดง

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
6.7
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
2 มกราคม 2567 08:09:01

เชื่อว่าหลายๆคนคงจะได้เห็นตัวอย่างหนัง E-Sarn Zombie กันมาบ้าง แล้วก็น่าจะมีหลายๆคิดเหมือนกันว่า เออ นี่มันหนังเหี้ยอะไรวะนี่555 แม่งโคตรเลอะเทอะ ฟิลแบบคนตังเหลือๆแล้วไม่มีที่เก็บเลยเอามาทำหนังยังไงอย่างงั้นอะ เละแน่นอน

พอได้ได้ดูปุ๊บ เออ มันก็ฟิลนั้นจริงๆแหละ555 แต่ประเด็นคือ มันไม่ได้เละขนาดนั้นเว้ยคุณ ......

เอาจริงๆผมดูไปยิ้มไปแทบทั้งเรื่องอะ ยิ้มให้กับความอิหยังวะของหนังด้วย แต่ไอที่ฮาๆมันดันมีมาเหมือนกันไง ผิดจากที่คาดไว้ตอนดูตัวอย่าง ว่าแม่ง แป๊กทั้งเรื่องแน่ๆ สปอยแบบไม่ปิดเลยละกัน ถือว่าล่อให้ไปดู เขาจะมีแบบว่าเอาศิลปินอิสานคาเมโร่มานิดๆหน่อยๆ 1 ในนั่น คือ โจอี้ ภูวศิษฐ์ แล้วไอฉากนั่น ใครไม่ฮา ผม ฮานะ555 มันจะเป็นไม่ใช่มุกตับ แต่เป็นมุกโง่ๆฝรั่งๆ แต่แบบใส่มาค่อนข้างเนียนกับหนังและอีกหลายๆมุกที่ใส่มาแบบ เออดีนะ เนียนไปกับเนื้อเรื่อง ดูตลกดี

เอาจริงๆ ตัวเนื้อเรื่องมันเมากาวแหละ แต่ในแง่หนัง คือ มันเดินหน้านะ เนื้อเรื่องมันค่อนข้างเดินหน้ามีที่มาที่ไปในแบบของมัน ไม่ได้ไปแบบมั่วซั่ว มันเลยเพลินไปกับหนังได้ 

เสียดาย

คือ หนังมันดูโปรดักชั่น งานภาพ แบบละครทุนต่ำไป น่าจะไปลงกับนักแสดงเยอะ การดำเนินเรื่อง งานภาพ มันดูไม่จริงจังเกินไป บทมีติดเล่นเยอะไป แล้วขาดความเป็นตัวเองเกิน แต่ตรงงานภาพ แอบรู้สึกถึงกิมมิกบางอย่าง ดอกจันทร์ไว้ตรงนี้

ตัวหนังไปไม่สุดสักทาง แต่ไอตรงที่มันไปไม่สุด มันคือ มาเวย์ด้วย การเมืองด้วย ความรักด้วย ถึงจะไม่สุดแต่มันมีแก่นสาร(เฉยเลยวะ) ก็ผิดจากที่คอดไว้ตอนดูเทเลอร์อยู่นะ ก็เข้าใจว่าทำขายคนไทยก็คงไม่อยากทำอะไรซีเรียสๆ ย่อยยาก เดี๋ยวขายไม่ได้ เทเลอร์มาไงก็ต้องไปแบบนั้น แต่ถ้าเทเลอร์มากรากแบบนั้น แล้วหนังจริงทำจริงจังแบบตลบคนดู ก็ไม่ติดนะ เพราะเท่าที่ดู เนื้อเรื่อง มันดีนะ คือมันไม่ไร้แก่นสารไปมั่วๆ ฟิลแบบมือถือดีๆสักเครื่องแล้วเอาไปใส่เคสกากตดอะไรแบบนั่นอะ ใส้ในมันมาถูกทางแล้ว

มาตรงที่ติดดอกจันทร์ไว้คือ โทนภาพตลอดทั้งเรื่องมันจะสดใสตามสไตล์หนังตลกใช่ปะ แต่พอตอนจบท้ายเรื่องเลย ชอตพระเอกกับนางเอก เออเขาเปลี่ยนโทนภาพวะ แล้วมันจริงจังจัดๆขึ้นมาทันที แบบเหมือนจะมีภาคต่อ แต่รอบนี้ไม่เอาฮาแล้วอะไรแบบนั้น ถ้ามีมาก็ดูอะ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7.5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
5.5
คะแนนเฉลี่ย
6.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
GUEST
Aretha
6 มกราคม 2567 17:51:34
We wish to thank you just as before for the lovely ideas you offered Jesse when preparing her post-graduate research
plus, most importantly, regarding providing every
one of the ideas in a single blog post. In case we had known of your
website a year ago, we would have been kept from the unnecessary measures we
were choosing. Thanks to you. toys for adults
21 ธันวาคม 2566 13:52:01

Reacher ภาคซีรี่ย์ ทำดีมากๆ มี 8ตอน

 รีชเชอร์ ยอดคนสืบระห่ำ เมื่ออดีตสารวัตรทหาร แจ็ค รีชเชอร์ได้ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ เขาได้ตกไปอยู่ท่ามกลางแผนร้ายที่เกี่ยวพันกับตำรวจจอมคดโกง นักธุรกิจที่มีเงื่อนงำ และนักการเมืองคิดไม่ซื่อ เขามีเพียงสติปัญญาเป็นอาวุธ และเขาต้องหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในมาร์เกรฟ รัฐจอร์เจีย รีชเชอร์ ซีซันแรกนั้นสร้างมาจากหนังสือขายดีระดับนานาชาติ เดอะ คิลลิง ฟลอร์ โดย ลี ไชลด์ เข้าไปดูหนังออนไลน์ฟรีที่ FM2PLAY ซีรี่ย์บู๊แอคชั่นสุดมันส์ เมื่ออดีตสารวัตรทหาร แจ็ค รีชเชอร์ได้ถูกจับในข้อหาฆาตกรรมที่เขาไม่ได้ก่อ เขาได้ตกไปอยู่ท่ามกลางแผนร้ายที่เกี่ยวพันกับตำรวจจอมคดโกง

ดูซีรี่ย์ Reacher Season 2 (2023) แจ็ค รีชเชอร์ ยอดคนสืบระห่ำ 2

 

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
7.8
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
20 ธันวาคม 2566 23:10:39

หลังจากที่เลื่อนฉายไปแล้ว 1 ครั้งก็ได้กลับมาฉายก่อนเทศกาลส่งท้ายปีกับ All  Fun and Games ปลุกเกมนรก กับเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งในซาเลมที่บังเอิญได้พบกับกริชและไดอารี่ปริศนาจนต้องพบกับเรื่องราวสุดสยองนองเลือดในที่สุด

จริง ๆ ต้องบอกเลยว่าไปดูเพราะไบแอสตัวนักแสดงล้วน ๆ เลยทั้ง เอซา บัตเตอร์ฟีลด์ (จากซีรีย์ Sex Education) และนาตาเลีย ไดเยอร์ (จากซีรีย์ The Stranger Things) ทั้งสองรับบทเป็นสองพี่น้องครอบครัวเฟลทเชอร์ บิลลี่ เฟลชเชอร์ (รับบทโดยนาตาเลีย) และมาร์คัส เฟลทเชอร์ (รับบทโดยเอซา) จากเรื่องราวที่ทั้งสองต้องรับหน้าที่ดูแลน้องชายคนเล็กตอนที่คุณแม่ออกไปทำงานตอนกลางคืน โดยที่ไม่รู้เลยว่าน้องได้ทำการอัญเชิญปีศาจร้ายจากกริชอาถรรพ์มาเรียบร้อยแล้ว และบังคับให้ทั้งหมดเล่นไปตามเกมของปีศาจ ส่วนตัวคิดว่าเนื้อหาค่อนข้างดำเนินไปอย่างน่าเบื่อและจบได้แบบง่ายเกินกว่าที่คิด ค่อนข้างที่จะคาดไม่ถึงเลยทีเดียว แต่ตัวหนังได้นำเอาบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดมาไว้ที่ตอนต้นเรื่องจนไม่ต้องลุ้นอะไรอีก ลุ้นแค่ว่าในระหว่างทางตัวละครต่าง ๆ ต้องพบเจออะไรบ้างก็แค่นั้น 

ถ้าว่าเรื่องภาพ กราฟฟิกอะไรต่าง ๆ รู้สึกเหมือนไปดูหนังทุนต่ำ มุมภาพเดิม ๆ ที่เจอได้ในหนังสยองทั่วไป แต่ส่วนตัวชอบตอนจังหวะไล่ฆ่าช่วงเกมซ่อนแอบกับเกมไล่จับไฟฉาย มีจังหวะที่ให้ลุ้นตามดีแต่เดาง่ายไปมาก ๆ เหมือนพอถึงช่วงกลาง ๆ เรื่องก็เริ่มเร่งให้จบไป และบทก็ค่อนข้างไม่มีอะไรเลย ไม่มีรายละเอียดอะไรที่น่าสนใจ มีแค่พี่น้องทะเลาะกันประชดกันไปมา ตอนแก้ปมก็เป็นอะไรที่ง่ายเกินแบบมาก ๆ พอตัดจบก็ได้แต่คิดในใจว่า “อิหยังวะนั่น” เสียดายมาก เพราะแอบคาดหวังเอาไว้สูงอยู่เพราะความไบแอสนักแสดงแบบส่วนตัวล้วน ๆ เลย

โดยรวมถือว่าเป็นหนังสยองที่เราค่อนข้างผิดหวังทีเดียว บรรยากาศในเรื่องอะไรก้ใช้ได้ การแสดงของเอซาและนาตาเลียก็ถือว่าแบกพอสมควรแต่ไม่ไหวเพราะบทไม่ส่ง ถ้าถามว่าไปดูฉากไล่ฆ่าเอามันส์ได้มั้ย มันก็ได้แหละแต่ไม่ถึงใจ ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น มีตุ้งแช่บ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะ 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
4
การดำเนินเรื่อง
4
ดนตรีประกอบ
5
ฝีมือนักแสดง
6.5
กราฟฟิก
5
คะแนนเฉลี่ย
4.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
19 ธันวาคม 2566 17:25:57

ส่วนตัวเคยดูหนังจากค่ายนี้มาบ้างก็พอเข้าใจในแนวทางของค่ายอยู่ ค่าย A24 จะขึ้นชื่อเรื่องทำหนังที่ใช้ทุนไม่มาก แต่บางเรื่องนี่ได้กำไรแบบเอาไปสร้างตึกได้ อะไรประมาณนั้น

เรื่องนี้ Dream Scenario เอาจริงๆ รู้สึกยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ อาจจะด้วยความอินดี้นี่แหละ แต่ถามว่าเข้าใจตัวหนังไหม? หนังไม่ได้ทำมาซับซ้อนนะครับ ดูเข้าใจได้ไม่ยาก สนุกบ้างนิดหน่อย มีมุกฮาๆ มาให้เราได้ขยับท้องกันตลอด แต่ที่บอกมันไม่โดนคือ ตัวเนื้อเรื่อง ความดราม่ามันทำมาได้ตรงจุดแล้วนะ แต่ความกระแทก มันยังอัดหน้าไม่สุด มันดึงให้รันทดได้มากกว่านี้ หรือก็คือ มันน่าจะ Impact กับคนดูได้มากกว่านี้ แบบว่า จะเล่นความสัมพันธ์ครอบครัวก็ไม่สุด จะชีวิตรันทดก็ไม่สุด จะเศร้าก็ไม่สุด จะไคลแม๊กซ์ก็ไม่สุด จะเล่นเรื่องความฝันก็ไม่ได้รู้สึกอินกับเรื่องความฝันอะไร ไม่สุดสักทาง 555

ตัวแมสเสจที่เขาจะสื่อมันค่อนข้างชัดเจนนะ แต่วิธีการที่เขานำเสนอมันดูแล้วเบาบางไปหน่อย แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกเลยนะ เรื่องการเสียดสีสังคมอะไรพวกนี้ เขาสื่อออกมาดีแล้ว แต่มันหนักหน่วงได้มากกว่านี้ มันไม่เหมือน ซือเจ๊ ทะลุมิติ ที่ทุกอย่างในหนังมันดูหนักหน่วง อย่างตอนที่ผัวซือเจ๊ตัวธรรมดา ออกมาพูดตอนไคล์แม๊กซ์ อันนั้นเล่นน้ำตาซึมเลย คือตัวละครทุกตัวดูมีบทบาทแล้วไปกับหนัง แล้วพาคนดูไปด้วย พอเรื่องนี้มันเลยกลายเป็นนิโคลัส เคจ ค่อนข้างแบกหนังเลยทีเดียว555 มาพูดถึงนิโคลัสเคจ เอาจริงๆด้วยเนื้อเรื่อง ตัวหนังมันควรเหยียบนิโคลัสไว้แบบรุมกระทืบ ซึ่งเขาก็พยายามทำอย่างนั้นแหละ แต่สิ่งที่ออกมาคือ นิโคลัส โคตรใหญ่ คือใหญ่กว่าหนัง ไม่รู้อธิบายยังไง แต่รู้สึกแบบนั้น น่าจะสรุปได้ว่าหนังมันสู้การแสดงของนิโคลัสไม่ไหว มันเลยกลายเป็นนิโคลัสดูโดดๆ แล้วหนังก็ไม่ได้พาใครไปจุดสุดยอดของการรับชมเลย แต่เอาเป็นว่า ขอชมนิโคลัส เคจ จริงๆ เหมาะสมแล้วที่เป็นรุ่นใหญ่ในวงการ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.2
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
13 ธันวาคม 2566 16:44:53

หนังก็โอเคนะ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
N/A
การดำเนินเรื่อง
N/A
ดนตรีประกอบ
N/A
ฝีมือนักแสดง
N/A
กราฟฟิก
N/A
คะแนนเฉลี่ย
0
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
12 ธันวาคม 2566 22:29:10

Wonka เรื่องราวการเดินทางของวิลลี่ วองก้า ชายหนุ่มนักทำช็อคโกแล็ต นักมายากล นักประดิษฐ์ ที่เราคุ้นชื่อกันดีในบทบาทของวองก้า เจ้าของโรงงานช็อคโกแแลตจากภาพยนตร์เรื่อง Chalie and the Chocolate Factory ครั้งนี้มาในรูปแบบของภาพยนตร์แนวแฟนตาซีมิวสิคคัลที่ดูแล้วใจฟู อิ่มเอมเต็มไปด้วยความฝันไปตลอดทั้งเรื่อง ทั้งยังสอดแทรกมุกตลกที่ชวนให้ยิ้มตลอดทั้งเรื่อง แม้แต่ตัวละครบางตัวที่แค่เห็นหน้านักแสดงคนดูก็ขำกันแล้ว

ส่วนตัวหลังจากที่ได้รับชมแบบที่ไม่ได้คาดหวังเท่าไรนัก แต่พอได้รับชมจริง ๆ ต้องบอกเลยว่ารู้สึกมีความสุขมาก ๆ ในทุกขณะที่ได้รับชม มันมีความอิ่มเอมใจ ยิ้มตามได้ตลอดกับความใสซื่อ น่ารักของ วิลลี่ วองก้า(รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์) ในวัยหนุ่มที่ออกมาผจญภัยกับโลกกว้างอันน่าอัศจรรย์ แม้จะเจอปัญหาระหว่างทางน้อยใหญ่แค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้ความฝันของเขาต้องพังลง  การดำเนินเรื่องถือว่าทำได้เพลินมาก ไม่ช้า ไม่เร็ว เนื้อหาก็ไม่ซับซ้อนสามารถพาเด็กไปดูได้เพลิน ๆ

ว่ากันเรื่องของกราฟฟิกภายในเรื่องถือว่าทำได้โอเคเลยนะ ฉากชวนฝันสุด ๆ เพลงในเรื่องก็เพราะมากส่วนตัวชอบเพลง Pure imagination กับ A Hatful of Dreams ที่สุด ทิโมธีถ่ายทอดออกมาได้จนเรารู้สึกเข้าถึงและอินจัด อยากจะตามไปกับเขาด้วย55 แต่ถ้าเพลงที่ติดหูเราสุดต้อง Oompa Loompa เลย ฟังง่าย ฟังเพลินแถมติดหูออกมาร้องตามไปอีก

โดยส่วนตัวถือว่าเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ส่งท้ายปีที่ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจมาก ๆ ยิ่งดูยิ่งมีความสุข มีจังหวะให้คิดตกผลึกถึงความฝันของตัวเอง ผสมผสานความฮาจากดาวตลกตัวพ่ออย่าง โรวัน แอตคินสัน และคีแกน ไมเคิล คีย์ ที่เราจะคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีจากบทบาทในเรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านมาของพวกเขาการันตีความฮาทุกจังหวะที่เปิดตัวเลยจ้า แต่ไม่ใช่แค่สองคนนี้เท่านั้น คนอื่นก็ไม่ใช่ย่อยเลย กลมกล่อม ครบรส น่าจะเป็นเรื่องแรกในปีนี้ของเราได้เลยที่ดูแล้วยิ้มตามและรู้สึกมีความสุขตลอดทั้งเรื่อง 

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9.5
การดำเนินเรื่อง
8.5
ดนตรีประกอบ
10
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
9.2
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
1 ธันวาคม 2566 22:44:46

ยอมรับตรงๆเลยว่าอารมณ์แบบหลงๆเข้าไปดู เห็นเป็นอนิเมะดนตรี ต้องบอกก่อนเลยว่า ไม่รู้จักเรื่องนี้เลย พอดูจบก็รู้ได้ทันทีว่า อ่าวมันเป็นภาคมาขยายพวกซีรีย์นี่หน่า 

