The Shack - กระท่อมเหนือปาฏิหาริย์
เข้าฉาย 20 เมษายน 2560
ผู้ชม : 21,951
ผู้กำกับ
: Stuart Hazeldine (สจ๊วต ฮาเซลดีน)
ความยาวหนัง
: 135.00
Text Size
หนัง The Shack เรื่องราวของ แม็ค ฟิลลิปส์ ที่ชีวิตกำลังดำดิ่งสู่งห้วงความเศร้าจากการสูญเสียลูกสาวคนเล็ก ทำให้เขาตั้งคำถามกับความเชื่อข้างในจิตใจ ทว่าเขาได้รับจดหมายลึกลับฉบับหนึ่งที่เชื้อเชิญเขาไปยัง กระท่อมร้างกลางป่า โอเรกอน ซึ่งมีบางอย่างที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาจากนี้
หนัง The Shack A grieving man receives a mysterious, personal invitation to meet with God at a place called ''The Shack.''
The Shack (Stuart Hazeldine / USA / 2017)
ตอนได้ดูตัวอย่างหนัง ก็ไม่คิดหรือรู้สึกว่าจะมีมวลความเชื่อทางศาสนาคริสต์มากขนาดนี้ ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ได้แขยงเรื่องความเชื่อความศรัทธาและมักจะมองไปในมุมความหลากหลายของผู้คนบนโลก การเข้าโรงมาดูหนังที่โอบอุ้มด้วยการชี้ชวนให้เห็นคุณงามความดีของพระเจ้าเรื่องนี้จึงไม่ผ่อนคลาย ในระดับแค่รู้สึกเหมือนเข้าไปนั่งในโบสถ์แล้วฟังบาทหลวงพรรณนาไบเบิ้ลให้เราเข้าใจตามที่เขาอยากให้เราเข้าใจตาม ซึ่งในทางปฏิบัติมันยิ่งกว่านั่งอ่านไบเบิ้ลเองได้จนจบเล่มเสียอีก เพราะตลอดเวลาที่หนังดำเนินไปเพื่อชักจูงให้ตัวละครที่หมดศรัทธาในพระเจ้า ให้เชื่อและเห็นจริงว่าพระเจ้ารักและหวังดีกับเราเสมอนั้น เราได้ค่อยๆ ดีเบตและโต้เถียงในใจตามไปด้วยในทุกๆ ประโยคที่เราเห็นต่าง และในมุมฟังก์ชั่นที่ดีของการมีอยู่ของศาสนาคริสต์ ไปจนถึงทุกๆ ศาสนา ทุกๆ ความเชื่อ และทุกๆ ความจริงเท่าที่เราเคยรู้จักและเรียนรู้สัจธรรมตั้งแต่เกิดมา ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้หนังชวนง่วงเรื่องนี้ยังพยุงเราไม่ให้หลับไปได้เรื่อยๆ
เราไม่ใช่ตัวละครในเรื่องซึ่งไปผจญโลกของพระเจ้ากลับมา และในโลกความเป็นจริง พระเจ้าก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่ามีจริง เพียงเพราะเรื่องแต่งเติมจากหนังเรื่องเดียว แต่เอาเข้าจริงหลายอย่างของการชวนเชื่อมันก็เกิดคำถามกับตัวเราเองทั้งนั้น เราไม่ได้คล้อยตามตามที่ตัวละครมันเดินตามไป แต่เรากลับเอาใจช่วยให้ตัวละครบรรเทาทุกข์ใจจากปมชีวิตให้ได้ ถึงแม้เราจะไม่ได้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าพระเข้ามีจริง และถ้าท้ายที่สุดการเชื่อในพระเจ้าของพระเอกมันจะทำให้เขาปล่อยวางอดีต แล้วกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้งเราก็ยินดี นี่เป็นจุดดีของศาสนาคริสต์ในหนังที่เรามองเห็น คือการศรัทธาในพระเจ้าและต้องกลับมาสื่อสารกับคนรอบตัว เพื่อช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่และเข้าใจกันและกัน
เสียดายที่หนังทั้งเรื่องเต็มไปด้วยการพร่ำเพ้อพรรณนา ที่รู้สึกไปในทางชวนเชื่อมากกว่าที่จะทำให้มองว่าเป็นปรัชญาชีวิต เพราะไม่ได้รู้สึกว่ามันกลมเกลา เพื่อให้เราตั้งคำถามขนาดนั้น แต่เหมือนเป็นการแก้ต่างแทนพระเจ้าของคนที่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้นเอง และตัวคอนฟลิกต์ในเชิงบทเองก็ปวกเปียก เมื่อกำแพงระหว่างพ่อและลูกสาวผู้เก็บงำความรู้สึก เกิดจากเพียงแค่การไม่พูดคุยกัน ทั้งที่ตัวละครทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าแต่ละคนเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์เศร้าสลดนี้ร่วมกัน ทั้งคู่ซึ่งก็น่าจะตระหนักได้ว่าต่างคนต่างรู้สึกอะไร และควรจะเริ่มบรรเทาใจกันด้วยวิธีไหน เพราะบางทีชีวิตที่จะดีกว่านี้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้พระเจ้าส่งจดหมายมาบอกถึงหน้าบ้าน
สรุปผลวิจารณ์หนัง