เอาสิ่งที่ไม่ชอบก่อนนะ คือหนังมันสั้นมาก สั้นแบบสั้นเกินอะ เนื้อเรื่องคือมันจะมีงานประกวดดนตรีประจำปี เขาก็ให้ชมรมมาแบ่งวงประกวดกันภายในส่งตัวแทน เรื่องจะถูกดำเนินโดย ท่านประทานชมรม ชื่ออะไรสักอย่างจำไม่ได้ ขอเรียกว่า ฮอนดะ ละกัน เรื่องมันไปโฟกัสอะไรที่มันแบบ น้ำๆ ซึ่งเอาจริงๆชอบนะ เพราะมันได้เห็นตัวละครได้เห็นคาแลคเตอร์ต่างๆ ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ซึ่งทำออกมาได้ดีมาก แต่ให้แอร์ไทม์ตรงนั้นเยอะเกินไปอาจจะเหมาะกับฟังชั่นก์แบบซีรีย์มากกว่า ยิ่งทำมาสั้นขนาดนี้ กลายเป็นว่าเราจะอิน+ลุ้นกับการฝ่าฟันเพื่อได้เป็นวงที่ชนะเลิศ มันหายไปให้ส่วนนี้ ยิ่งตอนจบไม่มีช่วงเวลาแห่งการแข่งขันมาให้ดูอีก มันเลยยิ่งหายไปหมดเลย ตัวหนังมันสั้นมากประมาณ1ชม.ได้มั้ง ถ้าทำมาแบบ1.30 ชม.แล้วใส่พวกการซ้อม ของทีมอื่นด้วย ไปจนถึงวันจริงแล้วมีตอนแข่งกันแบบจัดเต็ม ให้เห็นผลกันว่าที่เรานั่งๆดูกันมาออกมาเป็นยังไง ให้มันไดฟ์เราไปถึงจุดพีคจุดไคล์แม๊กซ์มากกว่านี้ น่าจะเป็นอะไรที่เพิ่มความเป็น cinematic มากๆ เพราะมันคือหนังยาวไม่ได้เป็นซีรี่ย์ตอนๆ มันควรครบองค์ประกอบในเรื่องนี้เลย แล้วเรื่องราวต่อๆไปจะยังไงค่อยว่ากัน

 

แต่เอาเป็นว่า พอดูจบก็รู้เรื่องเลยว่า ต้องไปหามาไล่ดูแล้วละ เพราะด้วยความที่เขาดีเทลคาแลคเตอร์ตัวละครแบบดีเลยละ(ก็ญี่ปุ่นอะเนอะ) มันก็ทำให้คนดูหลงรักตัวละครได้ไม่ยาก ทำให้อยากดูต่อว่า ที่ผ่านมามันเป็นมายังไง ต่อไปจะเป็นยังไง การดำเนินเรื่องที่มีอยู่มันดีมากๆแล้วละ แต่มันขาดส่วนที่บอกไปก่อนหน้านี้เท่านั้นเอง ด้านงานภาพนี่ โอ้โห ดีเลยสวยสมกับเป็นญี่ปุ่นทำจริงๆ ตัวเพลงก็ ซาวด์อาจจะไม่ได้กระหึ่มอะไรมากแต่ก็โอเครเลยนะไม่ได้ติดอะไร อาจจะเป็นเพราะ เนื้อเรื่องเขาไม่ได้ทำวงใหญ่ มากสุดแค่ 8 ชิ้น ซาวด์ประมาณนี้ก็เหมาะสมแล้ว

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7.5
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
7.8
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
29 พฤศจิกายน 2566 20:15:51

Wish พรมหัศจรรย์ ภาพยนตร์แอนิเมชันฟอร์มยักษ์ ฉลองครบรอบ 100 ปีของ Walt Disney โดยฝีมือผู้กำกับร่วมคนไทย คุณฝน วีระสุนทร และ คริส บัคที่มีผลงานกำกับภาพยนตร์แอนิเมชันมากมาย  โดยเรื่องราวบอกเล่าถึงอาช่า หญิงสาวชาวเมืองโรซาจ ที่กำลังจะได้เป็นผู้ช่วยพระราชาแห่งเมืองโรซาจ ผู้ซึ่งเก็บรักษาพรที่ชาวเมืองฝากเอาไว้มากมาย เพื่อที่สักวันนึงราชาจะทำให้พรที่ขอไว้นั้นเป็นจริง 

หลังจากที่เราเองก็รอมานานกว่าหนังจะฉาย กว่าจะมีเวลาว่างไปดูได้ ส่วนตัวแอบกลัวนิดหน่อยเนื่องจากฟอร์มของดิสนีย์ช่วงหลัง ๆ มานี้เองก็ไม่คอยดีเท่าไรนัก แถมกระแสก็ค่อนข้างเงียบทีเดียว แต่หลังจากที่ได้ไปดูจนจบแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่ได้แย่เท่าไรนะ ชอบที่ตัวหนังนั้นใส่ Ester egg เข้ามาเยอะมาก ๆ มีกลิ่นอายของแอนิเมชันดิสนีย์ยุคคลาสสิค ตั้งแต่เปิดเรื่องด้วยหนังสือนิทาน ไปจนถึงบทพูด การออกแบบต่าง ๆ ชวนให้นึกถึง แอนิเมชันยุคคลาสสิคของดิสนีย์หลายเรื่องมาก ๆ ถ้ามาตกผลึกภายหลังจากที่ดูไปแล้วน่าจะเยอะเอาเรื่องเลยแหละต้องสังเกตดี ๆ หรือบางจุดไม่ต้องสังเกตเลยก็ได้ ชัดมาก เป็นปลื้มมมมเลย ใด ๆ คือ น้องดาวน่ารักมากกกกก

ว่ากันเรื่องของสไตล์แอนิเมชันในเรื่องนี้ส่วนตัวรู้สึกไม่ค่อยถูกจริตสักเท่าไร เป็นสไตล์แอนิเมชันแบบผสมผสาน แต่รู้สึกดูจืดไปหน่อย และส่วนตัวรู้สึกว่าเนื้อหาค่อนข้างเรียบง่าย แบบง่ายยยย เลยแหละ เนื้อเรื่องดำเนินไปไม่ช้าไม่เร็ว พอโอเคสำหรับพาเด็ก ๆ ไปดู และในเรื่องเพลงเยอะมากกกก เดี๋ยวเดียวก็ร้องเพลงละ แต่เพลงเพราะมากจริง ๆ ทั้งแบบต้นฉบับภาษาอังกฤษและแบบพากย์ไทย ชอบมาก 

การออกแบบคาแร็คเตอร์ส่วนตัวชอบราชาแม็กนิฟิโต้มาก ๆ ดูเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้ร้ายมาตั้งแต่แรก แต่ร้ายเพราะความกดดันที่ปูเอาไว้เกี่ยวกับอดีตที่ผ่านมาของตัวละครและโดนครอบงำจนไม่สามารถกลับมาเป็นคนเดิมได้ แม้จะได้รับคำเตือนก่อนแล้วก็ตาม แล้วก็คาแรคเตอร์เพื่อนนางเอกที่มี Ester egg คาแรคเตอร์ของคนแคระในเรื่องสโนว์ไวท์มาจนครบเลย แถมตอนร้องเพลงกับเพื่อน ๆ ก็เป็นเพลงที่เราชอบมากที่สุดด้วย ชอบจังหวะเปอร์คัสชั่นของเพลง

โดยรวม แอนิเมชัน Wish พรมหัศจรรย์ที่เป็นแอนิเมชันฟอร์มยักษ์ฉลองครบรอบ 100 ปีของ Walt Disneyนั้น ส่วนตัวชอบที่ใส่ Ester egg มาเยอะมาก ๆ ได้กลิ่นอายความคลาสสิคของดิสนีย์ยุคเก่าเต็ม ๆ ดูจบแล้วรู้สึกมีความสุข ได้รับแรงบันดาลใจ พลังใจเยอะมาก ๆ ถ้าเข้าแอพสตรีมมิ่งดิสนีย์พลัสแล้วเราคงวนดูซ้ำอีกรอบเหมือนกัน อยากฟังเสียงคริส ไพน์ (ผู้ให้เสียงพากย์ ราชาแม็กนิฟิโก้) ชัด ๆ อีกรอบ

 

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
9.5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.6
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
29 พฤศจิกายน 2566 11:15:42

จักพรรดินโปเลียน (Napoleon) ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ฟอร์มยักษ์ที่บอกเล่าเรื่องราวในช่วงชีวิตของ นโปเลียน โบนาปาร์ต (รับบทโดยวาคิน ฟีนิกซ์) นายพลหนุ่มผู้มีความทะเยอทะยานไต่เต้าจนได้สถาปนาตนเป็นจักพรรดิแห่งฝรั่งเศษ ผลงานกำกับของริดลีย์สก็อต ผู้สร้าง Gladiator  โดยเรื่องราวในภาพยนตร์นั้นจะถ่ายทอดทั้งชีวิตรักของเขากับโจเซฟิน (นำแสดงโดยวาเนสซา เคอร์บี้)  การเป็นผู้นำสงครามและปราบกบฏในฝรั่งเศษของนโปเลียน จนกระทั่งได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศษ 

ส่วนตัวก่อนไปดูก็มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของนโปเลียน โบนาปาร์ตไม่ค่อยแน่นเท่าไรนัก แต่ก็พอจะรู้เรื่องสมรภูมิต่าง ๆ ที่นโปเลียนไปนำการรบมาบ้าง ต้องบอกเลยว่าฉากสงครามในภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างอลังการมาก และค่อนข้างโหดทีเดียว มีเลือดสาด ระเบิดเครื่องในม้าแบบชัดเจน เนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ชีวิตโดยรวมของนโปเลียน ในพาร์ทความรักเราจะได้เห็นนโปเลียนในอีกมุมหนึ่งที่เป็นพ่อหนุ่มคลั่งรักโจเซฟินมาก มีความเป็นเด็กน้อยอ้อนเมีย ขาดเธอไม่ได้หัวใจขอสารภาพ (ฮาาา)  แม้แต่ตอนเปิดพาร์ทของแต่ละสมรภูมิรบยังมาในรูปแบบของการอ่านจดหมายรักถึงโจเซฟิน

การนำเสนอเนื้อหาทางประวัติศาสตร์นั้นค่อนข้างที่จะมีความตรงไหนตรงมา ดำเนินเรื่องไม่ช้า ไม่เร็วจนเกินไป ถือว่ากำลังดี และย่อยง่ายเลยทีเดียวสำหรับภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ งานโปรดัคชั่น เสื้อผ้า หน้าผม เซ็ทติ้งในยุคนั้นก็ทำออกมาได้ดี ตอนดูยังอินยังกับหลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องด้วยเลย อลังการมาก  ส่วนตัวชอบโจเซฟินเป็นพิเศษ วาเนสซา เคอร์บี้สามารถแสดงออกมาได้ดูมีเสน่ห์ ดึงดูดสายตา ไม่ได้ตกได้แค่นโปเลียนคนเดียวนะ ตกเราไปด้วยเลย สวยมีเสน่ห์มาก ๆ และการแสดงของวาคิน ฟีนิกซ์เองก็บอกได้เลยว่าทุ่มเทมาก ๆ เป็นการแสดงทีทรงพลัง และดูมีอำนาจจริง ๆ 

หลังจากที่ได้ดูภาพยนตร์ จักรพรรดินโปเลียน (Napoleon) จนจบนั้น โดยส่วนตัวแล้วชอบมาก ทั้งการดำเนินเรื่อง ฉากสงครามที่อลังการ ได้เห็นกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำสงครามสัมยนั้น  การเล่าเรื่องที่แฝงความตลกไว้  ส่วนตัวไม่มั่นใจความเป๊ะในเนื้อหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เท่าไร แต่ถ้าดูเพื่อความบันเทิงอย่างเดียวถือว่าโอเคเลย ไม่แย่เลย แถมพากย์ไทยก็ทำได้ดีมาก ๆ ด้วย  ส่วนตัวเดี๋ยวจะไปดูซาวด์แทร็กซ้ำอีกรอบแน่นอน

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
8.5
ดนตรีประกอบ
8.5
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
8.4
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
4 ธันวาคม 2566 16:22:26
น่าไปดูจังเลย
20 พฤศจิกายน 2566 16:02:19

หยางเจี่ยน อนิเมชั่น 3D สุดอลังการจากประเทศจีน 

ด้านบทหนังต้องบอกเลยว่า ไปดูโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่อยากรู้ว่าอนิเมชั่นจีนเป็นยังไง ตอนดูจบรู้สึกว่า สนุกนะ แต่บทมันยังดูจับต้นชนปลายอะไรไม่ค่อยถูก มันดูยัดๆ เข้ามาไปนิดนึง และบางอย่างที่ยัดมามันก็ดูไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ เลยรู้สึกว่าถ้ามันมาเป็นซีรีย์น่าจะดีกว่ามากๆ เลยเพราะทั้งเนื้อเรื่องทั้งคาแรคเตอร์ตัวละครที่น่าสนใจแทบทุกตัวทำออกมาได้ดีมาก พอตอนจบถึงได้รู้ว่า อ่อ เขามีจักรวาลของเขามาหลายเรื่องแล้ว เลยคิดว่าต้องไปตามแล้วล่ะ ถ้าดูเป็นหนังเดี่ยวๆ อาจจะยังรู้สึกขาดๆ เกินๆ อยู่บ้าง เช่น ทีมหยางเจี่ยนที่มีบทน้อยมากทั้งที่ดูสำคัญได้กว่านี้ เป็นต้น แต่รวมๆ ถือว่าสนุก และเพลิดเพลินกับงานภาพกับคาแรคเตอร์ตัวละครดี ที่สำคัญถ้าไปดูในโรงน่าจะดีกว่าเพราะงานภาพเขาถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ  ดีเทลต่างๆ มีความละเอียดสูงมากๆ พี่จีนเขาไปไกลกว่าเรามากจริงๆ แต่ก็นะ ทุนเขาหนากว่าเรา ของไทยเราก็ถือว่ามาได้ไกลแล้วและต้องไปต่อเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มีสักวันเอง กลับมาที่หยางเจี่ยน ถึงงานภาพจะออกมาดีมากๆ แต่การเคลื่อนไหวยังแอบมีติดๆ เล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสในการรับชมเสียไป เพราะเอาสมองไปเพลิดเพลินกับการออกแบบคาแรคเตอร์ตัวละครที่เรียกได้ว่า เท่ทุกตัว จนอยากจะดูเรื่องที่มีบทของตัวพวกนั้นแบบเยอะๆ กว่านี้ เช่นทีม หยางเจี่ยน (รวมตัวโจรที่โดนหยางเจี่ยนจับตอนแรก ที่แทบไม่มีความสำคัญอะไรเลย) ,ทีมตำรวจยักษ์ ,สำนักอาจารย์ ,นายพล กองสุนเป้า (อะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ แต่รู้ว่าตัวนี้ถ้ามีบทเยอะมันต้องเท่มากแน่นอน) 

รวมๆ ปัญหาคือ เรื่องเนื้อมันดูยังขาดๆ เกินๆ เพราะอาจจะต้องติดตามทุกเรื่องในจักรวาลถึงจะเก็ททั้งหมด กับพวกงานภาพเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่มันไม่ค่อยเมคเซนส์เลยเทคโนโลยีในหนัง สรุปจะไฮเทคทะลุมิติแต่ยังใช้หอกสู้ หรือจะอะไร ?? กับอีกอย่างคือเรื่องภาคไทย ซาวด์มันแปลกๆ มากมันเหมือนมีอะไรแยงหูตลอดน่าจะอยู่ที่การมิกซ์เสียง กับบทพากย์ อ่านในสปอย....

คลิกเพื่อซ่อนหรือแสดงข้อความ
 

สรุปคือ หยางเจี่ยนเป็นพี่ชายของแม่ตัวร้าย (ซึ่งจริงๆเป็นตัวดีตอนจบ) แต่ตัวร้ายเรียกหยางเจี่ยนว่า น้า จริงๆมันต้องเป็นลุงไม่ใช่หรอ? หรือผมเข้าใจผิดเองว่าน้าคือน้องชายแม่ 555 หรือบทที่เขาแปลมาให้มันเป็นอย่างนั้น อันนี้ไม่รู้ แต่มันขัดใจเล็กน้อย บทก็ดูจะยัดๆ มุกเข้ามามากเกินไปพยายามให้เหมือนพันธมิตรพากย์ ซึ่งอาจจะโดนบีฟมาแบบนั้น ใจจริงอยากดูเสียงจีนมากกว่า แต่ก็ไม่เป็นไร อันที่ฮาก็มี

แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือมันดีเลยละ ดูสนุก เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี เพลงเพราะดี บางเพลงนี้ แต่โดนรวมคือ เพลงไม่ถูกจริตเท่าไหร่ แต่มันแล้วแต่คนชอบ

แต่มีเพลงที่ชอบมากๆ คือเพลงนี้

https://www.youtube.com/watch?v=7psk28qCWWY

 

แนะนำให้ดูในโรงครับเรื่องนี้

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
7.7
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
2 พฤศจิกายน 2566 22:00:26

จากตำนานไวรัลสุดสยองในทวิตเตอร์(ปัจจุบันคือ X)เมื่อหลายปีก่อน ถ้าใครยังจำกันได้ที่อดัม เอลลิส นักเขียนการ์ตูนออนไลน์ประจำเว็ปไซต์ Buzzfeed ได้โพสต์เรื่องราวที่ตัวเขาได้พบเจอในอพาร์ทเม้นท์ของเขาเกี่ยวกับเด็กหัวบุบเดวิดที่จู่ ๆ ก็เข้ามาหลอกหลอนในชีวิตเขา ที่โด่งดังมาก ๆ จนในที่สุดก็ได้นำมาทำเป็นภาพยนตร์ โดยเรื่องราวในภาพยนตร์ก็ไม่ได้มีเรื่องราวที่แตกต่างไปจากที่เคยได้รู้มาจากการโพสต์ของตัวอดัมเองเท่าไรนัก แต่ได้มีการใส่เรื่องราวขยายความให้มีที่มาที่ไปและเพิ่มเติมความหลอน เสริมความสยองขวัญมากขึ้น ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วแม้จะบอกว่าเป็นการสร้างจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง แต่เราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าจริง ๆ แล้วนั้นเรื่องราวของเด็กหัวบุบเดวิดที่ว่านั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่กันแน่ 

ในด้านของงานภาพในตัวภาพยนตร์ Dear David ตามหลอก ตามหลอน มีความสวยทันสมัยด้วยเพราะเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นเองนั้นก็ผ่านไปไม่กี่ปีที่ผ่านมา  แต่มุมมองภาพที่ดำเนินเรื่องก็ไม่ได้แปลกใหม่เท่าไร มีการเสริมแอนิเมชันทำให้ดูน่าสนใจ แต่ก็ค่อนข้างธรรมดา ตัวบทเองก็มีการเสริมเรื่องราวของเด็กชายเดวิดให้มีที่มาที่ไปมากยิ่งขึ้น มีการเล่นมุกตลก เล่นมีมแทรกเข้ามาให้ฮาบ้างเป็นบางช่วง การแสดงของนักแสดงนำอย่าง ออกัสตัส พริว ที่รับบทเป็นอดัม เอลลิส ก็สามารถแสดงออกมาได้เต็มที่แหละ ตามมาตรฐาน

ในส่วนของเอฟเฟค ส่วนตัวรู้สึกไม่อินอย่างแรงยิ่งตอนจบเจ้าผีเดวิดออกมาโชว์ตัวเต็ม ๆ ส่วนตัวนี่ไม่ค่อยชอบเท่าไร ดูแปลก ๆ แต่กราฟฟิกอื่น ๆ ก็พอโอเคเลย และในฉากที่ควรหลอนก็ไม่ค่อยน่ากลัว จริงอยู่ว่ามีการจั๊มสแกร์ให้พอได้สะดุ้งบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนมากเป็นฉากที่มักจะไม่มีอะไรเลย ในขณะที่บางฉากก็ลุ้นว่าจะมีอะไรให้หลอน หรือจั้มสแกร์โผล่ออกมาก็ไม่ใช่ไม่มี แต่มันไม่ถึงขั้นจะทำให้ตกใจ หรือหลอนขนหัวลุกได้เลย (ทั้งที่เกร็งตัวรอนานมาก 55) บางช่วงบางตอนของตัวหนังก็มีช่วงที่ทำให้รู้สึกเบื่อขึ้นมาด้วย แม้จะมีความยาวเพียง 95 นาทีก็ตาม 

โดยรวมภาพยนตร์ Dear Devid ตามหลอก ตามหลอน ส่วนตัวที่อยากดูมาก ๆ ในตอนแรกเพราะอยากจะรู้ว่าตัวหนังจะถ่ายทอดเรื่องราวที่เคยติดตามตอนเป็นไวรัลในทวิตเตอร์ (ปัจจุบันคือ X) ออกมาให้น่าติดตามได้อย่างไรนั้น พอได้รับชมจริง ๆ ก็แอบผิดหวังเล็กน้อยละนะ ถ้าจะดูเพลิน ๆ ก็ถือว่าพอโอเคแหละ ไม่ค่อยหลอนมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
6.5
ฝีมือนักแสดง
6.5
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
6.6
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
1 พฤศจิกายน 2566 20:37:55

ข้อเสียใหญ่ๆของเรื่อง เพื่อน(ไม่)สนิท

1.ผิดที่ อาจจะไม่เหมาะกับจริตคนไทย แต่ก็ไม่แน่นะ วันนี้ที่ไปดูคือ คนเต็มโรง แต่อาจจะเป็นเพราะลดราคา ต้องรอดูต่อไป

2.ผิดเวลา การเอาฉายชนกับหนังกระแส

3.การโปรโมทมันไม่เท่าเขา เลยเป็นกระแสไม่มาก พอไม่มาก มันไม่ติด ก็ไม่ได้ไปต่อ

 

หนังดี GDH มันก็จะมีความดีคงเส้นคงวา เหมือนเรื่องก่อนๆ การดำเนินเรื่องมันก็จะมีความเป็นค่ายนี้อยู่บ้าง แต่เชื่อเถอะ มันไม่เหมือนเรื่องก่อนๆหรอก มีหลายๆคนบอกตอนตัวอย่างออกว่า มันไปเหมือน dear evan hansen ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะไม่เคยดูแต่...... ถ้ามันไม่เหมือน อันนี้จะเป็นอีกเรื่องนึงที่บทหนังดีมากๆ สมควรแล้วที่สมาคมส่งไปชิงออสก้า หนังมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากนะ มันเป็นหนังเกี่ยวกับเด็ก ม.ปลาย Coming of age แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นในหนังมัน บีบคั้นและเป็นผู้ใหญ่มากๆ โดยเฉพาะคู่โจ... บทเรื่องนี้มันค่อนข้างรัดกุมมากเลยทีเดียว แล้วดูลื่นไหลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งแต่ต้นจนจบ การพัฒนาการเติบตัวของตัวละคร ทำให้เราผูกพันได้แม้กระทั่งตัวประกอบ รู้สึกอิน รู้สึกจุก ในหลายๆโมเม้นท์ และรีวิวไหนที่บอกว่า หนังไม่มีอะไรให้น่าจดจำ รีวิวนี้บอกเลยว่า หนังมีอะไรให้เราจำเยอะมาก โดยเฉพาะ ความรักของคู่โจ ที่มีแอร์ไทม์แต่นิดเดียวไม่ถึง5เปอร์เซ็นต์ของเนื้อเรื่องเลยมั้ง แต่มันทั้งซึ้งทั้งเศร้าจุกอก บางรีวิวก็บอกการบอกว่าโจตายแล้วตั้งแต่ต้นเรื่องเป็นข้อเสีย เราขอบอกเลยว่า หนังเรื่องนี้ เป็นแบบนี้ มันสมบูรณ์แบบแล้ว ตอนก่อนดูเราเดาไม่ออกว่าหนังจะเป็นไปยังไง แต่พอดูไปเรื่อยๆพอจะเป็น แบบนี้ อ่า เราจะรู้ละเดี๋ยวมันจะอย่างนี้ต่อ ..ไม่ใช่เพราะบทมันเดาง่าย(มันก็ไม่ได้เดายาก เออ มันเดาได้แหละ55) แต่เดาได้เพราะเราอินกับเนื้อเรื่องกับบทพูดกับตัวละครไปแล้ว โดยเฉพาะ คาแรคเตอร์ตัวละครแต่ละตัวที่ชัดมากๆ(แม้กระทั่งตัวรอง) พอดูไปจนถึงจุดนึง เราจะเดาตอนจบออกละว่ามันจะเป็นประมาณนี้ ก็เพราะว่า ตัวละครเป็นแบบนี้ รู้สึกแบบนี้มา แล้วเราอินไปกับเขา เรารู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ เช่น พระเอกเป็นตัวที่รู้สึกผิดตั้งแต่รร.เก่า ก็จะมีการตัดสินใจในแบบนี้ๆๆ อะไรประมาณนั้น

รวมๆคือ ไม่รู้จะติอะไรมันค่อนข้างสมบูรณ์แบบ และเป็นหนังไทยที่พูดได้เต็มปากว่า เอออันนี้เขาทำหนังดีออกมาให้เราดูจริงๆ ภาพสวย ความเป็นซินิมาติก ความบทพูด ความธรรมชาติ ความเบียว ความรู้สึกต่างๆมันมาครบจบในเรื่องนี้จริงๆ เอาคะแนนไปเลย9.9/10 หักตรง เดาออกว่ามันจะยังไง แต่ก็นะ มันสมบูรณ์แล้ว

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9.5
การดำเนินเรื่อง
10
ดนตรีประกอบ
9.5
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
10
คะแนนเฉลี่ย
9.8
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
1 พฤศจิกายน 2566 10:59:25

มันกระแสดีเพราะหนังดี หรือ หนังดีเพราะกระแสดี?

 

ธี่หยด 

อ่านว่า ที่ - หยด แต่ผมอ่านว่า ที - หยด บางคนอ่านว่า ถี่หยด

เอาเรื่องย่อก่อนนะ

คือมีบ้านครอบครัวนึง เป็นเจ้าของไร่ พ่อป็นคนจีนว่ายน้ำข้ามทะเลมา ส่วนแม่เป็นคนไทย มีลูกชายสาม หญิงสาม เรื่องชื่อจำไม่ค่อยได้ แต่จำพี่คนโตสุดได้ ชื่อยักษ์ พี่ยักนี่ไม่อยู่บ้าน เพราะไปเป็นทหาร วันนึงน้องสาวคนกลางเกิดป่วยขึ้นมา เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ยักษ์ได้กลับมาที่บ้าน จึงเกิดเป็นเรื่องราวใน ธี่หยด

 

เปิดเรื่อง ด้วย ฉากในอดีตของผู้เคาะร้ายรายนึง ซึ่งจะเป็นฉากที่ทำให้คนดูรู็ว่า อ่าา ธี่หยด มันจะน่ากลัวแบบนี้นะ คนที่โดนอะ แต่พอดูไปทั้งเรื่อง แล้วนึกย้อนไปฉากนี้ เราว่า มันเปลืองแอร์ไทม์ไปนะเพราะมันไม่ได้ผูกกับตัวละครในเรื่องหลักอะไรเลย หรือเราดูพลาดไปเอง ถ้าเป็นแบบนั้น ขออภัย แต่ถ้ามันไม่ได้ผูกอะไรเลยจริงๆ นี่มันเปลืองเวลาจัดเลยนะ แต่..... มันมีอะไรที่เปลืองๆตลอดทั้งเรื่องยิ่งกว่านี้อีกเยอะ

ยกตัวออย่าง มันเป็นฉากแบบ สองมุมมอง หนังโชว์มุมมองแรกของพี่สาวกับน้องสาวหลบในบ้าน แล้วนอกบ้านพี่ชายสามคน มีเรื่อง มีเสียงปืน พอจบปุ๊บ พี่สาวก็เดินมาถาม แล้วมันก็ตัดไปภาพพี่ๆออกไปยิงข้างนอกแบบ นานเลยน่าจะเอามารีใหม่ทั้งปื้ด เสร็จแล้วก็กลับมาที่ฉากนั่งคุย ผมนี่ อ่าว เมื่อกี้คือรีทั้งปื้ดจริงด้วย เพราะ.... ฉากที่ออกไปยิง มันไม่มีอะไรเลยอะ มันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นว้าวอะไรมาก คือถ้าจะรี(แฟลชแบ็ค)ใหม่หมดขนาดนั้น มันต้อง เหมือนคนดูต้องได้กุญแจดอกใหม่ ใหญ่ๆแล้ว แต่ก็ไม่เลย ยกตัวอย่างแค่นี้พอเพราะมันจะมีอีก เช่นเรื่องว่า เราไม่ผูกพันธ์กับตัวละครเท่าไหร่ ตัวละครพี่น้องเยอะเกินไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ เช่น "ยอด" ไม่รู้สึกผูกพันธ์กับไร่ อะไรหลายๆอย่างมันเลยทำให้เราไม่เชื่อ 

เรื่องบทพูด อันนี้แบบ มันดูละครเกินไป แบบมากๆ อีกอันนึงคือบทยายช่วยที่แบบ ไม่มีที่มาที่ไปให้ผูกพันธ์ จริงๆซีนเปิดเรื่อง ถ้าโยงกับยายช่วยนี่ดีเลยนะ เอาจริงๆ เรื่องนี้ยายช่วยน่ากลัวกว่าผีอีก แต่แอร์ไทม์แบบว่า ไม่ให้เขาเลย เรื่องซาวด์ประกอบ ตัวซาวด์การมิกซ์อะ ดี แต่การดีไซน์เราว่า คนไทยทำมันยังมีปัญหาเรื่องการคิดธีมที่ติดหูจริงๆ เอาหลอนหูแบบ สควิดเกม แบบนั้นอะ เปิดมากี่ทีก็จำได้เลยว่า สควิดเกม แต่ของเรื่องนี้ยังไม่รู้สึกอะไรแบบนั้นกับเพลงประกอบ เหมือนเป็นแค่ซาวด์ปึ้งปั้งประกอบเฉยๆ

เอาเป็นว่าพอหอมปากหอมคอ รีวิวอาจจะขัดใจกระแสสังคม ต้องบอกว่ามันเป็นแค่ในมุมของเราเท่านั้น จริงๆก็อยากให้ไปพิสูจน์เอง แต่ไม่อยากให้คาดหวังเกินไป มันก็มีข้อดีอยู่บ้างแหละ อ่ะภาพสวย เพลงพี่กานต์ The parkinson เพราะมาก ถ้าหนังทำให้เราอิน เพลงมันจะเพราะขึ้นไปอีกหลายเท่าเลย

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
6
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
6.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
13 ธันวาคม 2566 16:33:56
Ok kub
25 ตุลาคม 2566 22:00:30

Killer of the Flower moon ภาพยนตร์เต็งรางวัลจากผลงานกำกับของมาร์ติน สกอร์เซซี กับความยาวหนังกว่า 3 ชั่วโมง เรื่องราวของชนเผ่าโอเสจที่ค้นพบน้ำมันในพื้นที่โอคลาโฮม่าในช่วงปี 1920 ทำให้กลายเป็นชนเผ่าที่รวยขึ้นมาแบบน่าจับตามองจนคนผิวขาวเริ่มเข้ามาตั้งรกรากและใช้ชีวิตปะปนกับคนพื้นเมืองมากขึ้น รวมถึงเริ่มมีการแต่งงานเพื่อหวังผลประโยชน์จากคนพื้นเมืองสายเลือดแท้ จนกระทั่งเกิดเหตุมีการฆาตกรรมชาวโอเสจตายไปทีละคน ๆ โดยไม่มีการสืบสวนใด ๆ จนรัฐบาลกลางที่ได้รับการร้องเรียนจากชนเผ่าโอเสจที่เดินทางไปเข้าพบต้องส่งหน่วยสืบสวนเอฟบีไอเข้ามาไขปริศนาทั้งหมด 

ต้องบอกเลยว่าด้วยความยาวของหนังกว่า 3 ชั่วโมงนั้น เล่นเอาเมื่อยไปพอสมควร แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิง สามารถดึงดูดตัวเราเองให้อยู่ดูจนจบได้เพลินมาก ๆ อีกทั้งยังรวมเหล่านักแสดงชั้นนำเอาไว้ทั้ง ลีโอนาโด ดิคาพริโอ (แสดงเป็น เออร์เนส เบิร์กฮาร์ท) โรเบิร์ต เดอ นี่โร (แสดงเป็น วิลเลียม เฮล) ที่สามารถแสดงออกมาได้ทรงพลังมาก เข้าถึงอารมณ์สุด ๆ ส่วนตัวรู้สึกได้รับความกดดันที่ตัวลีโอนาโด้แสดงออกมาจากบทบาทของเออร์เนส ที่ต้องแบกรับปัญหาเอาไว้จนเผลอเครียดตามไปเฉยเลย อินมาก ยิ่งฉากที่เออร์เนสเสียใจจนแทบใจจะขาดนี่เกือบจะร้องไห้ตาม ตัวหนังแสดงนำหญิงอย่าง ลิลลี่ แกลดสโตน (แสดงเป็นมอลลี่ เบิร์กฮาร์ท) ก็ทรงพลังมาก ๆ ฉากป่วยจัดจนเพ้อถึงขนาดตาลอยจนเชื่อไปเลย 

การเล่าเรื่องของตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างจะเล่าไปเรื่อย ๆ เพลิน แต่มีชั้นเชิงทำให้ไม่น่าเบื่อ เพลงประกอบเข้ากันกับยุคสมัย องค์ประกอบงานภาพ มุมกล้อง งานศิลป์ในเรื่องสวยงามมาก แต่ส่วนตัวรู้สึกว่ามีบางช่วงที่แอบรู้สึกยืด ๆ ไปนิดหน่อย มีช่วงที่ทิ้งภาพไว้นาน ส่วนตัวรู้สึกแอบลุ้นนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีอะไร แค่ทิ้งภาพไว้เฉย ๆ เผลอคิดว่าบางฉากอาจจะมีสัญญะอะไรบางอย่างบ้างมั้ย แต่จริง ๆ ตัวหนังเล่าเรื่องค่อนข้างจะตรงไปตรงมา ตีแผ่เบื้องหลังการฆาตกรรมสังหารหมู่ชาวโอเสจออกมาได้เข้าใจง่ายดี

โดยส่วนตัวคิดว่าหลายคนอาจจะกลัวด้วยคิดว่าเป็นหนังชิงรางวัลอาจจะดูอยากไหม ส่วนตัวคิดว่าดูไม่ยากเท่าไรนะ ไม่ได้ลึกมากขนาดนั้น ค่อนข้างจะตรงไปตรงมาด้วยซ้ำ สำหรับเราถือว่าดูง่าย เพลิน ๆ เลยแหละ แต่หนังยาวมาก ต้องอดทนนิดนึง แถมไม่ค่อยโปรโมทหนักเท่าไร โรงฉายก็ค่อนข้างจำกัด มีโอกาสคิดว่าถ้าได้ไปดูในโรงจะดีมาก ๆ เลยแหละ

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9.5
การดำเนินเรื่อง
9.5
ดนตรีประกอบ
8.5
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
9.5
คะแนนเฉลี่ย
9.4
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
15 ตุลาคม 2566 16:13:39

It Lives inside ขังปีศาจคลั่ง เรื่องราวของสมิตา หรือแซม เด็กสาวชาวอินเดียที่มีครอบครัวและใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกามาตั้งแต่เด็ก พยายามอย่างหนักที่จะปรับตัวเพื่อเข้ากับสังคมเพื่อนให้ได้ ภายหลังจากที่เธอได้เจอกับเพื่อนเก่า ทามิร่า ทำให้เธอได้พบกับความน่าสะพรึงบางอย่างที่เพื่อนของเธอพามาด้วยและจะตามหลอกหลอนเอาชีวิตพวกเธอให้ได้ 

ในส่วนของเนื้อหาของภาพยนตร์ It lives inside ขังปีศาจคลั่ง ส่วนตัวรู้สึกว่าพล็อตมีความน่าสนใจมาก เนื่องจากเป็นการนำวัฒนธรรมอินเดียมานำเสนอในมุมมองของเด็กสาวที่ต้องเติบโตในสังคมต่างแดนแต่ก็ยังต้องปฏิบัติตัวตามวัฒนธรรมเดิมของครอบครัวไปด้วย ตัวหนังก็ต้องพยายามที่จะเสนอออกมายังไงให้ไม่น่าเบื่อ ซึ่งคิดว่าตรงนี้ตัวบทยังคงไปไม่ถึงจริง ๆ ตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องเป็นต้นมามีความน่าเบื่อพอสมควรเลย ดูรอบดึกด้วยยิ่งง่วงไปกันใหญ่ทั้ง ๆ ที่เป็นหนังสยองขวัญ น่าเสียดายมาก  งานเอฟเฟค งานภาพ มีความสวยงามตามมาตรฐานในปัจจุบัน โดยรวมไม่ได้มีความหวือหวาแปลกใหม่อะไรเท่าไรนัก แต่ชอบที่เล่นกับฉากมืด ๆ แล้วไม่มืดเกินไปจนรายละเอียดจมหมด แต่ส่วนตัวคิดว่าคงไม่ดูซ้ำ เพราะแค่ครั้งเดียวก็เล่นเอาง่วงไปหลายตลบเลย มีการเล่นจัมสแกร์เล็กน้อย พอให้สะดุ้งบ้าง เบา ๆ ในส่วนของการแสดงของนักแสดงนำถือว่าทำเต็มที่กันมาก แต่บางอารมณ์ก็รู้สึกอินตามได้ไม่สุดเท่าไร อาจเพราะด้วยเสียงพากย์ที่บางจุดก็ไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้ ทำให้มันดูมากเกินไปจนขัดอารมณ์ไปหมด ด้วยความที่รอบค่อนข้างน้อย มีให้ดูแต่พากย์ไทย ก็เลยไม่ได้สัมผัสเสียงจริง ซาวด์แทร็กอาจจะดีกว่า ได้อารมณ์กว่า

โดยรวมแล้วภาพยนตร์ it lives inside ขังปีศาจคลั่ง เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ส่วนตัวแล้วคิดว่ามีพล็อตที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวแต่ยังไม่สามารถทำให้เรารู้สึกถึงอารมณ์ของหนังได้สักเท่าไร ค่อนไปทางชวนง่วงเลยทีเดียวมีฉากการไล่ล่าของปีศาจแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกกดดันหรืออยากเอาใจช่วยตามได้เท่าไรนัก น่าเสียดาย คิดว่าคงไม่ดูซ้ำอีก 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
4
การดำเนินเรื่อง
4.5
ดนตรีประกอบ
5
ฝีมือนักแสดง
6
กราฟฟิก
5.5
คะแนนเฉลี่ย
5
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
10 ตุลาคม 2566 15:38:31

The Exorcist: Beliver ผู้ศรัทธา ภาพยนตร์สยองขวัญภาคต่อของ The Exorcist 1973 (พ.ศ.2516) กับเรื่องราวของเด็กสาวสองคนอย่าง แอนเจล่า (รับบทโดย Lidya Jewett) และเคทเธอลีน ( Olivia O’niel)  พวกเธอเป็นเพื่อนสนิทกัน ทั้งสองหายไปในป่าอย่างลึกลับถึง 3 วันกว่าจะหาตัวจนเจอที่โรงนาที่ห่างไกลจากบ้านถึง 30 ไมล์และพบว่าพวกเธอทั้งสองคนได้พาบางสิ่งบางอย่างกลับมาด้วย

ต้องขอบอกก่อนเลยว่าภาพยนตร์ The Exorcist: Beliver ผู้ศรัทธา ภาคต่อของ The Exorcist 1973 (พ.ศ.2516) นี้เป็นเรื่องราวที่มีจุดเชื่อมโยงจากภาคแรกมาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการให้ตัวหนังสามารถยืดหยัดได้ด้วยตัวเอง แต่ในจุดนี้ทำให้เราเองที่ไม่ได้ดู The Exorcist 1973 (พ.ศ.2516) ก็แอบงุนงงกับจุดที่หนังไม่ได้บอกด้วยเล็กน้อย อย่างเช่นตัวตนของปีศาจที่มาสิงเด็กทั้งสอง จุดประสงค์ของปีศาจ และอีกอย่างคือจุดที่ตัวหนังปล่อยไว้ไม่ได้ขยายมากถึงความต้องการของแอนเจล่าที่อยากจะติดต่อกับแม่ของเธอสักเท่าไรนัก ในส่วนนี้เราก็เลยไม่ค่อยอิน ตัวหนังไม่ได้มีความหลอนมากมายอะไร ไม่มีผี ไม่มีลูกเล่นที่น่าสนใจ มีการจั้มสแกร์บ้างพอกรุบกริบไม่มากไม่น้อย แต่ชอบจังหวะจั้มสแกร์ของหนังเรื่องนี้อยู่ ส่วนตัวคิดว่าเนื้อเรื่องดำเนินไปค่อนข้างช้าในช่วงแรก บางจุดก็ไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้ ค่อนข้างน่าเบื่อไปหน่อย มีแอบง่วงบางช่วงด้วย  ในเรื่องของเมคอัพเอฟเฟคของเด็ก ๆ บอกเลยว่าทำได้น่ากลัวและออกมาคล้ายกับภาคแรกพอสมควรด้วยคิดว่าน่าจะเป็นความตั้งใจของทีมงาน แต่เอฟเฟคบางช่วงก็ทำให้ปวดหัวใช่ย่อยเลย ตัวนักแสดงก็ถือว่าแสดงออกมาได้เต็มที่มาก ๆ โดยเฉพาะน้องทั้งสองคนที่รับบทโดนปีศาจสิงใส่ จัดเต็มกันสุด ๆ แต่เอาจริง ๆ นี่ไม่ค่อยชอบบทบาทของบาทหลวงเท่าไรนะ ง่ายเกิ๊น  โดยรวมแล้วส่วนตัวคิดว่า The Exorcist: Beliver ผู้ศรัทธา มีเนื้อหาที่ค่อนไปทางน่าเบื่อ ดูแล้วไม่ค่อยอินตามเท่าไร ลูกเล่นน้อย ไม่ถึงอารมณ์สักทางเลย จะดราม่าก็ไม่อิน จะสยอง จะหลอนก็ไม่สุดจริง ๆ

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
5
การดำเนินเรื่อง
4.5
ดนตรีประกอบ
5
ฝีมือนักแสดง
7
กราฟฟิก
6
คะแนนเฉลี่ย
5.5
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
1 ตุลาคม 2566 17:06:59

Saw X ชำแหละแค้น.. เกมตัดตาย ภาพยนตร์แฟรนไชส์สยองขวัญชื่อดังภายหลังจากเข้าฉายได้ไม่นานก็ได้รับคะแนนวิจารย์ที่ค่อนข้างสูง เลยทีเดียว สำหรับในภาคที่ 10 นี้จะเป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตของจอห์น เครเมอร์ ที่ได้เดินทางไปยังเมกซิโกด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะเป็นหนทางในการรักษามะเร็งสมองระยะสุดท้ายของเขาให้หายได้ แต่ภายหลังการรักษากลับพบว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกลวงจากพวกสิบแปดมงกุฎ เขาจึงได้ดำเนินแผนการล้างแค้นด้วยเกมสุดโหดของเขานั่นเอง

หลังจากที่ได้รับชมภาพยนตร์ Saw X ไปนั้นต้องขอบอกเลยว่า ส่วนตัวนั้นรู้สึกสนุกมาก มันส์ทุกฉาก หวาดเสียวทุกเกม แต่แอบผิดหวังในฉากเกมที่ใช้เครื่องดูดลูกตาเล็กน้อย เพราะโปรโมทหนักมากจริง ๆ แอบรู้สึกเหวอเล็กน้อยละตอนดูถึงตรงนี้ แต่ฉากเกมทรมานอื่น ๆ เล่นเอาดูแบบเต็มตาไม่ค่อยไหวเลย แต่ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัวจริง ๆ คาดหวังว่าแต่ละเกมจะมีความโหดกว่านี้มาก และบางเกมก็ดูเหมือนจะจงใจให้ผ่านไปง่าย ๆ เสียอย่างนั้น (ด้วยความใจอ่อนของเจ้าตัวด้วยละมั้ง)

ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นช่วงแรกจะเป็นการเล่าถึงการรับมือกับโรคร้ายของจอห์น เครเมอร์  ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป เห็นการใช้ชีวิตในสังคมทั่ว ๆ ไปของฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดที่ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาแต่ถือว่าการดำเนินเรื่องพาเราเข้าสู่เกมทรมานสุดโหดของจิ๊กซอว์ได้ไว ตรงไปตรงมาดี แต่มีการเซอไพรส์หักมุมจนเราเองก็เหวอไปด้วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าถ้าเป็นแฟนหนังที่ติดตามกันมาตลอดทุกภาคของแฟรนไชส์อาจจะคาดเดาได้อยู่แล้วก็ได้นะ ในส่วนของเพลงประกอบนั้นแน่นอนว่าต้องมีเพลงประจำเรื่องแน่นอน ลำดับภาพการตัดต่อก็ลื่นไหลดี ชวนให้ลุ้นเกร็งไปกับตัวหนังได้เลยสำหรับเรา 

โดยรวม Saw X ชำแหละแค้น… เกมตัดตาย สำหรับเรานั้น ถือว่าเป็นภาคต่อที่เชื่อมโยงเรื่องราวทำให้ที่ทำให้ช่องว่างที่ผ่านมาถูกเติมเต็มมากขึ้น และเป็นภาคที่ทำให้เราได้รู้จักกับชีวิตของฆาตกรสุดโหดอย่างจิ๊กซอว์หรือ จอห์น เครเมอร์มากยิ่งขึ้นด้วย ที่ถึงแม้ความรู้สึกส่วนตัวเราเกมในภาคนี้อาจจะดูไม่น่ากลัวเท่าภาคเก่า ๆ มากเท่าไร เพราะทุกเกมมันเกี่ยวกับโรคร้ายที่เป็น ความเป็นความตายในชีวิตของตัวจอห์น เครเมอร์นั่นเองถือเป็นการแก้แค้นและให้บทเรียนในฉบับของจอห์น เครเมอร์กับแก๊งสิบแปดมงกุฎที่ต้องจำไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว (ถ้ารอดมาได้นะ)

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
8.5
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
8.3
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
30 กันยายน 2566 20:07:21

"ของแขก" เอาเรื่องย่อนะครับ ก็คือมีครอบครัวนึงมีพ่อแม่แล้วก็ลูกสาว2คน ที่พ่อเหมือนกับว่าเคยทำงานอยู่ที่นราธิวาส รึเปล่า? เพราะตอนเปิดเรื่องผ่านด่านทหารแล้วทหารถามเป็นภาษามลายูหรือภาษาอะไรสักอย่างแล้วพ่อเกิดงง แล้วทหารก็เลยตอบกลับมาเป็นภาษากลาง พ่อก็เลยอ่ออออ ก็เลยตอบกลับไป เสร็จสรรพทหารเดินไป พ่อก็บ่นในรถ ทำไมไม่พูดภาษาไทยแต่แรก....... ฉากนั้นราวกับว่า พ่อนี่ไม่เคยลงใต้มาก่อนในชีวิต แต่ในเนื้อเรื่องหลักคือ พ่อทำงานอยู่ที่นี่มาก่อน คนในพื้นที่ก็รู้จักนะครับ อ่าวววว กูงง5555 แล้วก็ด้วยความที่เคยทำงานที่นี่มาก่อน ก็เรื่องมีเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้น แล้วก็ย้อนมาเป็นเรื่องราววุ่นๆในปัจจุบัน ซึ่งมันแบบว่า มีพล๊อตอีกอันที่มันซ้อนเข้าไปอีก 

คลิกเพื่อซ่อนหรือแสดงข้อความ
 

หลังจากนี้น่าจะแอบๆสปอย คือเริ่มหนังเลย เขาก็เปิดเรื่องมาด้วย พิธีไล่ผีอันนึงก่อน ซึ่งน่าจะเป็นตัวเรื่องหลักเลยละ แต่พอไปเรื่อยๆ เหมือนเนื้อเรื่องนี้มันจางๆหายไปเกือบทั้งเรื่องเลย แล้วก็เอาอีกเส้นเรื่องมาซ้อนแทนไป ซึ่งก็เป็นเนื้อเรื่องที่น่าสนใจนะ แต่ถ่ายทอดออกมาได้แบบงงๆ ไม่ประติดประต่อเอาซะเลย เข้าใจแหละว่าจะหักมุมตอนท้าย เลยเอาเรื่องรองมาแทรก แต่ให้แอร์ไทม์เรื่องรองมากกว่า ทีนี้ก็เลยไม่ได้อินกับเรื่องหลัก น่าจะให้ตัวลูกเป็นตัวดำเนินเรื่องสืบหาความจริงเกี่ยวกับเส้นเรื่องหลักไปด้วยหรืออะไรสักอย่างให้คนดูอย่างเราๆรู้สึกผูกติดกับ"ของแขก"มากกว่านี้ ถ้าเนื้อเรื่องประมาณนี้ยกตัวอย่าง โปรแกรมหน้าวิญญาณอาฆาต เลยตอนสุดท้ายหักมุมเป็นคนละเส้นเรื่องเลย แต่เรารู้สึกผูกติดกับเส้นเรื่องหักมุมด้วย

เรื่องบทก็แบบว่า มันดูละครคุณธรรมไปหน่อย ทั้งบทพูดทั้งบทหนัง แต่ก็ไม่ได้แย่มาก นักแสดงก็เล่นใช้ได้อยู่ แต่ที่รู้สึกดีเลยคือ โมอมีนา กับพี่สน(คนหนุ่มด้วย) รู้สึกชอบมาก

เรื่องดนตรีก็ เปิดมาตอนแรกเหมือนจะว้าวแล้ว พอไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีอะไรมาก

กราฟิกก็ใช้ได้เลยไม่ได้ติดอะไร

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
5
ดนตรีประกอบ
6.5
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
6.5
คะแนนเฉลี่ย
6.5
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
18 กันยายน 2566 22:03:52

Sleep หลับ ลึก หลอน

มันจะเป็นแนว ๆ โลเดียวเที่ยวทั่วไทยอะไรประมาณนั้น เน้นอยู่ในสถานที่เดียว หลัก ๆ จะอยู่ในหอของพระเอกนางเอก ตัวเนื้อเรื่องก็ค่อนข้างน่าสนใจ

เริ่มเรื่องมาก็เจอจุดที่แบบ เอ๊ะ ไม่เมคเซ้น เข้าใจว่าฉากเปิดอะเนอะ อาจจะอยากทำให้มันดูน่ากลัวระทึกขวัญอะไรแบบนั้น แต่ลองนึกถึงในชีวิตจริงสักนิด ทำไมเจ๊ไม่เปิดไฟ ? จะบิ๊วตัวเองเพื่อ ? มันเลยดูพยายามจะน่ากลัวไปหน่อย ตัวละครพระเอกเนี่ยเหมือนจะมีติ๊หมิอะไรบางอย่างที่น่าสนใจเรื่องชีวิตการงานอาชีพนะ แต่มันก็ดูไม่ค่อยมาอิมแพคกับเส้นเรื่องเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้มันดูมีติ๊หมิขึ้นจริง ๆ แหละ หนังก็ดำเนินไปแบบ เราจะเจออะไรที่มันไม่เมคเซ้นบ้างประปราย แต่ก็ยังดูสนุกอยู่

มันออกจะเป็นหนังระทึกขวัญทำบรรยากาศหม่นๆน่ากลัวๆไม่ได้มีฟิลให้พักน่ารัก ๆ แต่เวลาใส่มุกอะไรมาแต่ละทีนี่ แอบฮาใช้ได้เลยนะ 55 แต่เอาจริง ๆ โดยรวมมันยังดูธรรมดาไปหน่อยแต่ถ้าบอกเป็นหนังทุนต่ำ อันนี้ถือว่าใช้ได้อยู่ แต่ด้วยความที่มันงานภาพการถ่ายอะไรมันดูโมเดิร์น เลยรู้สึกว่า หนังแนว ๆ นี้สมัยก่อน ๆ ภาพมันอาจจะไม่คมมาก มันเลยดูหม่น ๆ น่ากลัว แต่เรื่อง Sleep นี่ภาพโมเดิร์นจัด แต่เอาจริง ๆ คือมันน่ากลัวแหละ หนังสื่อสารออกมาให้เรารู้และเข้าใจได้ว่าเขาจะบอกอะไร อยากให้เรารู้สึกอะไรยังไง แค่มันน่าจะไปได้กว่านี้อีกนิดในด้านความรู้สึก

รวม ๆ แล้ว ถ้าแบ่งเป็น 3 พาร์ท ตอนต้นตอนกลางตอนจบ ความไม่ดีมีแค่ อะไรที่ไม่เมคเซ้นนิด ๆ หน่อย ๆ กับความไปไม่สุด แต่รวมๆคือดีเลยทั้ง 3 พาร์ท ไล่ระดับความรู้สึกเราไปถึงบทสรุปได้ดี การพัฒนาของตัวละครค่อนข้างทำมาชัดแล้วเข้าใจง่าย ไม่รู้สึก เอ๊ะ ตอนจบสปอยว่า ทำออกมาได้ฟิลกู๊ดดี กลายเป็นหนังครอบครัวที่ค่อนข้างน่ารัก มีเพื่อนบ้านที่น่ารัก การแสดงของนักแสดงนั้น ก็มาตรฐานเกาหลีเนอะ ดีหมดเลยยันตัวประกอบ แต่ยกรางวัลให้นางเอก เป็นยังไงต้องไปดูเอาเอง ส่วนซาวด์ประกอบก็โอเครเลย รวม ๆแล้วถือว่าให้ผ่าน

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
7.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
18 กันยายน 2566 21:56:08

จากนวนิยายชื่อดังของ Agatha Christie สู่การเป็นภาพยนตร์ในภาคที่ 3 อย่าง A Huanting in Venice ฆาตกรรมหลอนแห่งนครเวนิส ภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนที่จะเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของนักสืบผู้มากความสามารถอย่างแอร์กูล ปัวโรต์ (รับบทโดย เคนเนท บรานาห์) ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงฮาโลวีนในบ้านเด็กกำพร้าอย่างไม่เต็มใจนักจากเพื่อนของเขา อารีแอดนี โอลิเวอร์ (รับบทโดย ทีนา เฟย์) เพื่อคอยจับไต๋คนทรงอย่างจอยซ์ เรย์โนลด์ (รับบทโดยมิเชล โหย่ว) ที่จะทำพิธีเข้าทรงในคืนเดียวกันนั้นเอง 

ต้องบอกเลยว่าภาพยนตร์เรื่อง ฆาตกรรมหลอนแห่งนครเวนิสนั้นแค่เปิดเรื่องมาก็จัดเต็มเข้าให้ทั้งลูกเล่น บรรยากาศความสวยงามของเวนิส นับได้เป็นภาพยนตร์สืบสวนที่มีบรรยากาศความสยองขวัญแบบจัดเต็ม ทั้งงานภาพในองค์ประกอบที่มีความสวยงามถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นอีกเรื่องที่ฉากส่วนมากอยู่ในความมืด แต่ก็ไม่ได้มืดมากเสียจนทิ้งรายละเอียดต่าง ๆ ไปเสียหมด  ในด้านเสียงประกอบและเอฟเฟคต่าง ๆ ก็เล่นเอาตัวกระตุกตั้งแต่เริ่มเรื่องกันเลย การดำเนินเรื่องก็ไม่น่าเบื่อ ต้องบอกก่อนเลยว่าส่วนตัวดู สองภาคแรกไปก็นานจนเกือบจำรายละเอียดไม่ค่อยได้แล้ว แต่การเดินเรื่องในภาคนี้ถือว่าดำเนินเรื่องไปได้กระชับดี ไม่น่าเบื่อยืดเยื้อ การแสดงของตัวละครแต่ตัวก็สมกับความสามารถของแต่ละคนเลย ส่วนตัวได้เข้าไปรับชมแบบพากย์ไทย ในด้านงานพากย์ก็ถือว่าไหลลื่นเหมาะสมกับตัวละครดีมาก ๆ

ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์นั้นเป็นนวนิยายสืบสวนสอบสวนชื่อดังที่ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเค้ามีสูตรเฉพาะตัวของเขา ที่แฟนหนัง แฟนนิยาย หรืออาจจะเป็นผู้ชมทั่ว ๆ ไปคาดเดาตัวคนร้ายได้ชิว ๆ ก็ต้องเข้าใจแหละว่าเป็นหนังสูตรสำเร็จอยู่แล้ว แต่ส่วนตัวแล้วไปดูแบบว่างเปล่ามาก ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย ไปดูแบบเอาเพลินช่วงรอบดึกจริง ๆ ก็รู้สึกเซอไพรส์กับการนำเสนอของตัวภาพยนตร์ช่วงเฉลยสุดท้ายนี่แอบพีคจริง ส่วนตัวชอบการนำเสนอในช่วงที่นักสืบปัวโรต์ตามสืบหาความจริง มุมมองการสังเกตรายละเอียดที่ตัวหนังใส่มา พร้อม ๆ กับการจั้มแสกร์ที่วนมาเป็นช่วง ๆ แต่ไม่เยอะ มีพอกรุบกริบให้สะดุ้งกันเบา ๆ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6.5
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.1
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
11 กันยายน 2566 20:55:12

การกลับมาอีกครั้งกับตำนานความสยอง ภาพยนตร์ Spin Off จากแฟรนไชส์ The Conjuring อย่าง The Nun 2 ในเรื่องราวที่จะพาเราย้อนกลับไปยังยุค 50 ที่เจ้าปีศาจวาลัคได้ออกอาลาวาดมาไกลถึงประเทศฝรั่งเศส ฆ่าเหล่าสาวกของพระผู้เป็นเจ้าไปไม่น้อยจนวาติกันไม่อยู่นิ่งเฉย ต้องมาตามตัวซิสเตอร์ไอรีนกลับมาเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง

ต้องบอกก่อนเลยว่า ภาพยนตร์สยองขวัญ The Nun 2 เป็นภาพยนตร์ที่เราคอยมาตั้งแต่ประกาศสร้าง ด้วยความที่เป็นแฟนหนังแฟรนไชส์ The Conjuring มาตั้งแต่ภาคแรก ก็ติดตามดูมาตลอด และตัวผีแม่ชีเองที่สร้างตำนานความหลอนมาตั้งแต่ The Conjuring ภาค 2 เราก็คาดหวังในการสร้างภาพยนตร์ Spin Off ในแต่ละภาคมาก ๆ ซึ่งตัวภาค 2 เองนั้นก็สร้างความหลอนให้เราไปไม่น้อย แม้จะขัดใจฉากจบนิด ๆ ก็ตาม แต่ก็อย่างที่เรารู้กันว่า เจ้าปีศาจวาลัคหรือผีแม่ชีนั้นไม่ได้จัดการกันได้ง่าย ๆ และรู้อยู่แล้วว่ามันไม่จบแน่ ๆ แน่นอนว่าทางผู้สร้างก็เข็นภาค 2 ออกมาให้ได้รับชมจนได้ 

โดยรวมบรรยากาศความหลอนในภาคนี้นั้นไม่ได้รู้สึกน่ากลัวเท่าภาคแรกเท่าไร แต่จังหวะการหลอกคนดูนั้นพัฒนาขึ้นมาหน่อย เราชอบความอาร์ตในการหลอกของภาคนี้มาก ๆ โดยเฉพาะฉากหลอนตรงรอยแตกกำแพง และชั้นวางหนังสือ แต่โดยรวม ๆ ทั้งเรื่องแล้วรู้สึกว่าภาคแรกจะดูหลอนกว่านี้มาก ด้วยความที่เล่นกับความมืดและปราสาท สุสานหลอน ๆ ในขณะที่เภาค 2 นี้ตัวบรรยากาศจะให้กลิ่นอายของความเป็นหนังสืบสวนสอบสวนกับโลเคชั่นสวย ๆ ในยุโรปที่ติดแอคชั่นมานิดหน่อยด้วย เลยทำให้รู้สึกแปลก ๆ ไปนิดนึง ทำให้รู้สึกเหมือนมันยังหลอนไม่สุด แต่ก็ชอบในการเล่นกันแสง เงา ที่ทำให้เรารู้สึกต้องระแวดระวังกับมันตลอด

โดยส่วนตัวแล้วถือว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญภาคต่อที่ทำออกมาได้หลอน จั้มแสกร์ให้เน้น ๆ เหมือนเดิม และน่าจะเป็นการเติมเต็มให้เส้นเรื่องของ The Conjuring สมบูรณ์แล้วด้วยการเชื่อมโยงกับเคสของมัวริส ส่วนในเรื่องของการดำเนินเรื่องในภาคนี้บอกเลยว่าไม่ได้ฉีกออกไปจากเดิมเท่าไร ถือว่าเป็นการเดินตามสเตปเดิม ๆ แต่ไม่ทิ้งความสยองจากการจั้มแสกร์ให้เราได้สะดุ้งกันกรุบกริบ เนื้อหาก็ไม่ทิ้งทวนและมีการปูปมของซิสเตอร์ไอรีนเพื่อให้สมเหตุสมผลกับการคลี่คลายในท้ายเรื่องได้ ถือว่าดูแล้วยังคงให้ความบันเทิงกับความหลอนตามฉบับของ The Nun ดี

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.3
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
11 กันยายน 2566 20:18:33

อีกหนึ่งในภาพยนตร์สยองขวัญปั่นประสาทจากค่าย A24 เรื่อง Talk to me จับมือผี ในเรื่องราวของมีอา เด็กสาวที่เพิ่งสูญเสียแม่ไปและยังทำใจไม่ได้ ประกอบกับการที่ไม่สนิทใจกับพ่อของตัวเองทำให้เธอปิดใจกับครอบครัวตัวเองมาโดยตลอดและไม่ยอมรับความจริงเรื่องแม่  มีอาได้ชวนเพื่อนสนิทของเธอ เจซ ไปร่วมปาร์ตี้และได้ลองเล่นกิจกรรมแผลง ๆ อย่าง การจับมือกับสื่อกลางเพื่อสื่อสารกันผีและให้เข้าสิงร่าง เหมือนเป็นความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวคล้ายการเสพยา แต่ใครจะไปคาดคิดว่าการเล่นสนุกใครครั้งนี้จะทำให้เธอต้องเจอกับสิ่งน่ากลัวที่จะมาตามหลอกหลอนชีวิตเธออย่างคาดไม่ถึง

 Talk to me จับมือผี เป็นอีกหนึ่งในเรื่องราวสยองขวัญที่มีแนวคิดใหม่ ๆ น่าจับตามองทีเดียว ส่วนตัวคิดว่าพล็อตนี้ค่อนข้างใหม่เลยกับการจับมือสื่อกลางเพื่อคุยกับผีและยอมให้ผีเข้าสิงตัวเอง เพื่อความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวภายใต้เงื่อนไข 90 วินาที เพื่อป้องกันปัญหาการโดนครอบงำร่าง ลักษณะเหมือนการเล่นผีถ้วยแก้วแบบใหม่ แบบสับ แบบฉันยอมให้เธอสิงร่างจนเกิดเรื่องวุ่นวายจนยากที่จะแก้ไข โดยส่วนตัวแล้วชอบมากกับการดำเนินเรื่องที่ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป มีการปูปมของตัวละครไม่เยอะแต่มีการทิ้งสัญญะบางอย่างไว้ให้ขบคิดตั้งแต่เริ่ม ตัวเนื้อหาเข้าเรื่องเร็ว ไม่ยืดเยื้อ แน่นอนว่าเนื้อหาของหนังสยองขวัญส่วนใหญ่ก็จะเล่นเรื่องของความสัมพันธ์ครอบครัว การเปิดใจกัน และปัญหาชีวิต และสุขภาพจิตของวัยรุ่นที่ต้องได้รับการแก้ไข ตัวนักแสดงหลักสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกออกมาได้ดีมาก ๆ ในแต่ละช่วงของหนัง

ในตัวภาพยนตร์ Talk to me จับมือผีนั้น องค์ประกอบภาพ แสง สี เสียงประกอบในแต่ละฉากถือว่าทำออกมาได้ดี สมกับเป็นหนังจากค่ายมาแรง ในฉากที่เล่นกับความมืดก็ไม่ได้มืดจนมองไม่เห็นรายละเอียดอะไร แถมยังทำให้รู้สึกกดดันตามไปด้วยเลย ฉากที่เน้นให้ลุ้น สนุก กดดันตามก็จัดเต็มแบบเต็มจริง ๆ ตัวนักแสดงก็สามารถแสดงสื่ออารมณ์ออกมาได้ข้าถึงอารมณ์ดี แต่ตัวหนังจะไม่ค่อยเน้นการจั้มสแกร์ มีให้ตกใจนิด ๆ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การกดดันตามสถานการณ์ให้รู้สึกลุ้นตามเสียมากกว่า 

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าภาพยนต์เรื่อง Talk to me เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่น่าจับตามองมากสำหรับปีนี้ ที่มีภาพยนตร์แนวสยองขวัญออกมาเรื่อย ๆ แต่ยังไม่สามารถทำให้รู้สึกถึงความสดใหม่ หรือรู้สึกว้าวมากเท่าไร ทว่าสำหรับเรื่องนี้สามารถทำให้เรารู้สึกสนุก กดดัน สยองขวัญได้ตามจังหวะที่ใส่มา แต่ถามว่าหลอนสุดไหมส่วนตัวว่ายังหลอนไม่สุดเท่าไร คิดว่าบางจุดน่าจะทำได้ดีกว่านี้ได้อีกจริง ๆ

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
7.4
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
5 กันยายน 2566 17:37:31

การกลับมาอีกครั้งของภาพยนต์แอนิเมชัน ชินจัง เดอะมูฟวี่ ตอน นินจาคาถาวายุอลเวง ที่จะนำพาเราไปผจญภัยกับเจ้าเด็กน้อยจอมแก่น ชินโนะสึเกะ หรือชินจังที่เรารู้จักกันดี โดยในเรื่องราวของเดอะมูฟวี่ภาคนี้จะเล่าถึงหญิงสาวลึกลับนามจิโยเมะและจินโซได้เข้ามาพบกับบ้านโนฮาระ และได้บอกกับครอบครัวนี้ว่า เธอคือแม่ที่แท้จริงของชินจัง จนกระทั่งในคืนวันนั้นเองก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้น ทั้งโดนเหล่านินจาบุกโจมตีลักพาตัวเธอกับชินจังมายังหมู่บ้านนินจาลึกลับ และชินจังยังโดนบังคับฝึกเพื่อให้ใช้พลังนินจาให้ได้เพื่อปกป้องสะดือโลก ในขณะที่จินโซเองก็ต้องอยู่กับบ้านโนฮาระไปอย่างไม่ได้ตั้งใจและต้องออกผจญภัยกับครอบครัวโนฮาระเพื่อนตามหาชินจังและเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของเหล่านินจาในเงามืด

ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ส่วนตัวไม่ได้ติดตามดูซีรีย์ชินจังแบบต่อเนื่องมาก่อน เคยดูผิวเผินก็สมัยทีวีซีรีย์สั้น ๆ ตอนช่วงเช้าสมัยเมื่อนานมาแล้ว แต่ด้วยความที่ชินจังที่เรารู้จักกันดีนั้นเป็นแอนิเมชันที่เบาสมอง ทำให้ในภาพยนตร์แอนิเมชันนี้มีเนื้อหาย่อยง่าย ดูเพลิน ๆ และสามารถพาน้อง ๆ หนู ๆ มาดูด้วยกันก็ยิ่งดี มีการกระตุ้นเสริมสร้างสายใย ความสัมพันธ์ครอบครัวได้ดี เป็นแอนิเมชันที่ภาพ ลายเส้นไม่ทิ้งเก่า ทว่าก็พัฒนาความสวยงามมาตามกาลเวลาได้ดี มีการปรับยุคสมัยให้เข้ากับยุคปัจจุบันอยู่เรื่อยมาจนดูแล้วไม่ขัดกับมุกตลกที่เพิ่มเติมเข้ามาในแต่ละช่วงเลย แต่ส่วนตัวติดแค่ว่าช่วงกลางเรื่องนั้นค่อนข้างยืดนิดหน่อย ทำให้รู้สึกหน่วง ๆ ไปบ้างนิดนึง ตัวหนังมีการพาเราย้อนไปดูอดีตของชินโนะสึเกะ ได้รู้จักที่มา ได้สัมผัสความรัก ความอบอุ่นที่มิซาเอะ และฮิโรชิตั้งใจมอบให้ แม้ที่ผ่านมาเราจะติดภาพที่มิซาเอะคอยดุชินจังอยู่บ่อย ๆ แต่นางก็รักชินจังมากทีเดียว

โดยส่วนตัวแล้ว ภาพยนตร์แอนิเมชัน ชินจัง เดอะมูฟวี่ ตอน นินจาคาถาวายุอลเวง เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่หลากหลาย ครบรสทั้งดราม่าเคล้าน้ำตา - ความฮาตามแบบของชินจัง มีแอคชั่นเล็กน้อยพอกรุบกริบกับมุกปั่น ๆ เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดีและอาจจะอินกับเนื้อหาที่ตัวแอนิเมชันตั้งใจสื่อสารมากกว่าด้วย มีการสอดแทรกแนวคิดและทัศคติดี ๆ ทันยุคสมัย

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
8.1
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
2 กันยายน 2566 16:03:38

สำหรับใครที่กำลังมองหาภาพยนตร์ที่ให้ความบันเทิงได้ครบรส ดูได้เพลิน ๆ ต้องขอแนะนำ “Strays ชีวิตหมาต้องไม่หมา” ให้เลย ในเรื่องราวของเรจจี้ (ให้เสียงโดยวิล เฟอร์เรล) น้องหมาสุดน่ารักที่ถูกดั๊กผู้เป็นเจ้านายสุดที่รักของเขาหลอกพามาทิ้งไว้กลางเมืองที่ไม่รู้จัก จนเรจจี้ได้พบกับบั๊ก (ให้เสียงโดนเจมี่ ฟ็อกซ์) เจ้าหมาผู้ที่จะพาให้เรจจี้ได้พบกับการผจญภัยไปพร้อม ๆ กับเหล่าผองเพื่อนชาวก๊วน PFF และแผนการล้างแค้นสุดฮาของเรจจี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ต้องบอกก่อนเลยว่าก่อนที่จะได้ไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นไม่ได้คาดหวังอะไร เนื่องจากตอนที่ได้รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ก็รู้สึกได้ว่าน่าจะต้องเป็นหนังกาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ต้องบอกเลยว่าพอได้ดูจริง ๆ แล้วครบรสดีมาก มุกตลกสารพัดจัดเต็มจนสงสัยว่าคิดกันออกมาได้ยังไง ฮ่า ๆ องค์ประกอบภาพในแต่ละฉากก็สวยงามมีความ Aesthetic ดูแล้วเพลิน ๆ อิ่มเอมใจ ถึงแม้ว่ากราฟฟิค เอฟเฟคบางฉากจะลอยไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงตรงนั้นเท่าไรเพราะความฮากลบหมด แฮร่! 

 

คลิกเพื่อซ่อนหรือแสดงข้อความ
 

ในด้านเนื้อเรื่องของตัวภาพยนตร์นั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย  ดำเนินเรื่องเป็นเส้นตรง ไม่ต้องคาดเดาอะไรเลยแต่ก็แอบมีบางจุดที่เหนือความคาดหมายอยู่นะ  สนุก บันเทิง ไม่ได้เน้นให้ดราม่ามาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มี และแน่นนอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้มุมมองของเราในจริตของหมาบางสายพันธ์เปลี่ยนไปนิดหน่อยด้วย!  ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มีการนำเสนอในมุมมองของเจ้าหมาเป็นหลักและมีแทรกของมนุษย์เข้ามาเล็กน้อย ที่จะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของเหล่ามะหมาได้มากขึ้น แต่ด้วยตัวบทที่ค่อนข้างมีพวกมุกที่เป็นศัพท์แสลงที่ค่อนข้างหยาบคาย และเกี่ยวกับเรื่องเพศเยอะมาก หากคิดจะพาน้อง ๆ หนู ๆ ไปดูเพราะโปสเตอร์ที่แสนน่ารัก ขอให้หยุดไว้แค่ตรงนั้นเลย ไม่เหมาะสมอย่างแรงและแนะนำให้ทานอะไรไปให้เรียบร้อยก่อนด้วยนะ ไม่งั้นอาจจะมีภาพติดตาออกมาแน่นอน 

โดยส่วนตัวให้ภาพยนตร์เรื่อง “Strays ชีวิตหมาต้องไม่หมา” เป็นภาพยนตร์น้องหมาในเรท R ที่ให้ความบันเทิงครบรส จัดเต็มสารพัดมุกตลก มีมุมดราม่าเล็กน้อยให้เคล้าอารมณ์ กลมกล่อม ประกอบไปด้วยภาพสวย ๆ ทั้งเรื่อง และแก๊งน้องหมาทั้ง 4 ก็น่ารักสุด ๆ ไปเลย เพลงประกอบก็ดีงามไปตามท้องเรื่อง เหมือนเป็นอีก 1 กิมมิคที่ใส่มาเพื่อขยี้อารมณ์ให้ฮาได้อีก

 

ปล. หนังมีเอนเครดิตนิดนึงด้วยน๊าาา 

 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
8
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
9
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
8.2
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
30 สิงหาคม 2566 20:56:28

The moon ดูชื่อดูโปสเตอร์ก็รู้สึกธรรมด๊าธรรมดา แต่ ไอเหี้ย แม่งโคตรดีเลยสัส !

ตอนแรกจะดูนะหน้าทอง แต่มันออกโรงไปแล้ว เลยดูเรื่องนี้ละกัน แบบไม่รู้อะไรเลย นึกว่าหนังเอเลี่ยนด้วยตอนแรก 55 แต่อย่างที่เรา ๆ เข้าใจ มันคือหนังคนเกาหลีไปดวงจันทร์แล้วติดที่ดวงจันทร์แล้วต้องช่วยคนแค่นั้นแหละ มันมีฟิลแบบ Gravity หรือ The martian อยู่ เรียกได้ว่า มันคือหนังแบบเดียวกันทำตามกันมานั้นแหละ แต่ก็ เกาหลีอะเนอะ มันมีทั้งดราม่าเสียน้ำตา ทั้งสนุก ลุ้นระทึกอะไรแบบเต็มที่ ไม่ขาดไม่เกิน เป็นมาสเตอร์พีซอยู่ใน 2 ชม.นั้นครบถ้วนแล้ว แม้ว่าเนื้อเรื่องหลัก เนื้อเรื่องรอง มันจะจำเจมากจริง ๆ สูตรสำเร็จเกาหลี แต่ก็นั่นแหละ เกาหลีอะเนอะ เขาก็ทำมันออกมาได้สมบูรณ์แบบ คือถ้าเนื้อเรื่องไม่จำเจ มันต้องชิงออสก้าได้อย่างน้อยสุดต้องมีได้ชิง 1 รางวัล อะไรสักอย่าง ส่วนตัวให้คะแนนเต็มในเรื่องของการทำหนัง ทั้งบททั้งงานภาพ องค์ประกอบทุกอย่าง เกาหลีพัฒนาไปไกลมาก ไกลถึงระดับฮอลลีวูดแล้ว ถ้าเทียบอินเตอร์สเตลล่า ก็อันนั้นสวยกว่า ด้านงานภาพ แต่เดอะ มูน คือไปในระดับที่เอาไปเทียบ ได้แล้ว นับถือใจคนเกาหลีจริง ๆ และมันไม่ใช่แค่เรื่องความกราฟิกสวยนะ เรื่องมุมมองของผู้สร้าง การถ่าย การเลือกออฟชั่นว่าซีนไหนต้องภาพแบบไหน อันนั้นเกิน 80% คือสมบูรณ์แบบจริง ๆ มีชอตนึงชอบมาก เข้าใกล้ ๆ ดวงจันทร์ เขาทำแบบเหมือนดวงจันทร์จ้องหน้าเราอยู่ แล้วมันค่อนข้างหน้ากลัว รู้สึกอันตราย น่ากลัวจริง ๆ (ชอตนี้ต้องดูในโรงเท่านั้น) แล้วมันสอดคล้องกับเนื้อเรื่องสเตปต่อ ๆ ไปแบบไร้รอยต่อมาก ๆ คือด้านการวางสตอรี่บอร์ดอะไรต่าง ๆ ของเขามันค่อนข้างปราณีตเลย

เรื่องความรู้สึกตอนดูหนังอันนี้ ดีมาก เหมือนไม่ได้ดูหนัง แต่เหมือนได้เห็นคนเกาหลีขึ้นไปดวงจันทร์จริง ๆ แล้วดันมาสอดคล้องกับเรื่องจริงที่คนอินเดียไปดวงจันทร์ดวงนะ 55 หนังดูดคนดูเข้าไปร่วมเชียร์ได้แบบจริง ๆ มันคือหนังขายฝันสร้างชาติเลยแหละ ฟิลแบบ ซึบาซะทำมาหลอกเด็กญี่ปุ่นว่าจะไปบอลระดับโลก แล้วหลอกไปหลอกมา ญี่ปุ่นไปบอลโลกจริงๆ อันนี้ก็ฟิลนั้นเลย เรียกว่า แรงบันดาลใจ เรื่องเดอะมูนมันดูจริง ๆ มาก ภาพสวยพรอพดีบทสมจริง เขาก็ทำมาหลอกคนเกาหลีนี่แหละ คิดว่าหลอกไปหลอกมา เดี๋ยวไปดวงจันทร์จริง ๆ เหมือนกันนะ เพราะขนาดวงการหนังยังมาขนาดนี้ เกาหลีอยากทำอะไรก็คงทำได้จริง ๆ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
9.5
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
10
คะแนนเฉลี่ย
9.2
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
29 สิงหาคม 2566 22:17:05

การกลับมาปัดฝุ่นสร้างเจ้านินจาเต่าอีกครั้งในปี ค.ศ. 2023 (พ.ศ. 2566) ในชื่อTeenage Mutant Ninja Turtles : Mutant Mayhem - เต่านินจา : โกลาหลกลายพันธุ์ ต้องนับว่าเป็นผลงานภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ทำออกมามีสไตล์เป็นเอกลักษณ์ในการออกแบบตัวละครได้เฉพาะตัวจริง ๆ ในครั้งนี้ได้มีการนำเรื่องราวของเจ้าเต่าน้อยทั้งสี่อย่าง ลีโอนาโด ไมเคิลแองเจโล โดนาเทลโล และราฟาเอล กับอาจารย์สปลินเตอร์ กลับมาใหม่ในรูปโฉมของเด็กวัยรุ่น วัยคะนองที่ต้องการเป็นที่ยอมรับของชาวนิวยอร์ค และคุณพ่อผู้แสนจะห่วงใยลูก ๆ ของตัวจนต้องพากันไปหลบซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำใต้เมือง แต่ก็ไม่อาจจะกีดกั้นความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ๆ ได้เลย แต่ต้องบอกเลยว่าพ่อสปลินเตอร์ในภาคแอนิเมชั่นนี้เท่มากกกก

ในเรื่องของกราฟฟิก การออกแบบตัวละครในรูปโฉมใหม่นั้น ถือว่ามีความเป็นเอกลักษณ์ที่ค่อนข้างเฉพาะตัวทีเดียวในการออกแบบคาแรคเตอร์ตัวละครแต่ละตัว ทั้งแก๊งค์มิวแทนท์ และตัวละครมนุษย์แทบทั้งหมด เท่าที่สังเกต มันเป็นกิมมิคในการออกแบบตัวละครที่เราชอบมาก และจะเห็นได้ว่ามีการเมนชั่นถึงกระแส Pop Culture ณ เวลาปัจจุบัน อย่างเพลง K Pop ของ BTS หรือ อนิเมะชื่อดังอย่าง Attack on Titan หรือในฉากขับรถที่น้องโดนาเทลโลหรือดอนนี่บอกว่าหัดขับมาจาก Forza Horizon ก็ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาตัวเนื้อเรื่องมาตามกาลเวลาจริง ๆ ใครสายเกม สายอนิเมะหน่อยก็จะเก็ทกับความ Geek ของเจ้าหนูโดนาเทลโลได้เลย

ต้องบอกก่อนเลยว่า โดยส่วนตัวแล้วไม่ใช่แฟนของภาพยนตร์เรื่องนินจาเต่าเลย เคยเห็นฉบับไลฟ์แอคชั่นในปี 8ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) มาแบบผ่าน ๆ ตาเท่านั้น ซึ่งจากความรู้สึกส่วนตัวแล้วในการดำเนินเรื่องนั้นรู้สึกว่ามีการดำเนินเรื่องในช่วงกลาง ๆ จะค่อนข้างรวบรัด มีไทม์สคิปเล็กน้อย แต่ก็ยังดูเข้าใจง่าย ไม่ช้าเกินไป ไม่เร็วเกินไป ดูแล้วเพลิน ๆ เอนจอยไปกับเนื้อเรื่อง เพลงประกอบ เอฟเฟค แสง สีต่าง ๆ ก็ทำออกมาได้ดีเกินกว่าที่คาดหวังเอาไว้มากทีเดียว เจ้าเต่าทั้ง 4 ตัวก็ได้นักพากษ์ที่เข้ากับช่วงอายุของตัวเองมา ถ้าได้ดูซาวด์แทร็กคิดว่าน่าจะได้อารมณ์มากขึ้น (ได้แจ๊คกี้ชาน หรือเฉินหลงมาให้เสียงสปลินเตอร์ด้วยนะ) แต่ส่วนตัวได้ไปดูรอบพากษ์ไทยมา บอกได้เลยว่าทีมพากษ์ก็ทำได้ดีมากอีกเช่นเคยเลย

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
9
ฝีมือนักแสดง
8
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
8.3
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
25 สิงหาคม 2566 01:07:52

แมนสรวง อ่านว่า แมน - สวง แต่เราบอกหน้าโรงรอบสื่อว่า มาดู แมน สร-ระ-วง

ได้มีโอกาสเข้าไปดูโดยที่ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จักนักแสดง ผู้กำกับ เนื้อเรื่องย่อ มาลองอ่านรีวิวกันดูครับ

แกนหลักของหนังมันจะเป็นแนว ๆ สืบสวนอะไรพวกนี้ คือตัวเอก เขมกับว่าน โดนสถานการณ์บังคับให้ต้องทำงาน เข้าไปอยู่ในแมนสร ระ วง ขอเรียกแบบนี้ละกัน เพื่อที่จะ สืบหาของบางอย่าง จะรีวิวแบบรวม ๆ หนังมันจะเป็นฟิล ๆ หนังวาย คือมันจะมีตัวพระเอกหล่อ ๆ 4 คนนี่แหละ มีซีนมาให้จิ้นเรื่อย ๆ แต่หนังไม่ได้วายขนาดนั้นนะ แต่ถ้าเป็นแฟนคลับมาดูนี่รับรองว่าฟินแน่นอน ซึ่งเราก็ไม่รู้จัก ไม่ได้เป็นแฟนคลับ 555 ก็ยังรู้สึกชอบ อินไปด้วยได้ โดยเฉพาะตัว ฉัตร มือตะโพน เล่นได้ เป็นธรรมชาติมาก ดูอบอุ่น

มาถึงตัวหนัง ด้านโปรดักชั่น ฉากเสื้อผ้าหน้าผมถือว่าทำสวยใช้ได้เลยนะ โลเคชั่นเป็นโรงละครแมน สร ระ วงส่วนใหญ่ซะ 80% จัดแสงอะไรสวย แต่รู้สึกมาตายด้านงานกำกับภาพ การเคลื่อนกล้องภาพสื่อความหมายพวกนั้น แล้วเหมือนแบบใช้เลนส์ตัวถ่ายถ่ายทุกช็อตอะไรประมาณนั้นอะ คือภาพถ่ายมาชัดดี แต่ความดีไม่มีได้หมายถึงความชัด นึกออกปะ ? เราเก็ทนะว่า จะเน้นขาย 4 ไอดอลนี่แหละ แต่งานภาพถ้ามันสัมพันธ์กับตัวเนื้อเรื่องด้วย มันก็จะดูมีความหาหลงใหลมากกว่านี้ แต่งานภาพในเรื่องนี้ ไม่ทำให้เราสัมผัสถึงอะไรเลยเช่น ความฉงน, ความน่ากลัว, ความเศร้า, ความยิ่งใหญ่, อิสเตอร์เอ้ก  มันเลยดูตัน ๆ อึดอัด ๆ ไม่ส่งโปรดักชั่นฉาก เสื้อผ้าหน้าผมเท่าไหร่ แต่ไม่ได้แย่นะ งานภาพไม่ได้มีมีนนิ่งอะไรให้น่าจดจำ

ส่วนเนื้อเรื่องจริง ๆ เนื้อเรื่องน่าสนใจนะ แต่การดำเนินหรือจุดพลิกผันอะไรต่าง ๆ มันไม่ค่อยเอากับคนดูเท่าไหร่ ทั้งที่เป็นหนังสืบสวนแท้ ๆ แต่เนื้อเรื่องแบนจัดเลย การผูกปมอะไรต่างๆมันดูง่าย ๆ เข้าใจว่า เน้นข๊ายขายไอดอล แต่ถ้าบทมันเน้นมันก็จะส่งนักแสดงได้เหมือนกันนะแต่เรื่องนี้ก็จะไม่เน้นบทขนาดนั้น อันนี้แบบ "เอ๊ะ" หลายต่อหลายจุด อย่างบทว่าน บอกเลยว่า ตัวนี้ไม่มีในเรื่องยังได้เลยไม่ได้มีความสัมพันธ์พลิกผันอะไรกับเส้นเรื่องเลย ทั้งที่จริง ๆ มันมีได้ แล้วเหมือนจะมีแล้วด้วยนะในหนังอะ แต่สุดท้ายก็ ไม่มีอะไรนิ เหมือนใส่มางั้น ๆ รวม ๆ ทั้งเนื้อเรื่อง บทพูด การแสดง ถ้าเทียบกับหนังย้อนยุคดนตรีไทยคล้าย ๆ กันอย่าง โหมโรง เอออันนั้นอะ บทพูดต่าง ๆ การแสดงมันดีงามยันตัวประกอบ แต่เรื่อง แมน สร ระ วง มันยังติดฟิลแบบซีรีย์อยู่ ซึ่งไม่ได้แย่นะ ดูสนุกได้อยู่ แล้วถ้าคนเป็นแฟนคลับไอดอล 4 คนนี้ ฟินแน่นอน เพราะเขาทำมาเซอร์วิสพวกคุณโดยเฉพาะ 

ดนตรีประกอบ ไม่แน่ใจว่าหนังไทยยุคนี้เขาไม่เน้นโมทิฟ (โมทิฟคือเพลงตีมหนัง เมโลดี้ที่ทำให้คนจำได้ เช่น ถ้าพูดถึง ไพเรทออฟเดอะคาริเบียล เพลงมันจะดังในหัวคุณทันที อะไรแบบนั้น) รึเปล่า เพราะเพลงมันไม่มีอะไรให้จำเลย มันเป็นหนังที่มีศิลปะรำไทย ดนตรีไทยมาเกี่ยวข้อง เพลงประกอบน่าจะเข้มกว่านี้

สรุปรวมๆคือ มันคือหนังทำมาเซอร์วิสแฟนคลับแท้ ๆ เลยละ เพราะถ้าเป็นคนดูอย่างเรา มันจะหงุดหงิดนิด ๆ หน่อย ๆ ไปทั้งเรื่อง 55 แต่ก็ไม่ได้แย่

 

แต่ส่วนตัวเรานั้นโชคดีที่ดูเรื่องนี้กับโปรของเมเจอร์ ป๊อปคอน 39 บาท เลยจัดรสชีสกับรสหวานมาทาน ขอแนะนำว่าเอารสชีสกับรสหวานมาทานพร้อมอันในปากครับ จะได้รสชาติที่กลมกล่อมมาก ๆ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
5.5
ดนตรีประกอบ
6.5
ฝีมือนักแสดง
6.5
กราฟฟิก
8.5
คะแนนเฉลี่ย
6.8
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
24 สิงหาคม 2566 23:08:11

Coweb ก๊อก ก๊อก… เคาะเรียกผี หนังสยองขวัญสั่นประสาทจากผู้สร้าง It และ Barbarian เรื่องราวของปีเตอร์ (รับบทโดย วู้ดดี้ นอร์แมน) เด็กชายที่ต้องเจอกับเสียงประหลาดในบ้านของตนจนทำให้นอนไม่หลับ แต่เมื่อนำไปเล่าให้กับพ่อ (รับบทโดย แอนโทนี่ สตาร์) และแม่ของเขา (รับบทโดย ลิซซี่ แคปแลน) ฟังกลับถูกบอกว่าเป็นเพียงแค่เรื่องในจินตนาการเท่านั้นและไม่ได้รับการแก้ปัญหาใด ๆ ในขณะที่สิ่งที่เขาต้องพบเจอในแต่ละคืนกลับทวีความสยองขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสิ่งนั้นได้ครอบงำปีเตอร์จนสำเร็จ และทำให้เขาได้พบกับความลับที่พ่อและแม่ของเขาพยายามซ่อนมันเอาไว้มานานแสนนาน

ต้องขอบอกเลยว่าภาพยนตร์เรื่อง Cobweb  ก๊อก ก๊อก… เคาะเรียกผี ส่วนตัวแล้วค่อนข้างแอบผิดหวังเล็กน้อยจริง ๆ ในช่วงท้ายเรื่อง แต่การดำเนินเรื่องในช่วงต้นและกลางเรื่องมีความน่าติดตาม มีความรู้สึกกดดันเล็ก ๆ ตอนช่วงที่ถูกไล่ตาม แอบมีความรู้สึกเกินคาดในหลาย ๆ ฉาก คาดเดาได้ยากมาก บางฉากเหมือนจะมีอะไรแน่ๆแต่ก็ไม่มี ตัวหนังมีการเล่นกับที่มืดค่อนข้างเยอะซึ่งบางจุดส่วนตัวรู้สึกว่ามันมืดไปมาก ๆ จนมองไม่เห็นรายละเอียดอะไรเลย บางช่วงมีความรู้สึกว่าน้องปีเตอร์เหมือนจะจมไปเลยด้วยซ้ำ แต่ชอบการใช้องค์ประกอบอย่างวอลเปเปอร์ที่ทำให้เรารู้สึกตาลาย เหมือนเป็นภาพลวงตาสะกดจิตเราไปกับหนัง ทำเหมือนเป็นสัญญะอะไรบางอย่าง (แต่เอาจริงๆก็ไม่มีอะไร) องค์ประกอบภาพในหลาย ๆ มุมดูดีมาก มีการเล่นมุมมองแปลก ๆ  เล่นแสง เงา ให้ความรู้สึก creepy กับครอบครัวนี้มาก ๆ จนอดสงสัยไม่ได้ว่าหรือจริงๆแล้วความสยองทั้งหมดอยู่ที่ใครกันแน่ แต่ตัวหนังก็สามารถหลอกเราได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง

ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้พยายามที่จะสะท้อนหลายอย่างในสังคมมาก ๆ ทั้งเรื่องของการบูลลี่ การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ความเอาใจใส่ในตัวเด็กในปกครองของครูประจำชั้น แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบางจุดยังไม่มีที่มาที่ไปที่ชัดเจนเท่าไร แอบงงนิดหน่อย และจบไม่เหมือนหนังสยองขวัญทั่วไปแน่นอน ถือว่าดูได้เพลิน ๆ มีความรู้สึกกดดันตามบรรยากาศหนังในบางช่วง ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว 

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6.5
การดำเนินเรื่อง
7.5
ดนตรีประกอบ
6
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
7.5
คะแนนเฉลี่ย
7
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
1 สิงหาคม 2566 00:55:47

สายแอคชั่น บู๊แหลก พูดน้อยต่อยหนักมาทางนี้เลย กับภาพยนตร์แอคชั่นมันส์ระห่ำจากทีมผู้สร้างจอห์น วิค เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่บังเอิญขุดจนพบทองคำมหาศาลแต่ดันซวยต้องมาเจอกับกลุ่มนาซีที่กำลังถอยทัพกลับเยอรมันผ่านทางฟินแลนด์ และได้มีการปะทะตามล่ากันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงทองคำกันตลอดทางไปจนถึงรัสเซีย

พูดน้อยต่อยหนักของจริงสำหรับ Sisu เฒ่ามหากาฬ ที่ตัวบทนั้น ก็น้อยยยยย จริง ๆ นั่นแหละ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้พูดกันเลยมากกว่า ตัวบทมีแต่การปูประวัติเพื่อสร้างความน่ากลัว น่าเกรงขามให้กับลุงคนนี้ และการออกคำสั่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้บัญชาการรถถังนาซี ต้องบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์สายแอคชั่นที่องค์ประกอบภาพ มุมมองภาพสวยมากสำหรับเรา มุมมองภาพ องค์ประกอบคล้าย ๆ กับเรื่อง 1917 เลย  มีการใช้มุมมองระยะไกลเพื่อเก็บบรรยากาศสวยงามในธรรมชาติเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงต้นเรื่อง เพราะในช่วงกลางเรื่องขึ้นไปก็มีแต่ล่ากันอย่างเดียวแล้ว แทบไม่มีอะไรเลยจริง ๆ เส้นเรื่องมีการดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่จะไม่ซับซ้อน หรือเน้นเนื้อหา บทพูดคุยเท่าไร แล้วก็ฉากต่อสู้ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่มันส์เท่าจอห์น วิค แอคชั่นจะมีความช้ากว่าด้วยเซ็ตติ้งอายุของตัวละคร ทำให้โดยรวมแล้วมันดูเนือย ๆ ไปหน่อย ลุงดูเหมือนจะเน้นแทคติกมากกว่าใช้กำลังออกหมัดตรง ๆ  แล้วก็พวกฉากชวนสยองเลือดสาดกระจุยแบบเน้น ๆ มีหลบมุมกล้อง เน้นความรู้สึกของตัวละครเพิ่มเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วจัดมาเต็ม ๆ ทั้งทุ่นระเบิด ฉากระดมยิง ฉากทำแผลของลุงแทบวูบวาบตาม แล้วก็มีการแอบใส่น้องหมามาให้เราลุ้นกับน้องเล่น ๆ ด้วยนะ

ส่วนตัวคิดว่า Sisu เฒ่ามหากาฬ เป็นหนังแอคชั่นที่เส้นเรื่องนั้นแทบไม่มีอะไรเลยก็แค่ชายแก่สุดอึด ถึง ทน แทบจะเป็นอมตะ กับประวัติสุดโหดที่บังเอิญขุดเจอทองคำมหาศาลแล้วต้องการนำไปขายแค่นั้นเอง มีแค่บางจุดด้วยนิดหน่อยที่รู้สึกว่าไม่ค่อยมีความสมเหตุสมผลเท่าไร แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับตัวภาพยนตร์นัก เพราะตัวภาพยนตร์เองก็ดูเหมือนจะเน้นไปที่การขายฉากแอคชั่น หวาดเสียว เลือดสาดกระจุยกระจายมากกว่า เอาเป็นว่าใครชอบแอคชันดูเอามันส์เพลิน ๆ ไม่เน้นเนื้อหา ก็ถือว่าพอได้อยู่นะ ลุงเขาอึด ถึก ทนดีจริง ๆ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
7
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
5
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
6.8
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
31 กรกฎาคม 2566 11:15:37

การตามติดของวิญญาณร้ายได้กลับมาให้รับชมความหลอนกันอีกครั้งกับเรื่องราวของดัลตั้น แลมเบิร์ต (รับบทโดยไท ซิมพ์กินส์) เด็กหนุ่มที่สามารถถอดจิตได้เหมือนกับพ่อของเขากับการตะลุยไปยังปรโลกเพื่อตามหาความจริงในอดีตที่ขาดหายไปอันเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อของเขา จอช แลมเบิร์ต (รับบทโดยแพทริค วิลสัน) ได้มาอยู่ในจุดที่ระหองระแหง ส่งผลให้ทั้งสองคนยิ่งห่างกันออกไปเรื่อย ๆ ประกอบกับการถูกภรรยาขอหย่าและสูญเสียแม่อันเป็นที่รัก จอชที่สมองยังหลง ๆ จากการถูกสะกดจิตให้ลืมจนส่งผบกระทบกับการใช้ชีวิตก็ยิ่งฟุ้งซ่าน จนกระทั่งดัลตั้นได้เข้าเรียนในวิทยาลัยศิลปะและได้ดำดิ่งสู่ก้นลึกของจิตใจจนกระทั่งได้รับรู้สัญญาณบางอย่างจากปรโลก สถานที่ที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด 

ต้องบอกก่อนเลยว่าส่วนตัวได้ติดตามภาพยนตร์แฟรนไชส์นี้มาตั้งแต่ภาคแรกด้วยความที่ส่วนตัวชอบหนังสยองขวัญแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้เรื่องนี้อาจจะมีความงง ๆ หน่อยในช่วงแรก แต่ได้เฉลยทั้งหมดไปแล้วในภาคที่ 2 และคิดว่าจะจบไปจริง ๆ แล้ว แต่ค่ายก็ยังเข็นภาค 3 4 5 ออกมาจนได้ ถ้าถามว่ามีความแตกต่างไปจากเดิมไหม ก็ขอบอกเลยว่า ไม่ การดำเนินเรื่องหลัก ๆ ก็ไม่ได้ฉีกไปจากเดิมเท่าไรนัก ขายฉากตุ้งแช่ได้สมกับที่เป็น Insidios ยังคงทำให้สะดุ้งตัวโยนได้เหมือนเดิมแต่คิดว่าน้อยลงกว่าภาคก่อน ๆ  เสียงประกอบก็เป็นเอกลักษณ์ของเขาเลย ตัวภาพยนตร์ก็ยังคงเล่นกับความมืดและฉากที่ชวนให้ลุ้นว่าจะมีอะไรโผล่มา แต่ก็ไม่มี แต่ก็มีอยู่ช่วงนึงที่เล่นกับที่แคบได้ชวนอึดอัดสุด ๆ อยู่เหมือนกัน และแน่นอนว่า ในภาคที่ 5 นี้ ตัวหนังไม่ได้ขายแต่ฉากจั้มสแกร์ ตุ้งแช่กันอย่างเดียว มีการเน้นเรื่องราวของครอบครัวค่อนข้างมาก มีการขยี้ความสัมพันธ์ของจอชและดัลตั้นในเรื่องของความทรงจำในช่วงโคม่าที่ขาดหายไป ช่วงนี้เราน้ำตาซึมไปเรียบร้อย ดูจบออกมาแล้วก็มีแอบหน่วง ๆ ในใจอยู่นิดนึง นักแสดงก็เป็นชุดเดิม บอกเลยว่าแอบรู้สึกผูกพันอยู่ลึก ๆ

ส่วนตัวคิดว่าตัวภาพยนตร์ Insidious ในเรื่องราวของครอบครัวแลมเบิร์ตได้จบไปตั้งแต่ภาคที่ 2 แล้ว แม้จะมีภาคที่ 3 - 4 ซึ่งเป็นภาคที่เล่าไปทางฝั่งของป้าเอลิซและยังไม่ได้ข้องเกี่ยวกับครอบครัวแลมเบิร์ตเท่าไร ก็คิดว่าอาจจะมีภาคต่อแหละ แต่อาจจะเป็นเคสอื่น ๆ ของป้าเอลิซและทีมงานมากกว่าจะวกกลับมาที่ครอบครัวเดิมแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการปิดฉากไปโดยสมบูรณ์แล้วล่ะนะ เว้นก็แต่ถ้าทีมงานจะเอาผีหน้าแดงกลับมาทำต่ออีก แต่เอาจริง ๆ สำหรับภาค 5 นี้ เจ้าผีร้ายตัวนี้ดูไม่ค่อยมีความน่ากลัวเท่าไรแล้ว ยิ่งตอนที่อยู่ในเขตแดนของเจ้าผีตัวนี้ พลังดันกลับไม่ได้ดูน่ากลัว น่ากดดันเท่าภาคแรก ๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งน่าเสียดายมาก

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6.5
การดำเนินเรื่อง
7
ดนตรีประกอบ
7
ฝีมือนักแสดง
7.5
กราฟฟิก
6.5
คะแนนเฉลี่ย
6.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
31 กรกฎาคม 2566 10:49:51

จากเครื่องเล่น Haunted Mansion ของสวนสนุก Disney ได้กลับมาในรูปแบบภาพยนตร์อีกครั้งในเรื่องราวของแกบบี้ (รับบทโดยโรซาริโอ้ ดอว์สัน) และทราวิส (รับบทโดยเชส ดิลลอน) สองแม่ลูกที่ซื้อคฤหาสน์เก่า ๆ หลังหนึ่งเอาไว้และกำลังจะย้ายเข้า ทว่ากลับถูกเหล่าผีที่สิงสถิตอยู่ในคฤหาสน์นั้นตามรังควานจนต้องขอความช่วยเหลือไปยังบาทหลวงเคนต์ (รับบทโดยโอนเวน วิลสัน) ที่ก็ไม่อาจรับมือได้ด้วยตัวคนเดียวด้วยเหตุผลบางอย่างจนกระทั่งเบน (รับบทโดยคีท สแตนฟิลด์) ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเนื่องจากการสูญเสียภรรยาอันเป็นที่รักไป ต้องเข้ามาพัวพันกับคฤหาสน์หลังนี้ พร้อมเหล่าผองเพื่อนอย่าง แฮเรียต (รับบทโดยทิฟฟานี แฮดดิช) ร่างทรง และศาสตราจารย์บรูซ เดวิส (รับบทโดยแดนนี ดิวิโต) นักประวัติศาสตร์ผู้มีข้อมูลเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้ ต้องเข้ามาพัวพันกับคฤหาสน์ผีสิงประหลาดที่เต็มไปด้วยผีมากมายนับไม่ถ้วน 

ด้วยความที่เป็นหนังผีสายฮา ส่วนตัวคิดว่าพล็อตเรื่องจะไม่ค่อยมีความแปลกใหม่เท่าไรนัก การดำเนินเรื่องก็ดำเนินเป็นเส้นตรง คาดเดาได้ง่าย ไม่มีความซับซ้อนอะไรนัก โดยเฉพาะตัวบอสที่ทำให้พวกผีต้องมาติดอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวหรือน่าเกรงขามกับประวัติเท่าไร แถมยังถูกจัดการได้ง่าย ๆ ด้วยซ้ำแต่ชอบพวกมุกตลกที่สอดแทรกเข้ามาเรื่อย ๆ นะ ฮาอยู่แต่ไม่ค่อยสุดเท่าไร  บางจุดก็เหมือนจะพยายามขยี้มู้ด แต่ก็ไม่ทันได้รู้สึกจนสุดเลยตัวหนังก็พาไปต่อแล้ว มีความพยายามเหมือนจะพาหักมุม แต่ก็ไม่ได้หักไปเกินคาดเท่าไร ก็ตามสไตล์ดิสนีย์เขาละนะ สูตรสำเร็จหนังเขาเลย ถ้าพูดถึงเรื่องกราฟฟิก ก็ถือว่าทำได้สวยงามตามมาตรฐานค่ายยักษ์อย่างดิสนีย์แหละ มีมุมมองแปลก ๆ ที่พยายามนำเสนอ มีความพยายามจะทิ้งภาพเป็นนัยยะให้คาดเดาตัวเรื่องกันอยู่ แต่ก็ไม่มากเท่าไร กราฟฟิกความหฤหรรของตัวบ้านก็ถือว่าทำได้ดี แต่ดู ๆ ไปบางจุดก็แอบเวียนหัวนิดนึง แถมชอบฉายไฟจ้า ๆ จากไฟฉาย มากลางจอตรง ๆ ค่อนข้างบ่อย แสบตาเอาเรื่อง

ส่วนตัวมองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนังผีสายฮาที่สามารถดูได้เพลิน ๆ ปล่อยจอยเฮฮาไปกับมุกของหนังได้ กราฟฟิกก็สวยพอใช้ได้อยู่ แถมพากย์ไทยก็พากษ์ออกมาได้ดีมาก ๆ มีความเป็นหนังครอบครัว ย่อยง่าย มีแง่คิดดี ๆ แฝงให้เข้าใจง่าย คิดว่าถ้าได้ดูในโรงก็เต็มอิ่มดี แต่รอดูในสตีมมิ่งก็ได้แหละ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
6
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
5
ฝีมือนักแสดง
7
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
6.3
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
26 กรกฎาคม 2566 02:50:42

Oppenheimer เรื่องนี้ต้องขอยอมรับเลยว่าอาจจะเขียนไปแบบงู ๆ ปลา ๆ ไม่รู้จะตรงรึเปล่า เพราะเหมือนจะดูแล้วไม่ได้เข้าใจอย่างละเอียดจริง ๆ จะลองเขียนในแบบที่เข้าใจนะครับ ซึ่งก็คงไม่ได้เขียนอะไรมากมาย ถ้ายังไงมาเมนท์คุยกันได้ครับ

คลิกเพื่อซ่อนหรือแสดงข้อความ
 

- เอาแบบในมุมถ้าเป็นคนทั่วไปได้ไปดู เราว่าค่อนข้างเฉย ๆ นะ ฟิลแบบ มันหนังอินดี้ชัด ๆ อะ "เพราะ" ไม่ได้เป็นหนังสร้างระเบิด หรือเป็นหนังชีวประวัติด้วยซ้ำ ถ้าเอาแบบเราไปดูหนังเพื่อความสนุก มันไม่สนุกอะ55 มันคือหนังคนคุยกันทั้งเรื่อง เราต้องไม่หาความบันเทิงจากมันถึงจะดูสนุกไปกับมันได้ เพราะมันเป็นหนังที่แค่ หนังคนคุยกัน จริงๆ แต่การคุยทั้งหมดมันมีจุดมุ่งหมายแล้วพาคนดูไปถึงจุดจบได้ ไม่ว่าเราจะเป็นสายดูหนังอินดี้ หนังรางวัล หนังเมน อะไรก็แล้วแต่ หนังก็จะยังพาเราไปถึงจุดหมายได้ทุกคนไม่ทิ้งใครไว้ ซึ่งมันก็ตามคอนเซ็ปหนังเด็จพ่อคือ เรื่องราวมันจะวนไปเวียนมาซับซ้ำอะไรต่ออะไร แต่เด็จพ่อจะทำออกมาให้สุดท้ายคนดูเข้าใจได้ ถ้าถามในมุมคนดูแบบ ปกติ เรายังเพลิดเพลินไปกับการแสดงได้อยู่ ยิ่งถ้ารู้ประวัติศาสตร์มาด้วยจะยิ่งอิน แต่ก็ อะนะ หนังคนคุยกัน...

ขอคั่นว่า ไม่รู้ว่าอันนี้สร้างมาจากประวัติศาสตร์เป๊ะ ๆ แค่ไหน ถ้าแต่งเติมสักไม่เกิน 20% เราว่า เมพอยู่นะ ขนลุกทุกฉากที่ได้เห็นคนในประวัติศาสตร์คุยกัน

- ในมุมของแฟนหนังเด็จพ่อ ก็ต้องบอกเลยว่า ชอบมากนะกับหนังที่มีแค่ฉากคุยแต่ทำให้รู้สึกกับมันได้มากขนาดนี้ แล้วก็ 3 ชม.มันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน มันเป็นสตรักเจอร์แบบโนแลนจริง ๆ ในมุมเราหนังเรื่องนี้มันไม่ใช่หนังแบบนำเสนอชีวิประวัติหรือประวัติศาสตร์หรือวิธีการทำระเบิดอะไรเลย แกนหลักที่เขานำเสนอมันคือเรื่องของ "อารมณ์" อย่างเดียวล้วน ๆ โดยมีเหตุการณ์ ๆ นึงเป็นตัวดำเนินเรื่องเท่านั้น ถึงได้คั่นว่าถ้าสร้างมาจากเรื่องจริง ก็เมพอยู่นะ เพราะถ้าอารมณ์เหล่านี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ โนแลนกำลังนำเสนอสิ่งนั้นแหละ ไม่ใช่ระเบิด และประเด็นคือมันทำงานด้วยสิ ....... หนังมีสลับ สี, ขาวดำ ซึ่งมันมีความหมายแน่นอน แต่ไม่ได้แคร์เท่าไหร่ เพราะแค่อ่านซับก็จะไม่ทันละ และคิดว่าไม่จำเป็นต้องหาคำตอบว่าทำไมต้องขาวดำทำไมต้องสี เพราะโสตประสาททั้งหมดไปโฟกัสกับอารมณ์ของแต่ละคนหมดแล้ว อารมณ์ของ โรเบิร์ต ลูอิส อัลเบิร์ตไอสไตน์ โดยเฉพาะฉากที่มีไอสไตน์ มีความรู้สึกแบบทุกครั้งที่เห็น จะร้องไห้ ไม่รู้ทำไม อาจจะเป็นเพราะเราทุกคนรู้ ปวศ. มากันประมาณนึง แต่ไม่เคยได้เห็นเราว่าใครมีอารมณ์ความรู้สึกยังไง แล้วเราได้มาเห็นกันในเรื่องนี้ นี่แหละ จุดสำคัญ ตอนภรรยาโรเบิร์ตขึ้นให้การ นี่ร้องไห้เลย ไดนามิกแบบโนแลนก็ยังบิ้วอัพเรามีถึงจุดนั้นได้เสมอ แม้จะเป็นแค่หนังที่คุยกันอย่างเดียว

จุดที่ไม่ชอบในเรื่องนี้คือ ระเบิดมันไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะ ไม่ได้อุปมาอุปมัยจะเปรียบเทียบกับการแสดงมันใหญ่กว่าอะไรนะ คือมันไม่อลังการจริง ๆ รู้สึกว่า ถ้าไม่เอานิวเคลียร์มาจุดจริง ๆ ก็ใช้ซีจีไหมอะพ่อ ไม่มีใครด่าว่าไม่เทพหรอก ใครมาด่าเดี๋ยวสวนให้เลย สกิลปากผมนี่ อย่างงี่ 

ดนตรีประกอบดีมากนะเอาจริง ๆ แต่รู้สึกว่าตั้งแต่ Tenet ละ ลูดวิก ทำดนตรีประกอบชั้นยอดมากจริงๆบีบคั้นอารมณ์อย่างมากมายมหาศาล แต่กับฮานซิมเมอร์ ทำเพลงออกมาไม่เหมือนดนตรีประกอบ แต่มันเหมือนคนมายืนชี้หน้าเราตลอดเวลาอะ ถ้ามีคนมายืนชี้หน้าเราเป็น ชม. ๆ คิดว่า เราจะจำหน้ามันได้ไหม ? ก็คงติดตาไปเลย นั่นแหละ เพลงใน ออพเพนไฮเมอร์ กลับบ้านมาก็ลืมละ แต่ยอมรับว่าอยู่ในหนังมันดีมากจริง ๆ

เรื่องนักแสดงไม่ต้องพูดอะไรมาก มี10ให้ล้าน

คุณอาจจะคิดว่าฉากจุดระเบิดคือจุดพีคที่สุดของหนังที่เขาปูมา บอกเลยว่าคุณคิดผิด แล้วคุณจะรู้ตอนได้เห็นฉากสุดท้าย

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
9
การดำเนินเรื่อง
9
ดนตรีประกอบ
8
ฝีมือนักแสดง
10
กราฟฟิก
7
คะแนนเฉลี่ย
8.6
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
23 กรกฎาคม 2566 23:35:26

การเดินทางผจญภัยของบาร์บี้ ผลงานกำกับภาพยนตร์ล่าสุดของเกรต้า เกอร์วิค เรื่องราวของตุ๊กตาสาวบาร์บี้รุ่นพิมพ์นิยม (รับบทโดย มาร์โกต์ ร็อบบี้) ที่อาศัยอยู่ในบาร์บี้แลนด์ กับชีวิตที่สุดแสนจะเพอร์เฟคในดินแดนชวนฝันที่ถูกปกครองโดยเหล่าบาร์บี้สาว ๆ โดยมีเคน เคน เคน และเคนอีกมากมายคอยเป็นกำลังใจและคอยสนับสนุนพวกเธออยู่เสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งบาร์บี้ได้เกิดมีความคิดบางอย่างที่ผิดปกติสุด ๆ สำหรับบาร์บี้แลนด์อย่างเรื่องของความตาย หรือแม้แต่ร่างกายและสิ่งรอบ ๆ ตัวของเธอ ทำให้เธอต้องออกผจญภัยไปยังโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้

โดยส่วนตัวแล้วก่อนที่จะไปดูก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากนัก เพราะไม่ได้รู้จักกับตุ๊กตาของเล่นชิ้นนี้เป็นพิเศษ แต่หลังจากที่ได้รับชมแล้วต้องบอกเลยว่าเอาเรื่องมาก เพราะตัวภาพยนตร์มีความเสียดสีสังคมได้เจ็บแสบ ทว่ามาในรูปแบบของมุกตลกสุดฮาและละครเพลงมิวสิคคัล มีการสอดแทรกความหลากหลายเอาไว้อย่างแท้จริงโดยไม่ทำให้เรารู้สึกว่าโดนยัดเยียดใด ๆ มีแซวไปถึงตัวบริษัทผู้ผลิต ด้วยเช่นกัน ช็อตนี้ก็เอาฮาเยอะอยู่นะ แต่ถ้าพูดถึงตัวบทแล้วส่วนตัวรู้สึกแปลก ๆ ในบางจุดเท่านั้น แต่โดยรวมแล้วถือว่าทำออกมาได้ลื่นไหลและกลมกล่อมดีเลย ทำให้คนที่ไม่ได้รู้จักกับความหมายของบาร์บี้จริง ๆ อย่างเราได้รู้จัก เข้าใจในตัวบาร์บี้ผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ได้

ในโลกของบาร์บี้ หรือบาร์บี้แลนด์นั้น ทีมงานสามารถเซ็ตติ้งออกมาได้ชวนฝันและเต็มไปด้วยสีชมพู สามารถรังสรรค์ออกมาได้หวานเจี๊ยบบบ น่ารักมาก ๆ มาร์โกต์ ร็อบบี้เองก็สามารถแสดงความเป็นบาร์บี้ออกมาได้สมบูรณ์แบบมากจริง ๆ ทุกท่วงท่าของเธอในบาร์บี้แลนด์คือตุ๊กตาบาร์บี้อย่างสมบูรณ์แบบเลย รวมถึงเหล่าเคน ที่แสดงโดย ไรอัน กอสลิ่ง, ซีมู หลิว, จอห์น ซีน่าและอีกหลาย ๆ เคนรวมถึงอลัน (รับบทโดย ไมเคิล เซร่า) มีจังหวะแย่งซีนแบบ ฮามาก ชอบแก๊งค์เคนกับอลันสุด ๆ รั่วได้ใจ

โดยรวมแล้วสำหรับภาพยนตร์บาร์บี้ ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับของเล่นสำหรับเด็ก แต่ต้องบอกเลยว่า ตัวเนื้อหาของหนังค่อนข้างจะแฝงนัยยะ มีมุกเสียดสีสังคมที่เยอะมากทีเดียว หากใครคิดจะพาเด็ก ๆ ไปรับชมก็อาจจะต้องทำใจหน่อยว่าเด็ก ๆ อาจจะดูไม่รู้เรื่องได้ ด้วยความที่ตัวภาพยนตร์เองก็มีแต่ Soundtrack ซับไทย และไม่มีพากย์ไทยเลยด้วย แต่ถ้าจะไปดูเองบอกได้เลยว่าเอนจอยมาก โดยเฉพาะเพลงประกอบภาพยนตร์คือดีทุกเพลงชอบมาก

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8
การดำเนินเรื่อง
8.5
ดนตรีประกอบ
9.5
ฝีมือนักแสดง
9.5
กราฟฟิก
9
คะแนนเฉลี่ย
8.9
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
13 กรกฎาคม 2566 23:32:54

Mission : Impossible - Dead Reckoning - Part One

เราว่าบทหนังนี่มาดีเลยนะแม้จะไม่ได้แปลกใหม่อะไรมาก แต่เอามาสร้างเรื่องราวของตัวเองได้น่าสนใจเลย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับว้าวอะไรมากนัก 555 คือมันรู้สึกมันยังไม่สุดอะ ซึ่งจุดนี้จะยังไม่ตัดสินว่ามันดีหรือแย่ เพราะมันมีพาร์ท 2 รวม ๆ เรื่องบท สำหรับผมคือกลาง ๆ ไปทางดีมาก เต็ม 10 อาจจะ 8 เลย น่าติดตามอยู่ มันก็ดูสนุกไปได้อยู่อะแหละ

การดำเนินเรื่อง อันนี้รู้สึกว่าแบบ มันยังไม่มาสเตอร์พีชอะ มันดีได้กว่านี้ รู้สึกภาค Fall out มันดีกว่านี้อยู่เยอะเลยนะ การกำกับภาพ ลำดับภาพ การดำเนินเรื่อง อะไรต่าง ๆ มันดูไม่กระชับฉับไว ดูเปื่อย ๆ แอบง่วงเลย ตัวหนังมันดูไม่ค่อยเท่ ไม่รู้จะว่ายังไง บวกกับมีหลาย ๆ ซีนที่มันน่ารำคาญ บางการกระทำก็เยอะเกินจนน่ารำคาญ แบบหนังสายลับพระกาฬ...(เขียนงี้ปะนะ55) แต่กิมมิคคือ นักล้วงกระเป๋าหรอ ? อะไรแบบนั้น ไม่อยากบอกเยอะเดี๋ยวสปอยล์ แต่มัน.....ไม่คูลเท่าไหร่

มหันตภัยในเรื่องนี้ เออมันดูน่ากลัวนะ แต่ในหนังเขาไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าต้องกลัวกับอะไรเลย คือตัวร้ายมันดูไม่น่ากลัว หมายถึงตัวร้ายจริง ๆ นะ ทั้ง ๆ ที่มันร้ายมากเลยนะเอาจริง ๆ รู้สึกมันเบาบางไปหมด อาจจะเป็นเพราะการจัดการตัวละครกับเส้นเรื่องที่หลากหลายเกินไปด้วยมั้ง มันเลยทำให้ไม่โฟกัสกับแก่นหลักจริง ๆ ของเรื่อง พออะไร ๆ มันเยอะเกินไป เลยรู้สึก เบาบาง + อิรุงตุงนัง ไปหมด 

แต่ถึงแม้ว่า มันจะดูเรื่อยเปื่อยมากภาคนี้ แต่มันก็ยังมีความสนุกในตัวมันอยู่มากด้วยเหมือนกัน อาจจะฟังดูย้อนแย้ง แต่มันทั้งเปื่อยทั้งสนุกแหละ เพราะหนังมันตั้งเกือบ 3 ชม. อะ มันเลยกลายเป็นมีความรู้สึกทั้งเบื่อ ทั้งความรู้สึก "3 ชม. มันต้องดีกว่านี้ปะ" แต่มันก็สนุกแล้วก็มันส์นิด ๆ ด้วย ...... อะไรเต็มไปหมด ก็ถือว่า ดูสนุกได้ แล้วเนื้อเรื่องไม่ได้เละอะไรเลย มันยังดีพอที่ให้ติดตามไปถึงพาร์ท 2 ก็ต้องรอดูบทสรุปต่อไป

 

ดนตรีประกอบก็ เฉย ๆ ไม่ได้แย่ไม่ได้ดี กลาง ๆ

ฝีมือนักแสดงดีเลย แต่บางบทอาจจะน่ารำคาญ แสดงดีแต่ภาคนี้รู้สึกไม่ค่อยอินแปลก ๆ

กราฟฟิก ก็ดีนะ แต่รู้สึกชอบงานภาพภาคก่อน ๆ มากกว่าอีก 555

 

ขออนุญาตสรุปรวม ๆ คือ ไปดูได้เลย สนุกแหละ แล้วก็คิดว่าพาร์ทสองจะดีกว่านี้อีกเยอะเลย รอติดตามครับ

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
8.5
การดำเนินเรื่อง
6
ดนตรีประกอบ
7.5
ฝีมือนักแสดง
8.5
กราฟฟิก
8
คะแนนเฉลี่ย
7.7
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
2 กรกฎาคม 2566 00:29:04

หนึ่งในภาพยนตร์อนิเมชันเข้าฉายประจำเดือนมิถุนายน จากค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Dreamworks เรื่องราวของสาวน้อยรูบี้ กิลแมนกับครอบครัวที่แฝงตัวอยู่กับมนุษย์บนบก พยายามเพื่อที่จะเป็นเพียงคนธรรมดา แม้จะแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัดก็ตาม จนในที่สุดความจริงที่ว่าเธอเป็นอสูรทะเลก็ต้องมาถึง แม้ว่าแม่ของเธอจะพยายามกีดกันเธอจากท้องทะเลมากเพียงใดก็ตามเพื่อที่จะปกป้องเธอจากอะไรบางอย่างในท้องทะเล

รูบี้ สาวน้อยอสูรทะเล มีการพลิกภาพจำความเป็นมาของเรื่องราวในท้องทะเลอยู่มากทีเดียวทั้งในเรื่องของนางเงือกสาวสวยที่มาพร้อมกับความร้ายกาจ และคราเคนยักษ์ที่มีจิตใจดีและคอยปกป้องท้องทะเลมาเป็นเวลายาวนาน ต้องบอกเลยว่ากระแสเปิดตัวเงือกสาวเชลซีนั้นมาแรงมากทีเดียว ด้วยความที่มีคาแรคเตอร์และเอกลักษณ์บางอย่างที่น่าสะดุดตาไม่หยอก แต่ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าอนิเมชั่นเรื่องนี้ไม่ค่อยมีส่วนที่น่าติดตามเท่าไร รู้สึกว่าบทค่อนข้างรวบรัดและขาดมิติไปหน่อย ไม่ค่อยมีที่มาที่ไปนัก บางตัวละครที่มีการกล่าวถึงแต่ก้ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นอะไรเลย และแน่นอนอยู่แล้วว่า เป็นเนื้อหาที่สามารถคาดเดาได้แบบง่ายมาก ๆ เป็นเรื่องราวในมุมมองของชีวิตวัยรุ่น ปัญหาการเข้าสังคมที่มีความแตกต่างกัน แน่นอนว่าในยุคสมัยนี้นั้น พล็อตค่อนข้างจะจำเจสุด ๆ พอไม่มีอะไรที่มันแปลกใหม่มาดึงดูดมากพอก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าน่าติดตามต่อเท่าไร ส่วนตัววางจอยตั้งแต่กลาง ๆ เรื่องไปแล้ว 

ว่ากันเรื่องกราฟฟิกในเรื่อง ถือว่าทำออกมาได้สวยงามมากตามมาตรฐานของค่ายหนัง Dreaworks แล้ว การเล่นแสงสีในท้องทะเลก็สวยงาม แต่ส่วนตัวรู้สึกค่อนข้างแสบตาทีเดียวเพราะเป็นการใช้แสงแบบเรืองแสงจากร่างของคราเคนยักษ์และพลังงานใต้ทะเล บางฉากสว่างมากจนแสบตาไปเลย และในส่วนของฉากทะเลมืด ใครจะรู้ว่าคนที่กลัวทะเลมืด ๆ มากแบบเราอาจต้องระวัง เพราะตอนที่ดูอยู่ก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยกับฉากในทะเล แต่ไม่นานมากพอเข้าช่วงที่ฉากเริ่มสว่างก็ดีขึ้นละ ส่วนตัวละครคราเคนยักษ์ทั้งรูบี้ คุณแม่และคุณย่า พอเรืองแสงใต้ทะเลแล้วสวยจริง ๆ 

โดยรวมแล้วภาพยนตร์แอนิเมชัน รูบี้ สาวน้อยอสูรทะเล ส่วนตัวคิดว่าเป็นอนิเมชันจากค่ายยักษ์ใหญ่เรื่องหนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกถึงความโดดเด่นเท่าไร และเป็นหนังที่จบง่ายและค่อนข้างไวมาก เทียบกับเนื้อหาที่ปูมาภายในเรื่องแล้วคิดว่ายังสามารถต่อยอดไปได้และน่าจะสนุกได้มากกว่านี้อีก แต่ถ้าดูแบบเพลิน ๆ ก็พอรับได้อยู่ แม้จะรู้สึกว่าตัวบทน่าจะมีอะไรเพิ่มเติมได้อีกเยอะแยะเลยก็ตาม ถือว่าเป็นอนิเมชันที่ดูง่ายสำหรับเด็ก ๆ ทีเดียว เพราะถ้าไม่คิดอะไรมากก็สามารถดูได้เพลิน ๆ มีความบันเทิงและให้แง่คิดอยู่มาก

สรุปผลวิจารณ์หนัง

บทหนัง
5.5
การดำเนินเรื่อง
6.5
ดนตรีประกอบ
6
ฝีมือนักแสดง
N/A
กราฟฟิก
7.5
คะแนนเฉลี่ย
5.1
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย

ความคิดเห็น (0)

GUEST
แพรวา
27 มีนาคม 2567 14:59:24
เรื่องนี้สนุกแสงสีเสียงคือชัดมากก
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
GUEST
ภัสร์
11 มีนาคม 2567 11:31:57
ขอสอบถามหนังเรื่องนี้ ต้องจองบัตรก่อนหรือว่าซื้อหน้าโรงหนังได้เลยค่ะ
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
7 มีนาคม 2567 17:08:30
 
ดูไม่จบ
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
GUEST
คริคริ
5 มีนาคม 2567 07:16:14
น่่าสนึกจังเลยต่ะ
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
GUEST
Mochi
5 มีนาคม 2567 07:10:12
สนุกมากดูมาแล้วทั้งสามภาค
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย
27 กุมภาพันธ์ 2567 12:11:20
 
สนุกมาก
สมาชิกไทยแวร์เข้าสู่ระบบด้วย